ธนิดาถูกจับไปเป็นตัวประกันระหว่างรอชดใช้หนี้ให้มาเฟียอย่างนาวิน ความใกล้ชิดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความรัก ทว่าท่ามกลางอันตรายและความลับที่ปิดซ่อนไว้ ทั้งสองจะเอาชนะโชคชะตาและความเสี่ยงของโลกมาเฟียได้หรือไม่
View Moreซู่ๆๆ!!!!
ฝนตกหนักราวกับฟ้าจะถล่มลงมาในค่ำคืนนั้น เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาบ้านไม้เก่าของธนิดาดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บ้านสองชั้นที่สร้างจากไม้สักเก่าแก่ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืดมิด ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ใบหนาที่ยื่นออกมาบดบังแสงจันทร์จนแทบมองไม่เห็นอะไรรอบตัว บรรยากาศเย็นชื้นและเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่ดังแว่วมาจากป่าด้านหลังบ้าน และกลิ่นดินเปียกที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
ธนิดา วัย 25 ปี หญิงสาวร่างบางที่มีผมยาวสีน้ำตาลเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่ขาดเล็กน้อยตรงชายเสื้อ และกางเกงยีนส์เก่าที่ดูไม่เข้ากับใบหน้าสวยหวานของเธอ ดวงตาคู่คมของเธอจ้องมองออกไปในความมืดที่ห่อหุ้มรอบบ้านราวกับพยายามมองหาความหวังบางอย่าง แต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงเงาต้นไม้ที่โอนเอนไปตามแรงลม และสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฝนตกหนักแบบนี้ คงไม่น่ามีใครมาแล้วหรอกมั้ง...” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความเหนื่อยล้าและความกังวล เธอยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เริ่มเปียกชื้นจากไอฝนที่ลอยเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท
ตั้งแต่พ่อของเธอหายตัวไปเมื่อสามเดือนก่อน ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากหญิงสาวที่เคยใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองเล็กๆ กลายมาเป็นคนที่ต้องดูแลบ้านเก่าหลังนี้เพียงลำพัง ลุงสมชาย คนขับรถเก่าที่เคยทำงานให้ครอบครัวเธอตั้งแต่สมัยพ่อยังอยู่ เป็นเพียงคนเดียวที่ยังคอยช่วยเหลือเธอในยามที่ไม่มีใครเหลือ แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของเธอก็ยังไม่เคยหายไป
ทันใดนั้น เสียงดังสนั่นจากด้านล่างบ้านทำให้ธนิดาสะดุ้งสุดตัว
ปัง!
มันไม่ใช่แค่เสียงฝนหรือลมที่พัดประตูให้กระแทก มันเป็นเสียงระเบิดเล็กๆ ที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบ้าน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของลุงสมชายที่ดังลั่นจากชั้นล่าง
“คุณหนู! หนีไปเดี๋ยวนี้!” เสียงของลุงสมชายดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่เพียงไม่กี่วินาที เสียงนั้นก็เงียบลงทันที ตามมาด้วยเสียงปืนดัง
ปัง! ปัง!
สองนัดติดต่อกัน
หัวใจของธนิดาเต้นรัวราวกับจะหลุดออกจากอก เธอรีบหันตัววิ่งไปที่ประตูห้องนอน แต่ก่อนที่เธอจะได้แตะลูกบิด เสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นจากบันไดไม้เก่าที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่มีคนเหยียบ ธนิดาหยุดชะงัก สายตาของเธอเหลือบไปมองลิ้นชักข้างเตียงที่เธอเคยซ่อนปืนพกเก่าๆ ไว้ ปืนที่พ่อของเธอสอนให้เธอยิงตั้งแต่ยังเด็ก เธอเคยฝึกยิงปืนกับเขาในป่าหลังบ้านสมัยที่เธออายุแค่สิบขวบ แต่หลังจากนั้นเธอก็เก็บมันไว้และไม่เคยหยิบขึ้นมาอีกเลย
“ไม่ทันแล้ว...” เธอกัดฟันแน่น ความกลัวทำให้มือของเธอสั่น แต่ก่อนที่เธอจะตัดสินใจได้ว่าจะหยิบปืนหรือหนี เสียงดังสนั่นที่ประตูห้องนอนของเธอก็เกิดขึ้น
ปัง!
ประตูไม้เก่าถูกเตะจนแตกกระจาย เศษไม้ปลิวว่อนไปทั่วห้อง กลุ่มชายชุดดำสี่คนบุกเข้ามาด้วยท่าทีดุดัน แต่ละคนสวมเสื้อสูทสีดำเปียกชุ่มฝน และถือปืนกลสั้นในมือ ใบหน้าของพวกเขาถูกซ่อนไว้ใต้หมวกกันน็อกสีดำที่สะท้อนแสงจากหลอดไฟเก่าบนเพดาน หนึ่งในนั้นยกปืนขึ้นเล็งมาที่เธอทันที
“อย่าขยับ!” เสียงตะโกนดังลั่น หยาบกระด้างและเย็นชา “ลงไปชั้นล่างเดี๋ยวนี้!”
ธนิดายกมือขึ้นช้าๆ หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงมันดังอยู่ในหู เธอพยายามสงบสติและมองหาทางหนี แต่ชายชุดดำทั้งสี่คนยืนขวางทุกทางออกของเธอไว้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินตามคำสั่ง
เมื่อเธอเดินลงบันไดไม้ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดทุกย่างก้าว สายตาของเธอก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ลุงสมชายนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นห้องรับแขก เลือดไหลนองจากบาดแผลที่หน้าอกของเขา กลิ่นคาวเลือดผสมกับกลิ่นฝนลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งบ้าน เธออยากจะกรีดร้อง อยากจะวิ่งเข้าไปหาเขา แต่ขาของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกตรึงไว้กับพื้น
“ลุงสมชาย!!!” เธอร้องออกมา น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เธอจะได้ก้าวไปข้างหน้า ชายชุดดำคนหนึ่งก็ยกปืนขึ้นเล็งมาที่เธออีกครั้ง
“เงียบ!” เขาตะคอก “ถ้าไม่อยากตายตามมันไปด้วย”
ธนิดากัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ เธอพยายามกลืนน้ำตาและความกลัวลงไปในลำคอ ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ แต่เธอรู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่มีพลังมากพอที่จะทำอะไรได้ เธอได้แต่ยืนนิ่ง มองร่างของลุงสมชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยเขาได้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและฟังดูเชื่องช้ากว่าคนอื่นๆ ดังขึ้นจากหน้าประตูบ้าน ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก ร่างสูงของเขาสวมเสื้อโค้ตสีดำยาวที่เปียกชุ่มจนน้ำหยดลงพื้น ใบหน้าคมเข้มของเขาถูกเน้นด้วยแสงจากหลอดไฟที่สั่นไหว ดวงตาคู่คมที่เต็มไปด้วยอำนาจจ้องมองมาที่เธอราวกับมองทะลุเข้าไปถึงวิญญาณ ในมือขวาของเขา เขาถือปืนพกสีเงินที่ยังมีควันลอยออกจากปลายกระบอกเล็กน้อย
“หนี้ของพ่อเธอถึงเวลาชดใช้แล้ว” เสียงของเขาดังขึ้น เย็นชาและหนักแน่นราวกับคำตัดสินที่ไม่อาจโต้แย้งได้
ธนิดามองชายคนนั้นด้วยความหวาดกลัวปนสงสัย เธอเคยได้ยินเรื่องของ “เงาจันทรา” จากพ่อของเธอสมัยที่เขายังอยู่ เขาเคยเล่าให้ฟังถึงแก๊งมาเฟียที่โหดเหี้ยมและมีอิทธิพลครอบคลุมเมืองนี้ แต่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง
“คุณ... คุณเป็นใคร?” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา แต่พยายามรักษาความกล้าไว้ให้มากที่สุด
ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่เย็นเยียบและเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ฉันคือนาวิน หัวหน้าแก๊งเงาจันทรา และพ่อของเธอติดหนี้ฉัน 50 ล้านบาทจากการพนันใต้ดินที่เขาไม่มีวันจ่ายคืนได้”
“50 ล้าน?!” ธนิดาตกใจจนแทบล้ม เธอรู้ว่าพ่อของเธอเคยมีปัญหาเรื่องการพนัน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมากขนาดนี้ “พ่อของฉันหายตัวไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนด้วยซ้ำ แล้วฉันจะหาเงินขนาดนั้นมาจากไหน!”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน” นาวินตอบกลับทันควัน เขาก้าวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นจนเธอรู้สึกถึงไอเย็นจากร่างของเขาที่เปียกฝน “ถ้าเขาไม่จ่าย ฉันจะเผาบ้านหลังนี้ทิ้ง และทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องตาย รวมถึงเธอด้วย”
ธนิดาหายใจถี่ขึ้น หัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก เธอมองไปรอบๆ ห้อง เห็นร่างของลุงสมชายที่นอนจมกองเลือด และชายชุดดำที่ยังคงเล็งปืนมาที่เธอ เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีทางเลือกมากนักในสถานการณ์นี้ แต่เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองยอมจำนนง่ายๆ
“ถ้าคุณฆ่าฉัน คุณจะไม่ได้เงินคืนสักบาท” เธอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้หนักแน่น “ถ้าคุณต้องการเงิน ฆ่าฉันไปก็ไม่มีประโยชน์”
นาวินหยุดชะงัก เขามองเธอด้วยสายตาที่พิจารณา รอยยิ้มเย็นชาของเขาค่อยๆ จางลงเล็กน้อย “ฉลาดกว่าที่คิดไว้อีกนะ” เขากล่าว “งั้นฉันจะให้ทางเลือกเธอ มาเป็น 'หลักประกัน' ของฉัน อยู่กับฉันจนกว่าหนี้จะถูกชดใช้ หรือ...”
เขาหยุดพูด และหันไปสั่งลูกน้องด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก “ถ้ามันไม่เลือก ก็ฆ่ามันซะ แล้วเผาบ้านนี่ให้วอด”
ลูกน้องคนหนึ่งยกปืนขึ้นเล็งมาที่หน้าผากของธนิดาทันที เธอรู้สึกถึงความเย็นของปลายกระบอกปืนที่แตะผิวหนังของเธอ ความกลัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด แต่ในใจของเธอกลับมีบางอย่างที่บอกให้เธอต้องสู้ต่อไป เธอเคยเห็นพ่อของเธอต่อสู้กับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ และเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองตายที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลย
“หยุด!” เธอตะโกนออกไปก่อนที่ลูกน้องของนาวินจะเหนี่ยวไก “ฉัน... ฉันจะไปกับคุณ”
นาวินยกมือขึ้นสั่งให้ลูกน้องหยุดทันที เขามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจ “ดี” เขากล่าวสั้นๆ “พามันไปที่รถ”
ธนิดารู้สึกถึงมือหนาของชายชุดดำที่จับแขนเธอแน่นและลากเธอออกไปจากบ้าน เธอหันกลับไปมองร่างของลุงสมชายเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง แต่เธอกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา เธอถูกผลักขึ้นรถยนต์สีดำคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน สายฝนยังคงตกลงมาอย่างหนัก ซัดลงบนกระจกรถจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด
นาวินขึ้นนั่งข้างเธอบนเบาะหลัง เขาไม่พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่นั่งนิ่งและมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่เย็นชา รถเคลื่อนตัวออกไปจากบ้านไม้เก่าที่เธอเคยเรียกว่าบ้าน ทิ้งไว้เพียงความเงียบและกลิ่นคาวเลือดที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ในใจของธนิดาเต็มไปด้วยความโกรธ ความกลัว และคำถามมากมาย เธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอไปไหน หรือทำไมเขาถึงทิ้งหนี้ก้อนโตนี้ไว้ให้เธอ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้แน่ชัดคือ เธอจะต้องหาทางเอาตัวรอดจากนาวินและโลกอันโหดร้ายที่เขาพาเธอเข้ามาให้ได้
ฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่รถยนต์คันนั้นพาเธอมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่เธอไม่อาจคาดเดาได้ และในความมืดมิดนั้น เงาของนาวินที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็ดูเหมือนเงามืดที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
ฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอคราง
เสียงฝนที่เคยตกหนักทั้งคืนเริ่มซาลง เหลือเพียงละอองฝนบางเบาที่เกาะอยู่บนใบไม้และกลิ่นดินเปียกที่ยังลอยวนอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศธนิดานั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่าง ห้องพักของเธอเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง เธอเพิ่งกลับจากการสอบปากคำของนาวินที่ห้องทำงานของเขา ชายหน้านิ่งเย็นชาที่ตอนนี้เริ่มเผยความรู้สึกซ่อนเร้นบางอย่างออกมาทีละน้อยก๊อก ๆ ๆเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงทุ้มต่ำของนาวินดังขึ้นธนิดาหันกลับไปมอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบาง ปลดกระดุมบนออกสองเม็ด ผมเปียกชื้นเล็กน้อยจากการเดินฝ่าฝนมาจากห้องด้านหลังคฤหาสน์เธอไม่ตอบ… แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมาของเขาเช่นกันเขาเดินเข้ามาใกล้ จนกลิ่นโคโลญจ์อ่อน ๆ กับกลิ่นฝนผสมกันลอยคลุ้งในอากาศระหว่างคนทั้งสอง“คุณมาทำไม” เธอถามเสียงแผ่ว“เพราะคืนนี้ฉันไม่อยากนอนคนเดียว” เขาตอบด้วยสายตาจริงจังอย่างน่าประหลาด “และฉันก็แน่ใจว่าเธอก็ไม่อยาก…”เธอหันหน้าหนี แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด“อย่ามาทำเหมือนรู้จักฉันดี”“แต่ฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้…”ไม่ทันให้เธอได้ตั้งคำถาม ร่างสูงของน
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ส่องลอดผ้าม่านบาง ๆ เข้ามาในห้องนอน กลิ่นไอฝนจากค่ำคืนยังคงหลงเหลือในอากาศ แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น ร่างสูงของนาวินขยับตัวเบา ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆเขาหันไปมองคนข้างกายที่ยังคงหลับตาพริ้ม ใบหน้าของธนิดาดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ผมยาวสยายอยู่บนหมอน ผิวขาวเนียนชวนสัมผัส และริมฝีปากบางที่ขยับเพียงเล็กน้อยราวกับกำลังฝันดีนาวินยกมือขึ้นแตะแก้มเธอเบา ๆ ปลายนิ้วไล้ผ่านโครงหน้าละมุนละไมของเธอด้วยความทะนุถนอม“สวยเหลือเกิน...” เขาพึมพำเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจธนิดาขยับเล็กน้อย เปลือกตาค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะสบกับเขา รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากทันทีที่เห็นเขาอยู่ข้างกาย“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“พึ่งตื่น... แต่ฉันรู้สึกเหมือนได้มองเธอมาตลอดทั้งคืนเลย”เธอหลับตาอย่างเขินอาย ก่อนจะยิ้มหวานให้เขา นาวินขยับเข้าไปใกล้ โอบร่างบางของเธอไว้ในอ้อมกอด ลมหายใจอันอบอุ่นของเขาลูบไล้ผ่านลำคอเธอ“เมื่อคืนฝันดีไหมครับ”“ค่ะ ฉันฝันว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดไป...”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา“แล้วถ้า
เสียงฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดตั้งแต่หัวค่ำ ฟ้าร้องครืน ๆ ดังลั่นท้องฟ้า บรรยากาศรอบบ้านพักของธนิดาที่นาวินกลับมาซ่อมแซมให้จนสามารถกลับมาอยู่อาศัยได้อีกครั้งท่ามกลางป่าเขาเต็มไปด้วยไอหมอกเย็นจัด ไฟดับทั่วบริเวณ มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มเล็กที่นาวินจุดไว้กลางโต๊ะไม้หน้าระเบียงบ้าน สะท้อนเงาไหวระริกบนผนังไม้เก่า ๆธนิดานั่งกอดเข่ามองฝนอย่างเงียบ ๆ ผมยาวสยายเล็กน้อยจากแรงลมที่พัดผ่าน ระเบียงไม้เก่าเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองฝนที่สาดเข้ามา เธอห่มผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องไปยังม่านฝนผ่านบานหน้าต่างตรงหน้านาวินเดินออกมาพร้อมผ้าห่มผืนใหญ่ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันคลุมตัวเธอเพิ่มอีกชั้น มือหนาสัมผัสไหล่เธอเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน“กลัวฟ้าร้องเหรอ” เขาถามเสียงเบาเธอส่ายหน้าเบา ๆ“เปล่าค่ะ... แค่รู้สึกเหงานิดหน่อย” ธนิดาตอบตามตรง เพราะฝนที่กำลังตกมันทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆเสียงฝนยังคงตกหนัก เสียงฟ้าร้องสลับมาเป็นระยะ บรรยากาศรอบตัวเหมือนถูกโอบล้อมด้วยความเงียบงันและความเปียกชื้น แต่ภายในบ้านกลับอบอุ่นอย่างประหลาด ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ตาม“ตอนเด็ก ๆ เวลาฝนต
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านอย่างอ่อนโยน แสงจันทร์สีเงินทอดตัวลงมาบนผิวทะเลที่ระยิบระยับเป็นประกาย เงาของสองร่างสะท้อนอยู่บนผืนทรายขาวสะอาด ท่ามกลางเสียงคลื่นซัดฝั่ง ธนิดายืนมองทะเลด้วยแววตาที่สงบ ในอ้อมแขนของชายผู้เป็นทั้งรักและความเจ็บปวดของเธอนาวินโอบเธอไว้จากด้านหลัง มือหนากระชับรอบเอวบางแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปอีก“เธอรู้ไหม... ฉันกลัวที่สุด ว่าจะไม่มีโอกาสได้บอกรักเธออีก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู น้ำเสียงนั้นมีทั้งความโหยหาและอ่อนแอปนกันอยู่ธนิดาหันมา เงยหน้ามองเขาในระยะใกล้ ใกล้เสียจนเธอมองเห็นความสั่นไหวในดวงตาคมเข้มคู่นั้นเธอเอื้อมมือขึ้น ลูบแก้มเขาเบา ๆ“ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว และจะไม่ไปไหนอีก... ไม่ว่าชีวิตคุณจะเต็มไปด้วยความอันตรายแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างคุณเสมอ คุณนาวิน”คำพูดนั้นราวกับปลดล็อกบางอย่างในหัวใจของเขา ชายหนุ่มโน้มลงจูบเธออย่างแผ่วเบาในตอนแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน จูบนั้นก็เริ่มลึกซึ้งขึ้น มันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เย้ายวน และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เก็บกดมานาน มันเป็นความโหยหาที่เขาตามหามาโดยตลอดมือหนาของเขาเลื่อนจากเอวบางลงมายังก้นเนียนนุ่มของอีกฝ่าย ก่อนที่จะออกแรงบ
Comments