Masukฟ้าร้องกึกก้องจนผนังสั่นสะเทือน เม็ดฝนกระหน่ำราวกับพายุร้ายกำลังโหมกระหน่ำใส่โลกใบนี้ไม่หยุดในห้องใต้ดินขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่หลังคฤหาสน์ ธนิดากับนาวินนั่งอยู่ด้วยกันบนฟูกผืนเก่า มีเพียงแสงเทียนริบหรี่เป็นเพื่อน ความเงียบชวนอึดอัดกำลังคืบคลานขึ้นระหว่างทั้งสองคน“ข้างบนระเบิดเสียหายหนัก” นาวินพูดเรียบ ๆธนิดาพยักหน้า ดวงตาไม่กล้าสบกับเขา “เราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน?”“จนกว่าคนของฉันจะกวาดล้างพวกมันหมด... หรืออาจจะต้องรอจนกว่าฝนจะหยุด”เธอกอดเข่าตัวเองแน่น ลมหายใจเบาเหมือนกลัวว่าเสียงจะไปกระทบใจใครผ่านไปเกือบสิบนาที นาวินจึงลุกไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่ที่วางอยู่มุมห้อง และโยนมันคลุมตัวเธอ“เข้ามานี่” เขาเอ่ยนิ่ง ๆ พลางตบฟูกข้างตัวเธอลังเล “ฉัน... ไม่หนาว”“อย่าดื้อ”เมื่อเธอขยับตัวเข้าไปใกล้ ใต้ผ้าห่มเดียวกัน ความอบอุ่นของร่างกายเริ่มแผ่ซ่านออกมา แต่มันไม่ใช่แค่เพียงไออุ่นจากผิวหนัง หากแต่เป็นความร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจทั้งคู่ฝนยังคงตกแต่เสียงฝนเริ่มจางลงในใจของทั้งสอง เมื่อดวงตาคู่นั้นเริ่มสบกันโดยไม่มีคำพูดใด ๆ“รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่?” เขาถามเบา ๆ“เพราะฉันเสี่ยงตายเพื่อคุณงั้น
เสียงปิดประตูดังปัง พร้อมแรงดึงที่กระชากไหล่เล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้าร่างสูงที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น“คิดจะหนีฉันเหรอ!” น้ำเสียงของนาวินต่ำลึกและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เขาแทบไม่ต้องข่มอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ทุกหยดเลือดในกายกำลังเดือดพล่านธนิดาถอยกรูดหลังชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือดทั้งที่ดวงตายังเปล่งแสงกร้าว “ฉันไม่ได้หนี ฉันแค่... เลือกจะไม่อยู่ในที่ที่อันตรายอีกต่อไป!”“อันตรายเหรอ?” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ดวงตาคู่คมไล่มองเรือนร่างเธออย่างไม่ปิดบังเจตนา “หรือว่าเธอกลัวหัวใจตัวเอง?”“อย่ามาเล่นคำกับฉันนะ...”นาวินไม่ให้เธอพูดจบ มือหนาตรึงข้อมือเล็กทั้งสองไว้เหนือศีรษะ เขากระแทกเธอกับผนังอย่างไม่อ่อนโยน แล้วกระซิบชิดใบหู“ถ้ากล้าจะ ‘ไป’ โดยไม่บอก ฉันก็จะ ‘ลงโทษ’ เธอให้หลาบจำไปจนถึงเช้า”เขาไม่ปล่อยเวลาให้เธอตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกดลงบนลำคอขาวเนียน ก่อนจะลากต่ำลงเรื่อย ๆ ผ่านกระดูกไหปลาร้า ราวกับกำลังลงอาคมแห่งความเป็นเจ้าของธนิดาเผลอครางเสียงสั่นเมื่อริมฝีปากของเขาแตะจุดไวสัมผัสตรงเหนือเนินอก นิ้วมือของเขาคลายกระดุมเสื้อเธอทีละเม็ดช้า ๆ ทว่าร้อนแรง“นาวิน...หยุด...” เธอครางอ
แสงแดดยามเช้าตรู่สาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งสีขาวเข้ามาตกกระทบเตียงนอนนุ่ม สร้างลวดลายของแสงเงาที่ดูอบอุ่นและสงบเงียบ เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนหน้าบ้านและเสียงคลื่นกระทบฝั่งแผ่วเบา เป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับบ้านพักริมทะเลแห่งนี้นาวินลืมตาตื่นขึ้นก่อนใครตามความเคยชิน เขานอนตะแคงเท้าแขนมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดที่ยังคงหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของธนิดาเปรียบเสมือนดนตรีที่ไพเราะที่สุดที่ขับกล่อมจิตวิญญาณอันแข็งกระด้างของเขาให้อ่อนโยนลงปลายนิ้วหนาเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปรกแก้มใสของภรรยาอย่างเบามือ เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ใครจะเชื่อว่าอดีตหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่เคยมองโลกเป็นสีเทาหม่น จะมานอนยิ้มให้กับคนรักในยามเช้าแบบนี้"อือ..." ธนิดาขยับตัวเล็กน้อย ครางงัวเงียในลำคอเมื่อถูกรบกวน เธอกะพริบตาถี่ๆ ปรับโฟกัส ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นใบหน้าของสามีเป็นสิ่งแรกของวัน"อรุณสวัสดิ์ค่ะ... คุณบาริสต้า" เสียงหวานแหบพร่าเล็กน้อยจากการเพิ่งตื่น"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย" นาวินก้มลงจูบหน้าผากมนหนักๆ "ตื่นสายนะวันนี้ เมื่อคืนโดนกวนดึกไปหน่อยเหรอ?"ธนิดาหน้าแดงซ่าน นึกถึงกิจกรรมรักท่ามกลางสายฝนเมื
ท้องฟ้าเหนือทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาทะมึน เมฆฝนก้อนใหญ่เคลื่อนตัวเข้าปกคลุมจนบดบังแสงจันทร์ที่เคยสุกสกาว เสียงฟ้าคำรามครืนครั่นดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ ก่อนที่สายฝนเม็ดหนาจะเทกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโกรธเกรี้ยวใครมานับร้อยปีภายในห้องนอนชั้นสองของบ้านพักริมทะเล บรรยากาศกลับแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง แสงไฟสีส้มสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสร้างความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย กลิ่นเทียนหอมอโรมากลิ่นวานิลลาลอยอบอวลจางๆ ผสมกับเสียงเม็ดฝนกระทบกระจกหน้าต่างที่กลายเป็นดนตรีขับกล่อมยามค่ำคืนธนิดานั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่งบุนวมริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปในความมืดมิดที่มีเพียงเส้นสายของน้ำฝน เธอสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของนาวินที่ยาวคลุมลงมาถึงต้นขา เผยให้เห็นขาเรียวสวยที่ซ่อนอยู่ในเงามืด"คิดอะไรอยู่..."เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง นาวินเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เขาสวมเพียงกางเกงนอนขายาวเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามสวยงามที่มีหยดน้ำเกาะพราว ผมเปียกชื้นลู่ลงมาปรกหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงและเซ็กซี่อย่างร้ายกาจนาวินวางคางลงบนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมของสบู่ที่ติดอยู่บนผิวกายเธอ "หรือเธ
ค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดโล่ง ไร้เมฆหมอกบดบัง ดวงจันทร์กลมโตทอแสงสีนวลสาดส่องลงบนผืนน้ำทะเลจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับดุจเพชรนับพันเม็ด เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวดังเป็นจังหวะขับกล่อมธรรมชาติให้หลับใหล แต่สำหรับคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งสวมแหวนหมั้นกันหมาดๆ รัตติกาลนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นนาวินจูงมือธนิดาเดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เงียบสงบ ห่างไกลจากบ้านพักและร้านกาแฟของพวกเขาออกมาพอสมควร จนกระทั่งถึงเวิ้งอ่าวเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมด้วยโขดหินธรรมชาติ เป็นมุมส่วนตัวที่มีเพียงหาดทราย สายลม และแสงจันทร์"คุณพาฉันมาเดินไกลขนาดนี้ จะแอบพาไปฆ่าหมกทรายหรือเปล่าคะเนี่ย" ธนิดาแกล้งแซว ทำลายความเงียบนาวินหยุดเดิน หันมามองเธอด้วยสายตาพราวระยับที่ทำให้ธนิดารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เขารั้งเอวบางเข้ามาแนบชิด จนหน้าอกนุ่มหยุ่นของเธอเบียดกับแผงอกแกร่งของเขา"ฆ่าหมกทรายมันเชยไป..." เขากระซิบเสียงพร่าชิดริมฝีปากเธอ “พามากินไปชมวิวไป น่าจะเหมาะกว่า"ธนิดาหน้าแดงซ่าน ตีอกเขาเบาๆ "คนทะลึ่ง! ที่โล่งแจ้งขนาดนี้ใครจะไปยอม...""ไม่มีใครหรอก แถวนี้เป็นเขตส่วนตัวของเรา" นาวินไม่พูดเปล่า เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวอ
เสียงคลื่นซัดสาดหาดทรายขาวละเอียดดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคล้าคลอไปกับเสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่หน้าประตูร้านกาแฟเล็กๆ สไตล์มินิมอลริมทะเล กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟคั่วบดลอยอบอวลผสมผสานกับไอเค็มของทะเล สร้างบรรยากาศที่แปลกใหม่แต่ลงตัวอย่างน่าประหลาดป้ายไม้เหนือประตูร้านสลักคำว่า The Moonlight ตัวอักษรหวัดๆ แต่สวยงามฝีมือเจ้าของร้านภายในเคาน์เตอร์บาร์นาวินในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้มกำลังขะมักเขม้นกับการเทนมลงในถ้วยกาแฟเพื่อทำลาเต้อาร์ต แม้ใบหน้าจะยังคงความคมเข้มดุดันตามแบบฉบับอดีตมาเฟีย แต่แววตาที่จ้องมองฟองนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความตั้งใจและอ่อนโยนจนน่าเอ็นดู"เบี้ยวอีกแล้วค่ะคุณบาริสต้า"เสียงใสๆ ดังขึ้นจากโต๊ะมุมร้าน ธนิดาละสายตาจากบัญชีรายรับรายจ่ายในแท็บเล็ต เงยหน้าขึ้นมองผลงานศิลปะในถ้วยกาแฟของสามีแล้วหลุดขำออกมา "นั่นรูปหัวใจหรือรูปก้อนเมฆคะเนี่ย"นาวินถอนหายใจพรืด วางเหยือกนมลงแล้วยกมือเท้าเอว "ยากกว่ายิงปืนอีก ฉันว่าฉันเหมาะกับการชงกาแฟดำเพียวๆ มากกว่านะ""ไม่ได้ค่ะ" ธนิดาลุกเดินมาหาเขาที่เคาน์เตอร์ เอื้อมมือไปจัดปกเสื้อให้เขาเรียบร้อย "คุณบอกเองว่าจะเปิดร


![นรสิงห์ [มาเฟียร้ายรัก]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




