ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
ซู่ๆๆ!!!!ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาบ้านไม้เก่าของธนิดาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ้านสองชั้นที่สร้างจากไม้สักเก่าแก่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาที่ยื่นออกมาบดบังแสงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว บรรยากาศเย็นชื้นและเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่ดังแว่วมาจากป่าด้านหลังบ้าน และกลิ่นดินเปียกที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศธนิดา วัย 25 ปี หญิงสาวร่างบางที่มีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ขาดเล็กน้อยตรงชายเสื้อ และกางเกงยีนส์เก่าที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยหวานของเธอ ดวงตาคู่คมของเธอจ้องมองออกไปในความมืดที่ห่อหุ้มรอบบ้านราวกับพยายามมองหาความหวังบางอย่าง แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเงาต้นไม้ที่โอนเอนไปตามแรงลม และสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง“ฝนตกหนักแบบนี้ คงไม่น่ามีใครมาแล้วหรอกมั้ง...” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความเหนื่อยล้าและความกังวล เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เริ่มเปียกชื้นจากไอฝนที่ลอยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทตั้งแต่พ่อของเธอหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน ชีวิตของ
ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่รถยนต์สีดำคันใหญ่อย่างเบนท์ลีย์ รุ่นเบนเทก้า พาธนิดามุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ เสียงเครื่องยนต์ดังครืดคราดผสมกับเสียงหยดน้ำที่กระทบกระจกรถ ทำให้ภายในรถเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัดนาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ สายตาของเขาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกแสงจากไฟถนนที่สาดส่องเข้ามาเป็นระยะๆ เน้นให้เห็นรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่มุมคิ้วซ้าย ซึ่งธนิดาเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรกเธอขยับตัวเล็กน้อยบนเบาะหนังสีดำที่เย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างของเธอถูกมัดไว้หลวมๆ ด้วยเชือกไนลอนสีดำ ซึ่งลูกน้องของนาวินผูกไว้ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกจากบ้านไม้เก่าของเธอ ความรู้สึกเจ็บที่ข้อมือจากการถูกกระชากยังคงอยู่ แต่เธอพยายามไม่แสดงออกมาให้เขาเห็น เธอหันไปมองนาวินอีกครั้ง พยายามหาคำตอบจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา แต่สิ่งที่เธอได้กลับมามีเพียงความเงียบงันที่สร้างความรู้สึกหนักอึ้งขึ้นในใจของเธอ“นี่เราจะกำลังจะไปไหนกัน” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น แต่ความสั่นเทาในน้ำเสียงของเธอก็ยังหลุดออกมาเล็กน้อยนาวินหันหน้ามามองเธอช้าๆ ดวงต
แสงจากโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ห้อยลงมาจากเพดานของห้องอาหารในคฤหาสน์เงาจันทราส่งแสงสลัวๆ ไปทั่วทั้งบริเวณ โต๊ะอาหารยาวที่ทำจากไม้โอ๊กสีเข้มถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วยจานชามสีขาวสะอาดตาและช้อนส้อมเงินที่วางเรียงกันอย่างพิถีพิถัน บรรยากาศในห้องนี้ควรจะดูสงบและหรูหรา แต่ความเงียบที่หนักอึ้งและสายตาที่เย็นชาของนาวินที่จ้องมาจากปลายโต๊ะทำให้ทุกอย่างรู้สึกกดดันราวกับมีพายุซ่อนอยู่ในความสงบนั้นธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขา ห่างออกไปเกือบสามเมตร เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีนำมาให้เปลี่ยนหลังจากชุดของเธอเปียกฝน มือของเธอวางนิ่งอยู่บนตัก แม้ว่าจะถูกปลดเชือกที่มัดข้อมือออกแล้ว แต่รอยแดงที่เกิดจากการรัดแน่นยังคงปรากฏชัดเจน เธอมองไปที่จานอาหารตรงหน้า สเต๊กเนื้อชิ้นหนาที่มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยและมันบดสีครีมที่ถูกจัดวางอย่างสวยงาม น่ากินอยู่ไม่น้อย แต่เธอไม่มีอารมณ์จะแตะมันเลยสักนิดรอบห้องอาหาร ลูกน้องของนาวินสามคนยืนนิ่งราวกับรูปปั้น แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำและถือปืนกลสั้นที่แนบชิดกับลำตัว สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ธนิดาและประตูทางเข้าหลักของห้องราวกับพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ เสียงฝนที่
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากการบุกโจมตีของแก๊งเสือดาว ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตลอดทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ธนิดายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพักของเธอ มองออกไปยังสวนหลังคฤหาสน์ที่ปรากฏให้เห็นผ่านม่านกำมะหยี่สีดำที่เธอแง้มออกเล็กน้อย สวนนั้นกว้างขวางและเงียบสงบ มีน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ใบยังเปียกชื้นจากฝนเมื่อคืน ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ ทำให้กลิ่นดินเปียกและใบไม้ลอยเข้ามาคลอเคลียที่ปลายจมูกของเธอเธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อากาศเย็นๆ ช่วยขจัดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคงกดทับอยู่ในอกตั้งแต่เมื่อคืน ภาพของการต่อสู้ในโถงทางเข้าหลักยังคงติดตาเธออยู่ เสียงปืนที่ดังสนั่น กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคละคลุ้ง และใบหน้าของนาวินที่เปลี่ยนไปเมื่อเธอยิงช่วยเขา เธอยังจำน้ำเสียงของเขาได้ดีเมื่อเขาพูดว่า ‘น่าสนใจ’ คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับปริศนาที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้ธนิดาตัดสินใจว่าเธอทนอยู่ในห้องที่ถูกล็อกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอต้องการอากาศบริสุทธิ์ ต้องการหลุดพ้นจากความรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษนี้ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วครู่ก็ตาม เธ
กลิ่นบุหรี่จางๆ ลอยคละคลุ้งอยู่ในห้องทำงานของนาวิน บรรยากาศในห้องนี้หนักอึ้งและมืดมิดราวกับซ่อนความลับที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง โต๊ะทำงานไม้โอ๊กสีเข้มตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ล้อมรอบด้วยตู้หนังสือสูงจรดเพดานที่เต็มไปด้วยหนังสือปกแข็งเก่าๆ ซึ่งบางเล่มดูเหมือนไม่เคยถูกเปิดมาก่อนแสงจากโคมไฟตั้งโต๊ะสีทองแดงส่องลงมาบนใบหน้าของนาวิน ทำให้รอยแผลเป็นที่มุมคิ้วซ้ายของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น เขานั่งอยู่หลังโต๊ะ บุหรี่มวนหนึ่งคีบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง ควันสีขาวลอยวนขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไปในความมืดของห้องธนิดายืนอยู่หน้าตู้หนังสือฝั่งตรงข้าม เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเก่าที่มณีเคยนำมาให้ และกางเกงยีนส์ที่ดูโทรมเล็กน้อยจากเหตุการณ์เมื่อสองคืนก่อน ดวงตาคู่คมของเธอมองไปที่นาวินด้วยความรู้สึกที่ปะปนกัน มันเต็มไปด้วยความระแวง ความโกรธ และความอยากรู้เธอถูกเรียกตัวมาที่นี่หลังจากที่เธอตกลงจะช่วยเขาสอดแนมคนในคฤหาสน์เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่างการเป็นพันธมิตรหรือเหยื่อของเขา“เธอเจออะไรมาบ้าง” นาวินถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเป่าควันบุหรี่ออกจากปากก่อนจะว
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้ก๊อกๆๆความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันทีธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานกา
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงหยดน้ำกระทบหลังคารถยนต์สีดำคันใหญ่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่านถนนเปลี่ยวยามค่ำที่ทอดยาวไปท่ามกลางความมืดมิด ถนนสายนี้ตัดผ่านป่าที่ยังคงเขียวขจีแม้ในฤดูฝน ต้นไม้สูงใหญ่ยื่นกิ่งก้านออกมาบดบังแสงจากดวงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากเส้นทางที่ถูกสาดส่องด้วยไฟหน้ารถ ละอองฝนที่พัดมากระทบกระจกหน้าทำให้ทัศนวิสัยเลวร้ายลงทุกขณะ แต่คนขับรถลูกน้องของนาวินที่ชื่อว่า เอก ยังคงเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความนิ่งเงียบธนิดานั่งอยู่ที่เบาะหลังข้างนาวิน เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่เขาให้ยืมมาเพื่อกันฝน ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอเปียกชื้นเล็กน้อยจากตอนที่เธอขึ้นรถ ปืนพกที่เขาให้เธอเมื่อวานถูกเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อของเธอ มือของเธอวางนิ่งบนตัก แต่หัวใจของเธอเต้นรัวตั้งแต่เขาบอกเธอว่าเขาจะพาเธอไปตรวจโกดังแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง เธอไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากเธอในภารกิจนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์การฆ่ามณีต่อหน้าต่อตาในห้องใต้ดินเมื่อวาน เธอรู้สึกว่าเขากำลังทดสอบเธอในแบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้นาวินนั่งนิ่งอยู่ข้างเธอ เขาสวมเสื้อโค
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอคราง
เสียงฝนที่เคยตกหนักทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่เกาะอยู่บนใบไม้และกลิ่นดินเปียกที่ยังลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศธนิดานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ห้องพักของเธอเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอเพิ่งกลับจากการสอบปากคำของนาวินที่ห้องทำงานของเขา ชายหน้านิ่งเย็นชาที่ตอนนี้เริ่มเผยความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่างออกมาทีละน้อยก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของนาวินดังขึ้นธนิดาหันกลับไปมอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด ผมเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเดินฝ่าฝนมาจากห้องด้านหลังคฤหาสน์เธอไม่ตอบ… แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมาของเขาเช่นกันเขาเดินเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ กับกลิ่นฝนผสมกันลอยคลุ้งในอากาศระหว่างคนทั้งสอง“คุณมาทำไม” เธอถามเสียงแผ่ว“เพราะคืนนี้ฉันไม่อยากนอนคนเดียว” เขาตอบด้วยสายตาจริงจังอย่างน่าประหลาด “และฉันก็แน่ใจว่าเธอก็ไม่อยาก…”เธอหันหน้าหนี แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด“อย่ามาทำเหมือนรู้จักฉันดี”“แต่ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้…”ไม่ทันให้เธอได้ตั้งคำถาม ร่างสูงของน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องลอดผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอฝนจากค่ำคืนยังคงหลงเหลือในอากาศ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น ร่างสูงของนาวินขยับตัวเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเขาหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าของธนิดาดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยาวสยายอยู่บนหมอน ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส และริมฝีปากบางที่ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดีนาวินยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านโครงหน้าละมุนละไมของเธอด้วยความทะนุถนอม“สวยเหลือเกิน...” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจธนิดาขยับเล็กน้อย เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสบกับเขา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากทันทีที่เห็นเขาอยู่ข้างกาย“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“พึ่งตื่น... แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้มองเธอมาตลอดทั้งคืนเลย”เธอหลับตาอย่างเขินอาย ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา นาวินขยับเข้าไปใกล้ โอบร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลูบไล้ผ่านลำคอเธอ“เมื่อคืนฝันดีไหมครับ”“ค่ะ ฉันฝันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา“แล้วถ้า
เสียงฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้าร้องครืน ๆ ดังลั่นท้องฟ้า บรรยากาศรอบบ้านพักของธนิดาที่นาวินกลับมาซ่อมแซมให้จนสามารถกลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้งท่ามกลางป่าเขาเต็มไปด้วยไอหมอกเย็นจัด ไฟดับทั่วบริเวณ มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็กที่นาวินจุดไว้กลางโต๊ะไม้หน้าระเบียงบ้าน สะท้อนเงาไหวระริกบนผนังไม้เก่า ๆธนิดานั่งกอดเข่ามองฝนอย่างเงียบ ๆ ผมยาวสยายเล็กน้อยจากแรงลมที่พัดผ่าน ระเบียงไม้เก่าเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนที่สาดเข้ามา เธอห่มผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังม่านฝนผ่านบานหน้าต่างตรงหน้านาวินเดินออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันคลุมตัวเธอเพิ่มอีกชั้น มือหนาสัมผัสไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน“กลัวฟ้าร้องเหรอ” เขาถามเสียงเบาเธอส่ายหน้าเบา ๆ“เปล่าค่ะ... แค่รู้สึกเหงานิดหน่อย” ธนิดาตอบตามตรง เพราะฝนที่กำลังตกมันทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆเสียงฝนยังคงตกหนัก เสียงฟ้าร้องสลับมาเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกโอบล้อมด้วยความเงียบงันและความเปียกชื้น แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ตาม“ตอนเด็ก ๆ เวลาฝนต
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านอย่างอ่อนโยน แสงจันทร์สีเงินทอดตัวลงมาบนผิวทะเลที่ระยิบระยับเป็นประกาย เงาของสองร่างสะท้อนอยู่บนผืนทรายขาวสะอาด ท่ามกลางเสียงคลื่นซัดฝั่ง ธนิดายืนมองทะเลด้วยแววตาที่สงบ ในอ้อมแขนของชายผู้เป็นทั้งรักและความเจ็บปวดของเธอนาวินโอบเธอไว้จากด้านหลัง มือหนากระชับรอบเอวบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก“เธอรู้ไหม... ฉันกลัวที่สุด ว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเธออีก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงนั้นมีทั้งความโหยหาและอ่อนแอปนกันอยู่ธนิดาหันมา เงยหน้ามองเขาในระยะใกล้ ใกล้เสียจนเธอมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเธอเอื้อมมือขึ้น ลูบแก้มเขาเบา ๆ“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว และจะไม่ไปไหนอีก... ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยความอันตรายแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างคุณเสมอ คุณนาวิน”คำพูดนั้นราวกับปลดล็อกบางอย่างในหัวใจของเขา ชายหนุ่มโน้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูบนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เย้ายวน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน มันเป็นความโหยหาที่เขาตามหามาโดยตลอดมือหนาของเขาเลื่อนจากเอวบางลงมายังก้นเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่จะออกแรงบ
แสงแดดยามสายสาดส่องลงมาผ่านหลังคามุงจากของร้านกาแฟริมทะเลหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนชายหาดอันเงียบสงบ ลมทะเลพัดเบาๆ พัดพากลิ่นเค็มของน้ำทะเลและกลิ่นหอมของกาแฟคั่วใหม่เข้ามาในร้าน โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มที่วางเรียงรายอยู่นอกชานร้านถูกประดับด้วยแจกันดอกไม้ป่าขนาดเล็ก เก้าอี้หวายที่ดูเรียบง่ายแต่สะดวกสบายวางคู่กันเป็นระเบียบ เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งดังแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงนกร้องที่ลอยมาจากต้นมะพร้าวสูงใหญ่ที่เรียงรายตามแนวชายฝั่ง ทุกอย่างในที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่น เป็นโลกที่ห่างไกลจากความโหดร้ายและความตายที่เคยครอบงำชีวิตของนาวินและธนิดานาวินนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งของชานร้าน เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่ปลดกระดุมเม็ดบน และกางเกงยีนส์สีเข้มที่ดูสบายๆ รอยแผลเป็นที่แขนและขาของเขายังคงมองเห็นได้ แต่บาดแผลส่วนใหญ่หายดีแล้ว เขาดูผ่อนคลายมากกว่าที่เคยเป็น ดวงตาคู่คมของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความระแวงตอนนี้สงบนิ่งและเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาถือแก้วกาแฟในมือ และมองออกไปที่ทะเลที่ทอดยาวไปถึงขอบฟ้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยความหวังธนิดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา เธอสวมชุด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาบนชายหาดที่เงียบสงบ ผ่านหน้าต่างไม้บานใหญ่ของบ้านพักริมทะเลหลังเล็กๆ คลื่นซัดเข้าฝั่งอย่างแผ่วเบา เสียงของมันดังเป็นจังหวะที่สงบและนุ่มนวล ต่างจากค่ำคืนแห่งสงครามเมื่อสองสัปดาห์ก่อนลมทะเลพัดพากลิ่นเค็มของน้ำและกลิ่นหญ้าสดจากสวนเล็กๆ หน้าบ้านเข้ามาในห้อง ผนังไม้สีน้ำตาลอ่อนของบ้านพักถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะไม้ตัวเล็กวางอยู่กลางห้อง ข้างๆ กันเป็นโซฟาผ้าสีครีมที่ดูนุ่มนวล ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย สิ่งที่ทั้งนาวินและธนิดาไม่เคยสัมผัสมาเนิ่นนานนาวินนั่งอยู่บนโซฟา ขาข้างซ้ายของเขายังคงพันผ้าพันแผล แต่บาดแผลที่ไหล่และแขนของเขาเริ่มหายดี เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมสองเม็ดด้านบน และกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินที่ดูสบายๆ ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายมากกว่าที่เคยเป็น ดวงตาคู่คมที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและความระแวงตอนนี้สงบนิ่ง เขาถือแก้วกาแฟในมือ และมองออกไปที่ทะเลที่ทอดยาวไปถึงขอบฟ้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่าแต่เต็มไปด้วยความหวังธนิดานั่งอยู่ข้างเขา เธอสวมชุดเดรสสีขาวบางเบาที่ปลิวไหวไปตามลม ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอถูกรวบไว้หลวมๆ แ
ลมแรงจากทะเลพัดผ่านชายหาดยามค่ำที่เงียบสงัด เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ผสมกับเสียงลมที่พัดผ่านต้นมะพร้าวที่เรียงรายอยู่ตามแนวชายฝั่ง ท้องฟ้าสีดำสนิทถูกแต้มด้วยดวงดาวระยิบระยับ แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาบนผืนทรายสีขาวทำให้ทุกอย่างดูเหมือนฉากในฝันที่ทั้งงดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน กลิ่นเค็มของน้ำทะเลลอยอยู่ในอากาศ ผสมกับกลิ่นดินและความชื้นจากพายุที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อบ่ายนี้ ชายหาดแห่งนี้ควรจะเป็นสถานที่แห่งความสงบ แต่ในคืนนี้ มันกลายเป็นสนามรบสุดท้ายนาวินยืนอยู่บนผืนทราย ร่างกายของเขายังคงอ่อนแรงจากบาดแผลที่ได้รับเมื่อสองวันก่อน ปืนกลสั้นในมือขวาของเขาถูกกำเอาไว้แน่น ขาข้างซ้ายที่ถูกพันผ้าพันแผลทำให้เขายืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่สายตาคู่คมของเขายังคงลุกโชนด้วยความมุ่งมั่นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ และมีมีดสั้นเหน็บอยู่ที่เอวเป็นอาวุธสำรอง ธนิดายืนเคียงข้างเขา ปืนพกในมือของเธอเล็งไปข้างหน้า เธอสวมเสื้อแจ็กเก็ตสีเทาที่ขาดวิ่น และผมสีน้ำตาลเข้มของเธอปลิวไสวไปตามสายลม หัวใจของเธอเต้นรัว แต่ความกลัวในใจถู