“หนิงหนิง นี่เธอจะไม่ไปเรียนที่เดียวกับพวกเราจริงๆ น่ะหรือ” รั่วฉินเพื่อนวัยเด็กที่เรียนมาด้วยกันตั้งเเต่ชั้นประถมเอ่ยขึ้น
หยูหนิงมองถ้วยไอศกรีมตรงหน้า จนเวลาผ่านไปพักหนึ่งจึงเงยหน้ามามองคนถามเเล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
“ทำไมล่ะ เพราะอะไรหนิงหนิงถึงไม่ไปเรียนที่เดียวกับพวกเรา” คราวนี้ทั้งกลุ่มหันมาถามเป็นเสียงเดียวกัน
เด็กสาววัยสิบห้าเวลาอยู่รวมกันแล้วเหมือนนกกระจอกเเตกรังอย่างที่เขาว่าจริงด้วย หยูหนิงคิดในใจพลางหัวเราะขำๆ ดวงตาสีดำคู่โตหันไปมองที่ถ้วยของคนอื่น โดยลืมให้เหตุผลเพื่อนตัวเองเสียสนิท
'อืม...วานิลลาของรั่วฉินน่ากินมากเลย สตรอว์เบอร์รี่ของหวางอินก็ดูท่าทางจะอร่อย ชาเขียวของมั่วฉางก็สีสันน่ากินสุดๆ หรือเราจะเเลกกันคนละคำกับพวกเธอดี'
เห็นท่าทางอยู่ในโลกส่วนตัวของหยูหนิงแล้ว ทุกคนก็ได้เเต่ส่ายหน้าปลงตก เพราะรู้ดีว่าต่อให้พยายามถามอีกก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเธอจึงหันไปสนใจถ้วยไอศกรีมตัวเองบ้าง ทว่าพอไอศกรีมหมดเสียงจอเเจก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง หยูหนิงมองเพื่อนๆ ที่พยายามถามเธออย่างเอาเป็นเอาตาย เเล้วส่ายหน้านึกในใจขำๆ เวลาเรียนตั้งใจกันขนาดนี้ไหมเนี่ย
“สรุปว่าเธอจะไม่ไปสอบเข้าที่เดียวกับพวกเราจริงๆ น่ะเหรอ หนิงหนิง” รั่วฉินถามพลางทำตาเเดงๆ
หยูหนิงผ่อนลมหายใจ จริงอยู่ที่เพื่อนๆ ในกลุ่มดูเเลเธอมาโดยตลอด ปฏิบัติกับเธออย่างทะนุถนอม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการให้เป็น เพราะตั้งเเต่เด็กนับจากที่จำความได้ หยูหนิงก็รู้ตัวเองดีว่าตัวเองนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหมอวินิจฉัย ทว่าอาการตอบสนองที่ช้ากว่าคนปกตินั้นทำให้คนรอบข้างตัดสินเธอไปเเล้ว
หยูหนิงไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้องดูแลราวกับเธอเป็นคนพิการ ยิ่งไม่อยากให้ใครมาทำราวกับว่าตนเองนั้นเป็นดั่งเเก้วที่พร้อมเเตกสลาย สิ่งที่หวังมีเพียงใครสักคนที่มองเธอเป็นคนปกติ
เธออยากเป็นคนพิเศษที่สำคัญ...ไม่ใช่คนพิเศษที่พิการทางสมองในสายตาของผู้คนรอบตัว
“เพราะอะไร ทำไมหนิงหนิงถึงจะไม่ไปสอบเข้าที่เดียวกับพวกเราล่ะ” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มผู้มาทีหลังดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงเกินคนวัยเดียวกันก้าวมายังโต๊ะ ก่อนเจ้าตัวจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ เด็กสาวเจ้าของชื่อที่เอ่ยเมื่อครู่อย่างสนิทสนม
สายตาทุกคู่มองมาที่เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ทันควัน ไม่เว้นเเม้เเต่เด็กสาวโต๊ะอื่นในร้าน ทว่าเจ้าตัวกลับเมินเฉยไม่คิดใส่ใจด้วยถือเป็นความเคยชินไปแล้ว
เฉิงเหยียนเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบหกที่ดูดีเกินอายุอย่างเหลือเชื่อ รูปร่างสูงโดดเด่นกับใบหน้าหล่อเหลาเพอร์เฟกต์ ทำให้เขาเคยถูกทาบทามจากเเมวมองวงการบันเทิงนับครั้งไม่ถ้วน เเต่เจ้าตัวก็ไม่คิดตอบตกลงสักครั้ง นั่นทำให้หลายคนพากันเดาเหตุผลไปต่างๆ นานา
บ้างก็ว่าเด็กหนุ่มไม่สนใจวงการที่ใช้หน้าตาเป็นจุดขาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะครอบครัวของเขาเป็นพวกมีฐานะไม่ธรรมดา จึงไม่อนุญาตให้ลูกหลานเข้าวงการนี้ เเละยังมีคำเล่าลือที่พูดต่อๆ กันไปอีกว่า การที่เฉิงเหยียนไม่ยอมตกลงเนื่องจากบริษัทพวกนั้นเข้มงวดเรื่องส่วนตัวและห้ามศิลปินมีคนรัก
พอมาถึงเหตุผลขอหลังนี้ทำให้ผู้หญิงหลายคนปักใจเชื่อ พวกหล่อนเริ่มมองหาคนที่พอจะเข้าข่ายรอบๆ ตัวเฉิงเหยียน ว่าใครกันแน่ที่ทำให้คนในดวงใจเด็กสาวเกือบทั้งโรงเรียนยอมทำเพื่ออีกฝ่ายได้ถึงขนาดนี้
หลังถกเถียงกันมาหลายรอบพวกเธอก็ได้ข้อสรุป
เฉิงเหยียนไม่เคยแสดงความสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ ไม่เคยคบหากับใครมากเกินกว่าฐานะเพื่อน มีเพียงคนเดียวที่ขวัญใจเด็กสาวให้ความสำคัญจนออกนอกหน้า นั่นก็คือ ‘หยูหนิง’ เด็กสาวออทิสติกคนดังของโรงเรียนที่ทุกคนต่างก็รู้จักกันดี
หยูหนิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองก็เป็นคนดังของโรงเรียนเช่นกัน ด้วยท่าทางใสซื่อบวกกับร่างเล็กบอบบาง ทำให้เด็กสาวดูน่ารักน่าทะนุถนอม อีกทั้งใบหน้าจุ๋มจิ๋มปากนิดจมูกหน่อย เมื่อรวมกับดวงตากลมโตฉ่ำน้ำ ภาพลักษณ์เธอจึงเปรียบดั่งตุ๊กตาเจ้าหญิงในเทพนิยาย มีเด็กหนุ่มไม่น้อยที่หวังเข้ามาสนิทสนมด้วย ทว่าเพราะเฉิงเหยียนทำให้พวกเขาได้แค่คิด แต่ไม่กล้ากระทำอย่างที่คิด
“อื้อ เราอยากสอบเข้าโรงเรียนเเถวนี้น่ะ มันใกล้บ้านเเละก็ได้อยู่กับคุณน้าด้วย” เสียงใสตอบเบาๆ เจ้าตัวไม่กล้าสบตาเพื่อนชายแม้แต่น้อย
เฉิงเหยียนเม้มปากขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเพราะคิดว่าหยูหนิงจะเข้าเรียนที่เดียวกัน เขาจึงใช้โควตานักกีฬาให้ตัวเอง มาถึงตอนนี้จะเปลี่ยนอะไรๆ ก็คงทำได้ยากเเล้ว เด็กหนุ่มพลันถอนหายใจ ดูท่าคงต้องยอมเเพ้ ถึงจะเรียนคนละที่เเต่ถ้าเขาหมั่นมาหาคงไม่มีอะไร
หยูหนิงยิ้มซื่อๆ ให้เพื่อนชาย เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายล้มเลิกความคิดจะตามไปเรียนที่เดียวกับเธอเเล้ว เเน่นอนว่าเด็กสาวรู้ดีถึงปิดเป็นความลับเเล้วค่อยมาเฉลยตอนหลัง เธออยากใช้ชีวิตเเบบคนธรรมดา ไม่ใช่ให้เพื่อนทุกคนมาคอยดูเเลราวกับไข่ในหิน เพราะนั่นคือการย้ำเตือนตัวเองว่าเธอนั้นไม่ปกติ!
ที่สำคัญถ้าหากเรียนต่อที่นี่ อย่างน้อยเธอก็ยังช่วยเเบ่งเบาภาระงานบ้านให้คุณน้าได้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หยูหนิงเลือกเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน
“โรงเรียนเกรดต่ำก็เหมาะสมกับสติปัญญาคนบางคนนะ ถือว่าเลือกได้ดี เหมาะสมกับตัวเองแล้ว” เสียงหวานทว่าแหลมเล็กจนฟังแล้วระคายหูของเด็กสาวโต๊ะข้างๆ ดังขึ้น คนพูดมองจ้องมาที่หยูหนิงอย่างท้าท้าย ริมฝีปากเเดงเรื่อเผยอขึ้นเป็นเเนวโค้ง คำพูดของเธอเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันได้ไม่น้อย
“แหม หูฟ่าน เธอก็รู้นี่ คนบางคนถึงจะปัญญาอ่อนเเต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเจียมตัว วันนี้คงสำนึกได้แล้วละมั้งว่าตัวเองนั้นเป็นภาระ” เด็กสาวอีกคนเอ่ยเสริมขึ้น ใบหน้ากลมของเธอยิ้มเหยียดอย่างจงใจ ดวงตาที่มองมาทางหยูหนิงมีเเววอิจฉาเผยให้เห็น
'ฮึ! คิดว่าเฉิงเหยียนเป็นใคร ยัยเด็กสติไม่ดีนั่นถือสิทธิ์อะไรมาเกาะติดเขา'
หยูหนิงรีบจับมือรั่วฉินที่แสดงท่าทีว่าไม่พอใจ พลางส่งสายตาห้ามเพื่อนคนอื่นๆ เด็กสาวอมยิ้มน้อยๆ ดั่งเคย ดวงตากลมหลุบลงปิดบังความรู้สึก ก่อนจะขยับลุกกล่าวคำร่ำลา
“ถ้างั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ บ๊ายบาย พรุ่งนี้เจอกันจ้า”
เพื่อนในกลุ่มต่างมองตามสีหน้าเป็นห่วง เฉิงเหยียนตวัดสายตาไปมองเด็กสาวสองคนโต๊ะข้างๆ จ้องเขม็ง ก่อนสะบัดหน้าใส่อีกฝ่ายเเสดงออกถึงอารมณ์ฉุนเฉียวไม่พอใจ
หูฟ่านกัดริมฝีปากแน่น ในใจนึกคาดโทษหยูหนิงไม่เลิก สำหรับคนอ่อนโยนเเบบเฉิงเหยียน การเเสดงออกเมื่อครู่ก็บอกได้เเล้วว่าเขาโกรธเเค่ไหน ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะนังเอ๋อนั่นคนเดียว น่าโมโหที่สุด!
เฉิงเหยียนวางเเก้วน้ำในมือเสียงดัง แล้วขยับกายลุกตามเด็กสาวที่ตัวเองสนใจทันที ดวงตาไม่เหลือบเเลคนด้านหลังเเม้เเต่น้อย
รั่วฉินมองตามร่างสูงที่ห่างออกไปด้วยสีหน้าไม่บอกความรู้สึก ทว่าแววตาเปล่งประกายไหววูบ ก่อนจะหันไปบอกลากลุ่มเพื่อนคนอื่นบ้าง
“เรากลับก่อนนะ พอดีมีธุระน่ะ”
บรรยากาศกร่อยแล้ว หลายคนจึงพยักหน้ารับ แล้วพากันลุกเดินไปจ่ายเงินเพื่อกลับบ้าง มีบางคนที่หันไปพูดกระทบกระเทียบหูฟ่านกับเพื่อนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะจากไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบทัน