LOGINรถสปอร์ตคันหรูแล่นฝ่าพายุฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นาวินหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางลัดเลาะตามไหล่เขา ถนนเส้นนี้มืดสนิทไร้แสงไฟ มีเพียงไฟหน้ารถที่สาดส่องตัดผ่านม่านฝนเผยให้เห็นต้นไม้สูงใหญ่สองข้างทางที่โอนเอนตามแรงลม
ภายในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจหนักหน่วงของชายหนุ่มที่ดังแข่งกับเสียงที่ปัดน้ำฝน
ธนิดานั่งตัวเกร็ง สายตาจับจ้องไปที่ไหล่ซ้ายของเขา เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมาเป็นวงกว้างและเริ่มหยดลงบนเบาะหนัง ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยดุดันตอนนี้ซีดเผือดจนน่าใจหาย เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้าแม้ว่าแอร์ในรถจะเย็นเฉียบ
"คุณนาวินจอดรถเถอะค่ะ ให้ฉันขับแทนเถอะ" ธนิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "คุณกำลังเสียเลือดมากแล้วนะคะ"
“เงียบเถอะน่า!" นาวินกัดฟันตอบ เสียงของเขาแหบพร่ากว่าเดิม "อีกนิดเดียวก็ถึงเซฟเฮาส์แล้ว"
"แต่คุณจะหมดสติอยู่แล้ว!" เธอเถียงกลับ ความกลัวว่าจะเสียเขาไปทำให้เธอลืมความกลัวที่มีต่อเขาไปจนหมด "ถ้าคุณตาย แล้วฉันจะอยู่กับใคร!"
คำพูดนั้นทำให้นาวินชะงักไปชั่วครู่ เขาเหลือบมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนลงเล็กน้อย ริมฝีปากซีดเซียวยกยิ้มมุมปากอย่างยากลำบาก
"หึ... กลัวไม่มีคนปกป้องสินะ"
เขาฝืนบังคับรถต่อไปอีกเกือบสิบนาที จนกระทั่งเลี้ยวเข้าไปจอดหน้ากระท่อมไม้สไตล์โมเดิร์นหลังหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่อย่างมิดชิดท่ามกลางป่าสน ทันทีที่รถจอดสนิท นาวินก็ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยทันที
"นาวิน!" ธนิดากรีดร้อง เธอรีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอื้อมมือไปเขย่าตัวเขา "คุณ! อย่าเพิ่งหลับนะ!"
"ยัง... ยังไม่ตาย" เขาพึมพำ พยายามดันตัวลุกขึ้น "ช่วย... พยุงฉันหน่อย"
ธนิดารีบลงจากรถ วิ่งอ้อมไปฝั่งคนขับแล้วเปิดประตู เธอสอดแขนเล็กๆ ของเธอเข้าไปใต้รักแร้ของเขา แล้วออกแรงพยุงร่างหนาที่หนักอึ้งให้ลุกออกมา นาวินทิ้งน้ำหนักตัวเกือบทั้งหมดลงบนไหล่บางของเธอ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธออยากอาเจียน แต่เธอกัดฟันแน่น พาเขาเดินโซซัดโซเซเข้าไปในบ้าน
ภายในเซฟเฮาส์มืดสนิทและเย็นชื้น ธนิดาคลำหาสวิตช์ไฟไม่เจอ จึงตัดสินใจวางร่างของเขาลงบนโซฟาหนังตัวยาวกลางห้อง แสงจันทร์สลัวที่ลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาทำให้พอมองเห็นสภาพของเขา
แผลถูกยิงที่ไหล่ดูน่ากลัวกว่าที่คิด ปากแผลเปิดกว้างและเลือดก็ยังไหลไม่หยุด
"กล่องพยาบาล..." นาวินชี้มือสั่นๆ ไปที่ตู้ไม้ริมผนัง "กับ... เหล้า"
ธนิดารีบวิ่งไปหยิบกล่องพยาบาลและขวดวิสกี้มาวางบนโต๊ะกระจก เธอมือสั่นเทาขณะหยิบกรรไกรมาตัดเสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขาออก เผยให้เห็นแผงอกกว้างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยแผลเป็นจางๆ จากการต่อสู้ในอดีต
"ฉัน... ฉันไม่เคยทำแผลถูกยิง" เธอบอกเสียงเครือ น้ำตาคลอเบ้า "ถ้าฉันทำคุณเจ็บล่ะ"
"ทำๆ ไปเถอะ เจ็บกว่านี้ฉันก็โดนมาแล้ว" นาวินกัดฟันกรอด เขาคว้าขวดวิสกี้กระดกเข้าปากอึกใหญ่เพื่อใช้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ระงับความเจ็บปวด ก่อนจะเทราดลงบนบาดแผลสดๆ
"อึก!!" ร่างหนากระตุกเกร็ง เส้นเลือดที่ขมับปูดโปน
ธนิดากลั้นใจใช้สำลีซับเลือดและคีบเอาหัวกระสุนที่ฝังไม่ลึกมากออกมาตามคำบอกของเขา ทุกครั้งที่เขาครางต่ำในลำคอ หัวใจเธอก็เจ็บแปลบราวกับโดนมีดกรีด
ผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ในที่สุดแผลก็ถูกเย็บและพันผ้ากอซเรียบร้อย นาวินนอนหอบหายใจรวยรินบนโซฟา ส่วนธนิดานั่งหมดแรงอยู่บนพื้นข้างๆ เขา เนื้อตัวของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเขา
"เก่งมาก..." นาวินเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาเอื้อมมือข้างที่ดีมาวางบนศีรษะของเธอแล้วลูบเบาๆ "เธอช่วยชีวิตฉันไว้อีกแล้วนะ"
สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำลายกำแพงความเข้มแข็งของธนิดาจนพังทลาย เธอซบหน้าลงกับฝ่ามือของเขาแล้วปล่อยโฮออกมา
"ฮึก... ฉันกลัว... ฉันนึกว่าคุณจะตายแล้ว"
"คนอย่างนาวิน ตายยาก" เขายิ้มบางๆ ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่แก้มเธอ "แต่ถ้าต้องตายวันนี้ก็คุ้มแล้วที่มีเธออยู่ข้างๆ"
ธนิดาเงยหน้ามองเขา ดวงตาแดงช้ำสบกับดวงตาคมเข้มที่มองมาด้วยความหมายลึกซึ้ง บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ความเงียบ ความมืด และความตายที่เพิ่งผ่านพ้น ทำให้ความรู้สึกบางอย่างเด่นชัดขึ้นมา
"ทำไมคุณถึงช่วยฉัน" เธอถามเสียงแผ่ว "ทำไมถึงเอาตัวมาบังกระสุนให้ฉัน ทั้งที่ฉันเป็นแค่ลูกหนี้"
นาวินถอนหายใจยาว เขาดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงพนักโซฟา แม้จะเจ็บแผลแต่เขาก็ยังดึงเธอขึ้นมานั่งข้างๆ
"เพราะเรื่องหนี้... ฉันโกหก"
ธนิดาเบิกตากว้าง "หมายความว่ายังไง?"
"พ่อของเธอไม่ได้หนีไป" นาวินมองลึกเข้าไปในตาเธอ ราวกับจะถ่ายทอดความจริงใจทั้งหมดที่มี "เขาเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องข้อมูลชุดนั้น และฝากฝังให้ฉันดูแลเธอ เขาตายไปแล้วธนิดา ตายตั้งแต่สามเดือนก่อน"
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ธนิดาตัวชาดิก "คุณ... คุณว่าอะไรนะ!”
"ฉันขอโทษที่ปิดบัง" นาวินกุมมือเธอแน่น "แต่ถ้าฉันบอกความจริงแต่แรก เธอคงสติแตก และไอ้พวกนั้นที่จ้องจะเล่นงานเธอคงจับได้ว่าเธอรู้เรื่องรหัสผ่าน ฉันเลยต้องสร้างละครฉากใหญ่ ทำเป็นเจ้าหนี้โหดเพื่อขังเธอไว้ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด นั่นก็คือข้างกายฉัน"
"คุณ... หลอกฉัน" น้ำตาแห่งความเสียใจไหลพรากออกมาอีกครั้ง เธอทุบลงที่อกเขาเบาๆ "คนบ้า! ปล่อยให้ฉันเกลียดคุณตั้งนาน! ปล่อยให้ฉันรอพ่ออย่างมีความหวัง! คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!!”
"ทุบสิ... ทุบให้พอใจ" นาวินไม่ห้าม ปล่อยให้เธอระบายความอัดอั้น "แต่ฉันสัญญานะว่านับจากนี้ไป ฉันจะเป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นเพื่อน และเป็นผู้ชายของเธอ จะไม่มีใครหน้าไหนมาแตะต้องเธอได้อีก แม้แต่ปลายเล็บ"
ธนิดาหยุดมือลง เธอมองใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียวแต่แววตามั่นคงดุจหินผา ความโกรธเคืองมลายหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาแทนที่
"คุณสัญญาแล้วนะ..."
"ด้วยชีวิต"
นาวินโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนที่มีกลิ่นวิสกี้จางๆ รินรดผิวหน้าเธอ ธนิดาหลับตาลงรับสัมผัส ริมฝีปากหยักได้รูปประทับลงมาบนกลีบปากของเธออย่างแผ่วเบา นุ่มนวล และโหยหา
จูบนั้นไม่ใช่จูบที่เร่าร้อนดุดันเหมือนพายุฝนข้างนอก แต่เป็นจูบที่อ่อนหวานและปลอบประโลม ราวกับเป็นการประทับตราสัญญาใจบทใหม่ ท่ามกลางค่ำคืนที่เหน็บหนาวที่สุด หัวใจสองดวงได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้น
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอครางอ
แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาตกกระทบเตียงนอนนุ่ม สร้างลวดลายของแสงเงาที่ดูอบอุ่นและสงบเงียบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนหน้าบ้านและเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบา เป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับบ้านพักริมทะเลแห่งนี้นาวินลืมตาตื่นขึ้นก่อนใครตามความเคยชิน เขานอนตะแคงเท้าแขนมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของธนิดาเปรียบเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดที่ขับกล่อมจิตวิญญาณอันแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงปลายนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มใสของภรรยาอย่างเบามือ เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใครจะเชื่อว่าอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่เคยมองโลกเป็นสีเทาหม่น จะมานอนยิ้มให้กับคนรักในยามเช้าแบบนี้"อือ..." ธนิดาขยับตัวเล็กน้อย ครางงัวเงียในลำคอเมื่อถูกรบกวน เธอกะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัส ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นใบหน้าของสามีเป็นสิ่งแรกของวัน"อรุณสวัสดิ์ค่ะ... คุณบาริสต้า" เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย" นาวินก้มลงจูบหน้าผากมนหนักๆ "ตื่นสายนะวันนี้ เมื่อคืนโดนกวนดึกไปหน่อยเหรอ?"ธนิดาหน้าแดงซ่าน นึกถึงกิจกรรมรักท่ามกลางสายฝนเมื
ท้องฟ้าเหนือทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนบดบังแสงจันทร์ที่เคยสุกสกาว เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ ก่อนที่สายฝนเม็ดหนาจะเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโกรธเกรี้ยวใครมานับร้อยปีภายในห้องนอนชั้นสองของบ้านพักริมทะเล บรรยากาศกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสร้างความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเทียนหอมอโรมากลิ่นวานิลลาลอยอบอวลจางๆ ผสมกับเสียงเม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างที่กลายเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนธนิดานั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่งบุนวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในความมืดมิดที่มีเพียงเส้นสายของน้ำฝน เธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของนาวินที่ยาวคลุมลงมาถึงต้นขา เผยให้เห็นขาเรียวสวยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด"คิดอะไรอยู่..."เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง นาวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาสวมเพียงกางเกงนอนขายาวเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามสวยงามที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมเปียกชื้นลู่ลงมาปรกหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนาวินวางคางลงบนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกายเธอ "หรือเธ
ค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไร้เมฆหมอกบดบัง ดวงจันทร์กลมโตทอแสงสีนวลสาดส่องลงบนผืนน้ำทะเลจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรนับพันเม็ด เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวดังเป็นจังหวะขับกล่อมธรรมชาติให้หลับใหล แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งสวมแหวนหมั้นกันหมาดๆ รัตติกาลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนาวินจูงมือธนิดาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงบ ห่างไกลจากบ้านพักและร้านกาแฟของพวกเขาออกมาพอสมควร จนกระทั่งถึงเวิ้งอ่าวเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยโขดหินธรรมชาติ เป็นมุมส่วนตัวที่มีเพียงหาดทราย สายลม และแสงจันทร์"คุณพาฉันมาเดินไกลขนาดนี้ จะแอบพาไปฆ่าหมกทรายหรือเปล่าคะเนี่ย" ธนิดาแกล้งแซว ทำลายความเงียบนาวินหยุดเดิน หันมามองเธอด้วยสายตาพราวระยับที่ทำให้ธนิดารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขารั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอเบียดกับแผงอกแกร่งของเขา"ฆ่าหมกทรายมันเชยไป..." เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากเธอ “พามากินไปชมวิวไป น่าจะเหมาะกว่า"ธนิดาหน้าแดงซ่าน ตีอกเขาเบาๆ "คนทะลึ่ง! ที่โล่งแจ้งขนาดนี้ใครจะไปยอม...""ไม่มีใครหรอก แถวนี้เป็นเขตส่วนตัวของเรา" นาวินไม่พูดเปล่า เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวอ
เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวละเอียดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคล้าคลอไปกับเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์มินิมอลริมทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลผสมผสานกับไอเค็มของทะเล สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาดป้ายไม้เหนือประตูร้านสลักคำว่า The Moonlight ตัวอักษรหวัดๆ แต่สวยงามฝีมือเจ้าของร้านภายในเคาน์เตอร์บาร์นาวินในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกำลังขะมักเขม้นกับการเทนมลงในถ้วยกาแฟเพื่อทำลาเต้อาร์ต แม้ใบหน้าจะยังคงความคมเข้มดุดันตามแบบฉบับอดีตมาเฟีย แต่แววตาที่จ้องมองฟองนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนจนน่าเอ็นดู"เบี้ยวอีกแล้วค่ะคุณบาริสต้า"เสียงใสๆ ดังขึ้นจากโต๊ะมุมร้าน ธนิดาละสายตาจากบัญชีรายรับรายจ่ายในแท็บเล็ต เงยหน้าขึ้นมองผลงานศิลปะในถ้วยกาแฟของสามีแล้วหลุดขำออกมา "นั่นรูปหัวใจหรือรูปก้อนเมฆคะเนี่ย"นาวินถอนหายใจพรืด วางเหยือกนมลงแล้วยกมือเท้าเอว "ยากกว่ายิงปืนอีก ฉันว่าฉันเหมาะกับการชงกาแฟดำเพียวๆ มากกว่านะ""ไม่ได้ค่ะ" ธนิดาลุกเดินมาหาเขาที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เขาเรียบร้อย "คุณบอกเองว่าจะเปิดร







