แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาผ่านรอยแตกของม่านกำมะหยี่ในห้องพักของธนิดา แต่มันไม่สามารถขจัดความหนาวเย็นที่ยังคงเกาะอยู่ในใจของเธอได้ หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืน ภาพลูกน้องของนาวินที่ถูกฆ่าตาย และการหายตัวไปของมณี เธอแทบไม่ได้นอนเลย เธอนั่งอยู่บนเตียงพร้อมปืนพกที่นาวินให้มาวางอยู่ข้างตัว เธอจับมันแน่นเป็นระยะๆ ราวกับมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยในคฤหาสน์แห่งนี้
ก๊อกๆๆ
ความเงียบในเช้าวันนั้นถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูที่หนักแน่น เธอสะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนทันที ประตูถูกปลดล็อกและเปิดออก เผยให้เห็นร่างของนาวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำที่ม้วนแขนขึ้นถึงข้อศอก เผยให้เห็นรอยสักรูปพระจันทร์เสี้ยวที่แขนซ้ายของเขา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ก็แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก
“ตามฉันมา” เขาสั่งสั้นๆ โดยไม่รอให้เธอตอบ เขาหันหลังและเดินออกไปทันที
ธนิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองปืนที่วางอยู่บนเตียงและตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวใต้เสื้อเชิ้ต เธอรู้สึกว่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอต้องพร้อมสำหรับทุกอย่าง เธอรีบเดินตามเขาไป โดยพยายามก้าวให้ทันฝีเท้าที่หนักแน่นของเขา
นาวินพาเธอเดินผ่านโถงทางเดินยาวของคฤหาสน์ ลงบันไดวนที่นำไปสู่ชั้นล่าง และมุ่งหน้าไปยังประตูเหล็กหนาหนักที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือในห้องนั่งเล่น เธอเคยเห็นประตูนี้มาก่อนแต่ไม่เคยคิดว่ามันจะนำไปยังที่ไหน เขาดึงตู้หนังสือออกและใช้กุญแจที่ห้อยอยู่กับเอวของเขาไขประตูนั้น ประตูส่งเสียงดังกริ๊กก่อนจะเปิดออก เผยให้เห็นบันไดหินแคบๆ ที่ทอดลงไปสู่ความมืดด้านล่าง
“เราจะไปไหนกัน” ธนิดาถามด้วยน้ำเสียงที่ระแวง เธอหยุดชะงักที่ขอบบันได มองลงไปในความมืดที่ดูเหมือนจะกลืนทุกอย่าง
“ฉันต้องการให้เธอเห็นบางอย่าง” นาวินตอบโดยไม่หันกลับมามอง เขาก้าวลงบันไดไปก่อน และหายเข้าไปในเงามืด “ถ้าเธออยากเข้าใจโลกนี้จริงๆ ตามฉันมา”
ธนิดากัดริมฝีปากแน่น ความกลัวและความอยากรู้ต่อสู้กันอยู่ในใจของเธอ แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจก้าวตามเขาไป เธอเดินลงบันไดหินทีละขั้น อากาศเย็นชื้นและกลิ่นคาวเลือดจางๆ เริ่มลอยเข้ามาในจมูกของเธอ ยิ่งเธอเดินลงไปลึกเท่าไหร่ กลิ่นนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เธอรู้สึกถึงความหนาวที่ซึมเข้าไปในกระดูก และหัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเธอถึงชั้นล่าง เธอพบว่าตัวเองอยู่ในห้องลับใต้ดินขนาดใหญ่ ผนังทำจากคอนกรีตหนาที่ย้อมสีด้วยคราบน้ำเก่าๆ และพื้นปูด้วยหินที่เย็นเฉียบ เพดานต่ำเต็มไปด้วยท่อเหล็กที่ส่งเสียงน้ำหยดเป็นระยะๆ แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวสว่างจ้าส่องลงมาจากด้านบน เผยให้เห็นกล่องไม้และถุงพลาสติกจำนวนมากที่วางเรียงกันเป็นกองสูง กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นเคมีบางอย่างที่เธอเดาว่าน่าจะเป็นยาเสพติดลอยอยู่ในอากาศ
“นี่มันอะไร?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา เธอมองไปที่กล่องไม้ที่เปิดอยู่กล่องหนึ่ง และเห็นถุงผงสีขาวถูกบรรจุอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“คลังยาเสพติด” นาวินตอบสั้นๆ เขาเดินไปยืนข้างกองกล่องและมองมาที่เธอ “นี่คือสิ่งที่ทำให้เงาจันทรายังอยู่ได้ เงินจากยาพวกนี้ไหลเข้ามาทุกวัน และมันคือเหตุผลที่เสือดาวอยากกำจัดฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความคลื่นไส้ที่พุ่งขึ้นมาในท้องของเธอ เธอเคยได้ยินว่านาวินควบคุมการค้ายาในเมืองนี้ แต่การเห็นมันด้วยตาตัวเองทำให้เธอรู้สึกถึงน้ำหนักของความโหดร้ายนี้อย่างแท้จริง เธอมองไปที่นาวินและพยายามหาคำพูด “คุณ... คุณภูมิใจกับสิ่งนี้เหรอ”
นาวินหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะฟังดูแห้งผากและปราศจากความสุข “ภูมิใจเหรอ ไม่มีใครภูมิใจกับมันหรอก แต่มันคือสิ่งที่ฉันต้องทำ”
“ต้องทำงั้นเหรอ” เธอถามต่อ “ถ้ามันไม่ได้ทำให้คุณภูมิใจขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่เลิกทำ คุณก็มีเงินเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง”
เขาหยุดชะงัก สายตาของเขาที่มองเธอเปลี่ยนไปเป็นความมืดมิดที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เขาเดินเข้ามาใกล้เธอช้าๆ จนเธอรู้สึกถึงไอร้อนจากลมหายใจของเขา
“เพราะฉันไม่มีทางเลือก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง “แม่ของฉันถูกฆ่าโดยพ่อของฉันเอง เพราะเขาเป็นมาเฟียที่โหดร้ายเกินกว่าจะรักใครได้ หลังจากนั้น เขาก็ตายในสงครามแก๊ง และฉันต้องรับช่วงต่อเพื่อปกป้องน้องชายของฉัน”
ธนิดารู้สึกถึงความหนักอึ้งในคำพูดของเขา เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขาและเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆ “ปกป้องน้องชายของคุณ? หมายความว่ายังไง”
“เขาป่วย” นาวินตอบ “โรคหัวใจตั้งแต่กำเนิด ฉันต้องหาเงินให้มากที่สุดเพื่อรักษาเขา และเงาจันทราคือหนทางเดียวที่ฉันมี”
คำพูดของเขาทำให้ธนิดาเงียบไป เธอเริ่มเข้าใจว่าเบื้องหลังความเย็นชาและความโหดร้ายของเขา มีบางอย่างที่เปราะบางซ่อนอยู่ เธออยากจะถามอะไรต่อ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นก็ดังขึ้นจากบันไดหิน ลูกน้องของนาวินสองคนเดินลงมา โดยลากร่างของมณีที่ถูกมัดมือมัดเท้ามาด้วย
มณีอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ผมสีเทาของเธอยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น และมีรอยช้ำที่ใบหน้าและแขน เธอถูกผลักลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้นหินเย็นต่อหน้าพวกเขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกลัว แต่ก็แฝงด้วยความท้าทาย
“เจอตัวแล้วครับ นายท่าน” ลูกน้องคนหนึ่งรายงาน “จับได้ที่โกดังร้างห่างจากที่นี่สิบกิโลเมตร เธอพยายามหนี แต่ไม่รอด”
นาวินมองมณีด้วยสายตาที่เย็นชา เขาค่อยๆ เดินไปยืนตรงหน้าเธอและก้มลงเพื่อมองตาเธอ “พูดมา ใครสั่งให้เธอทรยศฉัน”
มณีเงียบไปครู่หนึ่ง เธอกัดฟันแน่นและมองไปที่ธนิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะหันกลับมามองนาวิน
“แก๊งเสือดาวค่ะนายท่าน...” เธอพูดในที่สุด “พวกมันจ่ายเงินให้ฉันเพื่อส่งข่าว และเมื่อคืนฉันเป็นคนเปิดประตูให้พวกมันเข้ามา”
ธนิดารู้สึกถึงความตกใจที่พุ่งขึ้นมาในอกของเธอ เธอเคยสงสัยมณี แต่การได้ยินคำสารภาพจากปากของเธอเองทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น เธอมองไปที่นาวิน และเห็นใบหน้าของเขาที่แข็งกร้าวขึ้นทันที
“ทำไม” เขาถามต่อ น้ำเสียงของเขาเย็นเยือกจนน่ากลัว “ฉันให้ทุกอย่างกับเธอ ที่อยู่อาศัย เงินทอง ทำไมเธอถึงหักหลังฉัน”
มณีหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั้นแหบแห้งและเต็มไปด้วยความขมขื่น “ทุกอย่างที่คุณให้ มันไม่เคยพอ! ฉันทำงานให้คุณมานาน แต่ฉันไม่เคยได้อิสรภาพ ฉันเบื่อที่จะเป็นแค่หมากตัวหนึ่งในเกมของคุณ พวกเสือดาวสัญญาว่าจะให้ฉันมากกว่านั้น มากกว่าที่คุณให้ทั้งหมด”
“แล้วเธอก็เชื่องั้นเหรอ” นาวินยืนนิ่ง สายตาของเขาจ้องมณีราวกับจะเผาเธอให้มอดไหม้ เขาหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พาเธอไปที่มุมห้อง”
ลูกน้องสองคนลากมณีไปที่มุมหนึ่งของห้องใต้ดิน เธอดิ้นรนและตะโกนออกมา “คุณฆ่าฉันไม่ได้! ฉันรู้ความลับของคุณมากเกินไป!” แต่คำพูดของเธอไม่มีผลอะไร นาวินหยิบปืนพกจากเอวของเขาและเดินไปหาเธอช้าๆ
“นาวิน!” ธนิดาตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “คุณจะทำอะไร?”
เขาหันมามองเธอชั่วครู่ สายตาของเขาเย็นชาแต่แฝงด้วยบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก “เธออยากอยู่ในโลกนี้ เธอต้องเรียนรู้ว่ามันทำงานยังไง” เขาพูด “จำไว้... คนที่ทรยศต้องไม่มีที่ยืน”
ก่อนที่ธนิดาจะได้พูดอะไรต่อ เขาก็ยกปืนขึ้นเล็งไปที่มณี เธอกรีดร้องออกมาและพยายามคลานหนี แต่ลูกน้องจับเธอไว้แน่น
“อย่า!!!” ธนิดาร้องห้าม
ปัง!
กระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากของมณี ร่างของเธอล้มลงกับพื้นทันที เลือดไหลนองออกมาจากบาดแผล กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นขึ้นในอากาศ
ธนิดารู้สึกถึงความตกใจที่พุ่งขึ้นมาจนแทบหยุดหายใจ เธอยกมือขึ้นปิดปากและถอยหลังไปสองสามก้าว ขาของเธอสั่นจนแทบยืนไม่อยู่นาวินหันกลับมามองเธอ ปืนในมือของเขายังมีควันลอยออกจากปลายกระบอก “นี่คือโลกที่ฉันอยู่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “และถ้าเธออยากรอด เธอต้องยอมรับมัน”
ธนิดารู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาในดวงตา เธออยากจะวิ่งหนี อยากจะตะโกนใส่เขาว่าเธอเกลียดโลกแห่งนี้ แต่ลึกๆ แล้ว เธอก็รู้ว่าเขาไม่ได้โกหก เธอเคยยิงปืนช่วยเขา เธอเคยเห็นความตายมาแล้ว และตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีทางหันหลังกลับ เธอเริ่มเข้าใจความโหดร้ายของที่นี่ และเข้าใจว่าเบื้องหลังความเย็นชาของนาวิน มีความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยพูดออกมา
“คุณ... คุณเคยเสียใจบ้างไหม” เธอถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
นาวินมองเธอนานกว่าปกติ ก่อนจะตอบ “ทุกวัน” เขาหันหลังและเดินออกจากห้องใต้ดินไป โดยทิ้งเธอไว้กับร่างของมณีและกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ธนิดายืนนิ่งอยู่นาน เธอมองไปที่ร่างของมณีและรู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ ความลับที่แตกสลายในห้องนี้ไม่ใช่แค่ของมณี แต่เป็นของนาวินด้วย และตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอได้ก้าวเข้ามาในเงามืดที่ลึกเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการ
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอคราง
เสียงฝนที่เคยตกหนักทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่เกาะอยู่บนใบไม้และกลิ่นดินเปียกที่ยังลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศธนิดานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ห้องพักของเธอเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอเพิ่งกลับจากการสอบปากคำของนาวินที่ห้องทำงานของเขา ชายหน้านิ่งเย็นชาที่ตอนนี้เริ่มเผยความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่างออกมาทีละน้อยก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของนาวินดังขึ้นธนิดาหันกลับไปมอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด ผมเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเดินฝ่าฝนมาจากห้องด้านหลังคฤหาสน์เธอไม่ตอบ… แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมาของเขาเช่นกันเขาเดินเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ กับกลิ่นฝนผสมกันลอยคลุ้งในอากาศระหว่างคนทั้งสอง“คุณมาทำไม” เธอถามเสียงแผ่ว“เพราะคืนนี้ฉันไม่อยากนอนคนเดียว” เขาตอบด้วยสายตาจริงจังอย่างน่าประหลาด “และฉันก็แน่ใจว่าเธอก็ไม่อยาก…”เธอหันหน้าหนี แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด“อย่ามาทำเหมือนรู้จักฉันดี”“แต่ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้…”ไม่ทันให้เธอได้ตั้งคำถาม ร่างสูงของน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องลอดผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอฝนจากค่ำคืนยังคงหลงเหลือในอากาศ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น ร่างสูงของนาวินขยับตัวเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเขาหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าของธนิดาดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยาวสยายอยู่บนหมอน ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส และริมฝีปากบางที่ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดีนาวินยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านโครงหน้าละมุนละไมของเธอด้วยความทะนุถนอม“สวยเหลือเกิน...” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจธนิดาขยับเล็กน้อย เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสบกับเขา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากทันทีที่เห็นเขาอยู่ข้างกาย“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“พึ่งตื่น... แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้มองเธอมาตลอดทั้งคืนเลย”เธอหลับตาอย่างเขินอาย ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา นาวินขยับเข้าไปใกล้ โอบร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลูบไล้ผ่านลำคอเธอ“เมื่อคืนฝันดีไหมครับ”“ค่ะ ฉันฝันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา“แล้วถ้า
เสียงฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้าร้องครืน ๆ ดังลั่นท้องฟ้า บรรยากาศรอบบ้านพักของธนิดาที่นาวินกลับมาซ่อมแซมให้จนสามารถกลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้งท่ามกลางป่าเขาเต็มไปด้วยไอหมอกเย็นจัด ไฟดับทั่วบริเวณ มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็กที่นาวินจุดไว้กลางโต๊ะไม้หน้าระเบียงบ้าน สะท้อนเงาไหวระริกบนผนังไม้เก่า ๆธนิดานั่งกอดเข่ามองฝนอย่างเงียบ ๆ ผมยาวสยายเล็กน้อยจากแรงลมที่พัดผ่าน ระเบียงไม้เก่าเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนที่สาดเข้ามา เธอห่มผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังม่านฝนผ่านบานหน้าต่างตรงหน้านาวินเดินออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันคลุมตัวเธอเพิ่มอีกชั้น มือหนาสัมผัสไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน“กลัวฟ้าร้องเหรอ” เขาถามเสียงเบาเธอส่ายหน้าเบา ๆ“เปล่าค่ะ... แค่รู้สึกเหงานิดหน่อย” ธนิดาตอบตามตรง เพราะฝนที่กำลังตกมันทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆเสียงฝนยังคงตกหนัก เสียงฟ้าร้องสลับมาเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกโอบล้อมด้วยความเงียบงันและความเปียกชื้น แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ตาม“ตอนเด็ก ๆ เวลาฝนต
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านอย่างอ่อนโยน แสงจันทร์สีเงินทอดตัวลงมาบนผิวทะเลที่ระยิบระยับเป็นประกาย เงาของสองร่างสะท้อนอยู่บนผืนทรายขาวสะอาด ท่ามกลางเสียงคลื่นซัดฝั่ง ธนิดายืนมองทะเลด้วยแววตาที่สงบ ในอ้อมแขนของชายผู้เป็นทั้งรักและความเจ็บปวดของเธอนาวินโอบเธอไว้จากด้านหลัง มือหนากระชับรอบเอวบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก“เธอรู้ไหม... ฉันกลัวที่สุด ว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเธออีก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงนั้นมีทั้งความโหยหาและอ่อนแอปนกันอยู่ธนิดาหันมา เงยหน้ามองเขาในระยะใกล้ ใกล้เสียจนเธอมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเธอเอื้อมมือขึ้น ลูบแก้มเขาเบา ๆ“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว และจะไม่ไปไหนอีก... ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยความอันตรายแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างคุณเสมอ คุณนาวิน”คำพูดนั้นราวกับปลดล็อกบางอย่างในหัวใจของเขา ชายหนุ่มโน้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูบนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เย้ายวน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน มันเป็นความโหยหาที่เขาตามหามาโดยตลอดมือหนาของเขาเลื่อนจากเอวบางลงมายังก้นเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่จะออกแรงบ