“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หรือที่ผ่านมาเขาจะปล่อยปละละเลยสี่หนิงเหอมากจนเกินไป
“ก็แค่ถูกตีที่ศีรษะ...ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย”
คราแรกเขาเข้าใจว่าคนที่ลงมือจะเป็นคุณชายรอง หากเมื่อหวนคิดให้ดี...ฝีมือเช่นคุณชายรอง เรื่องที่จะทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้คงจะเป็นไปมิได้แน่นอน อีกทั้ง...แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใด แต่คุณชายรองก็มิคิดทำร้ายสี่หนิงเหอให้ถึงแก่ความตายเป็นแน่
หากมองว่าเป็นการกระทำของบ่าวไพร่คนอื่น ก็มิน่าจะเป็นไปได้ ด้วยว่าน้ำหนักมือที่ฟาดลงมานั้นมัน...พอดีเกินไป เหมือนกับต้องการจะให้สี่หนิงเหอคล้ายกับเจอเรื่องที่มิคาดคิด ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น หากมันก็เกิดขึ้น เขาก็เลยจบเห่...ลงตรงนั้น แต่คงจะผิดแผนไปหน่อย เพราะสี่หนิงเหอดัน...ได้รับพรจากสวรรค์ รอดชีวิตมาป่วนพวกเขาแทนอย่างไรเล่า และเมื่อรู้ว่าผู้ใดทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่คิดแค้นเคือง แต่จะให้มิเอาคืนบ้าง มันย่อมเป็นไปมิได้ จึงต้องหาวิธีเพื่อจัดการ...เอาคืน!
สี่หนิงเหอเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับศีรษะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซานเกอ ข้าเป็นหัวแข็งนะ ให้ตีอีกหลายสิบครั้งก็มิเป็นอันใดหรอก”
รอยยิ้มที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ อีกทั้งความสดใสที่มีของสี่หนิงเหอไม่ควรจะถูกใครก็ตามทำลายมันลงไปอีกแล้ว...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด มันก็ไม่ควรจะหายไป
“ต่อแต่นี้ไปจะมิมีใครตีเจ้าได้อีก” ส่วนผู้ใดที่เป็นคนทำร้ายสี่หนิงเหอ...เป็นคนที่ทำให้ใบหน้าเปื้อนยิ้มนี้ต้องเจ็บปวด ร่างกายที่ผอมบางนี้เลือดตกมีบาดแผล เห็นทีจะเอาไว้มิได้เช่นกัน!
แม้ในดวงตาของซานเกอเหมือนจะมีรอยยิ้ม หากสี่หนิงเหอกลับรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันเกิดเป็นความรู้สึกอึดอัดเสียจนแทบจะหายใจไม่ออก ซานเกอโกรธแค้นแทนเขาใช่ไหม...หากเป็นเช่นนั้นจริง สี่หนิงเหอเกือบจะหลุดรอยยิ้มออกมา
“ข้าขออะไรท่านสักอย่างได้หรือไม่ซานเกอ” ถ้าจะเอาคืนคนพวกนั้น เขาจำต้องมีฝีมือติดกายและในตอนนี้ผู้ที่จะช่วยเขาได้ก็เห็นจะมีเพียงแค่...ซานเกอเท่านั้น!
สี่หนิงเหอส่งยิ้มอย่างที่คิดว่าหวานที่สุดให้กับซานเกอ “นับตั้งแต่เล็ก...ข้าถูกทำร้ายบ่อยครั้งมาก จากที่คิดว่าคงเป็นเพียงแค่การเล่นกันระหว่างพี่น้อง ก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเติบใหญ่ขึ้น การทำร้ายหนักข้อมากขึ้นทุกครั้ง แม้จะรอดกลับมาก็ล้วนแล้วแต่หวุดหวิด...พร้อมกับอาการบาดเจ็บและบาดแผลตามร่างกายมากมายไปหมด บ่อยครั้งข้าก็นึกสงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก ดวงข้าดีจนเกินไปหรืออย่างไรกัน เพราะแดนน้ำพุเหลือง[1] ยังมิอยากต้อนรับข้ากันแน่”
ถ้าอยากจะได้รับความช่วยเหลือจากคนเช่นนี้ สี่หนิงเหอรู้ว่าเขาจะต้องมีเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้ซานเกอใจอ่อนและหาทางโต้ตอบกลับมิได้
“เจ้าต้องการสิ่งใด”
“ข้าเพียงแค่อยากให้ซานเกอ ช่วยสอนการวรยุทธ์ให้ข้า...สักเล็กน้อยนะขอรับ ท่านต้องไม่ลืมว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าไม่อยากจะหวังพึ่งแต่พวกท่านให้คอยปกป้องคุ้มครอง เพราะแม้จะระมัดระวังเพียงใด หากมันก็ต้องมีสักวันที่พลาดกันได้ ข้าอยากเป็นคนที่สามารถดูแลปกป้องตนเองได้” สามารถดูแลเสี่ยวฝานได้ด้วย
“จะไม่มีการพลาดเด็ดขาด ข้าจะปกป้องเจ้า จะมิยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้...ทุกคนก็จะปกป้องเจ้าเช่นกัน”
โธ่...ซานเกอ ท่านมิฟังคำกันบางเลยหรือไรขอรับ สี่หนิงเหอได้แต่กลอกตาไปมาขณะเดียวกันก็อยากรู้ว่าตัวเองก้าวขาข้างไหนออกจากเรือนตระกูลสี่ ด้วยไม่ว่าจะทำอันใดก็...ง่ายดายเหลือเกิน...เขาประชด! ก็ขนาดคิดว่าการเกลี้ยกล่อมซานเกอน่าจะเป็นเรื่องง่าย เขาก็ยังทำมิได้เลย
สงสัยว่าเมื่อไปถึงจวนท่านอ๋อง เขาคงจะต้องคิดหาวิถีทางพาตัวเองไปเรียนรู้เรื่องการเจรจาพาทีเสียหน่อยแล้ว เวลาทำการค้าจะได้ลื่นไหล จะเจรจาพาทีกับผู้ใดก็มีเสน่ห์พอที่จะสามารถชักจูงได้อย่างง่ายดายด้วย
“ท่านฟังข้าสักนิดได้ไหมขอรับซานเกอ”
“อย่างหนึ่งคือข้าเป็นองครักษ์ที่มิควรใกล้ชิดกับท่านเกินไป”
แล้วที่นั่งใกล้ชิดและจับแขนเขาเอาไว้มิยอมปล่อยนี้มันอะไรกันล่ะ มันค้านกันอยู่นะซานเกอ
“หากเจ้าอยากจะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างที่กล่าวจริง ข้าสามารถเรียนท่านอ๋องให้สละเวลามาให้คำแนะนำแก่ท่านได้นะ...หนิงเกอ”
จะคำพูดที่เหมือนจะชอบอกชอบใจอะไรสักอย่าง หรือจะเป็นแววตาที่มันพร่างพราวของซานเกอและยังจะเสียงหัวเราะแผ่วพลิ้วมันทำให้สี่หนิงเหอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นได้ทำอะไรบางอย่างพลาดไป!
“เราต้องไปกันแล้ว”
ซานเกอกล่าวให้รู้พร้อมส่งเสียงบางอย่างที่สี่หนิงเหอคิดว่ามันคงจะเป็นสัญญาณลับระหว่างกลุ่มพวกเขา แม้เขาจะเสียดาย หากโอกาสมิได้มีเพียงแค่ครั้งเดียว เขาจะรอเวลาเกลี้ยกล่อมให้ซานเกอใจอ่อนยอมสอนวรยุทธ์ให้ข้าให้จงได้!
เพราะมัวแต่ครุ่นคิด สี่หนิงเหอก็เลย...
“ท่าน...ท่านปล่อยให้ข้าเดินไปเองก็ได้ขอรับซานเกอ” ‘ไหนท่านกล่าวว่า ข้าและท่านมิควรใกล้ชิดกันเกินไปอย่างไรเล่าซานเกอ หากสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่นี่...’
“เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอเลยหรือหนิงเหอ ซุ่มซ่ามทำให้ตนเองเจ็บตัวได้เสมอ”
สี่หนิงเหออยากจะโต้ตอบออกไปว่า ‘เปล่าเสียหน่อย’ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งสองคราในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้โต้เถียงออกไปมิได้
“ก็...ไม่นะขอรับ อย่างเมื่อครู่ ข้าก็แค่สะดุดขาตัวเองเท่านั้นเอง” ไม่สะดุดเปล่า ยังถลาไปจนหน้ากระแทกเข้ากับแผ่นหลังของซานเกอเข้าอย่างจัง จนตอนนี้ยังเจ็บจมูกอยู่เลย
“เห็นทีข้าคงจะมิอาจให้เจ้าอยู่รอดพ้นสายตาและมิอาจให้ห่างกายอีกต่อไป”
หะ! เป็นเช่นนี้เขาก็แย่นะสิ
“โธ่...ซานเกอ เป็นเพราะข้ามิชินกันการเดินทางเช่นนี้ก็ได้ขอรับ ท่านน่าจะพอล่วงรู้ว่าข้ามิเคยออกจากเรือน อย่างดีที่ได้ไปไกลสุดก็เห็นจะเป็นตลาด ได้เจอกับเรื่องที่ควรเจอ มันก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ จนแข้งขาอ่อนแรงไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง ได้พัก ทานอาหารรสเลิศสักหน่อย ข้าก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”
“ดูท่า...ที่เรือนของเจ้าคงจะเลี้ยงเจ้าอย่างอดอยากปากแห้งมากเลยนะหนิงเหอ นับตั้งแต่ที่ข้าคุยกับเจ้ามา...เห็นเจ้าเรียกหาแต่อาหารอย่างเดียวเลย” ร่างกายถึงได้ผอมบางและเบาราวกับเด็กเช่นนี้
“ก็ใช่นะสิซานเกอ” สี่หนิงเหอพยักหน้ารับทั้งที่รู้ว่าซานเกอไม่เห็น เพราะตอนนี้ซานเกอให้ข้านั้นขี่หลังอยู่ จะว่าไปมันก็สบายเหมือนกันที่ไม่ต้องเดินด้วยตนเอง หากสี่หนิงเหอก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจ ที่ตนเองนั้นมิอาจจะเอ่ยพูดหรือครุ่นคิดในตอนนี้ได้
“ท่านรู้หรือไม่ ข้ากับเสี่ยวฝานต้องทานผัดผักกับข้าวต้มแทบจะทุกมื้อ คนที่นั่นกล่าวอ้างว่าข้าป่วยบ่อย มิควรที่จะทานเนื้อไก่ เนื้อหมู เดี๋ยวจะทำให้อาการป่วยที่เป็นอยู่หนักขึ้น” นี่เขามิได้กำลังฟ้องนะ แต่กล่าวออกไปเพราะหวังว่าจากนี้ไป เขาจะได้กินดีอยู่ดี ได้ทานอาหารอย่าง...หมูตุ๋นน้ำแดง น่องไก่อบ ไก่ขอทาน เป็ดยัดไส้นึ่งเสียบ้าง
[1] ยมโลก
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว