“ข้าว่า...อย่างเจ้าคงมิยอม” สี่หนิงเหอใช้ชีวิตอยู่ในเรือนแห่งนั้นเยี่ยงไรกันแน่ คนเหล่านั้นมิดูดำดูดีเลยหรืออย่างไรกัน
สี่หนิงเหอหัวเราะเริงร่า “ใช่แล้วซานเกอ ท่านเก่งจังเลยที่ล่วงรู้ ในเมื่อพวกเขามินำมาให้ข้าทาน...ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไปทานเองที่โรงครัวมันเสียเลย หากก็ทำบ่อยมิได้นะขอรับ มิเช่นนั้นจะถูกคุณหนูใหญ่ซูเจียวกับคุณชายรองจับได้และลงโทษเอา นี่ข้าบอกท่านเป็นคนแรกเลยนะซานเกอ ข้าเคยสับเปลี่ยนเมนูอาหารให้สองคนนั้นด้วย ข้าจำได้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่และคุณชายรองปวดท้องหนักกันหลายรอบเลยขอรับ”
เป็นเพราะตัวเขาเผอิญโชคดีไปเจอกับใครบางคนเข้า เขาผู้นั้นให้เจว๋หมิงจื่อ[1] พร้อมกับบอกกล่าวแก่เขาว่า...คุณชายรองถ่ายหนักมิค่อยได้มิใช่หรือไร ท่านก็เอาสิ่งนี้ให้ทานสิ
“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกจับได้หรือไร”
“บอกท่านตามตรงนะขอรับ...ตอนทำข้ามีแต่ความโมโห จนพอทำลงไปแล้วเสร็จนั่นแหละ กลัวจนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องนอน...ซานเกอ ท่านรับปากข้าสักเรื่องได้หรือไม่”
“ถ้าไม่ยากลำบากมากเกินไปกว่าผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถทำให้ท่านได้นะขอรับ”
“แหม...ไม่ยากหรอกซานเกอ ข้าเพียงแค่ขอให้ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นเองขอรับ” ส่วนเรื่องอื่นนั้น...เอาไว้ค่อยคิดหาทางออกให้กับตัวเองต่อไป การจะทำสิ่งใดก็ตาม อย่างเร่งรีบทำอะไรจนเกินไป เพราะมันจะกลายเกิดเป็นพิรุธให้คนเหล่านี้สงสัยเอาได้ อย่างน้อยถ้าหากเขาบอกไปว่าอยากเรียนรู้การทำอาหาร...พวกเขาจะได้มิสงสัยอันใด เส้นทางการค้าที่คิดไว้ก็จะราบรื่นเช่นกัน อา...เจ้านี่ฉลาดเหลือเกินสี่หนิงเหอ
“ข้าถามท่านหน่อยสิซานเกอ ท่านอยู่กับท่านอ๋องตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ แล้วคิดยังไงที่ท่านอ๋องเลือกแต่งข้าเป็นอนุ” เพราะถ้าพวกเขามิคิดอันใด คราแรกที่ได้เจอกัน คงจะมิมีวาจาเสียดสีและพฤติกรรมที่ชวนต่อยตีเช่นนั้นหรอก
หากสี่หนิงเหอมิทันจะได้รับคำตอบก็เผอิญว่าซานเกอพาเขามาถึงที่พัก
“คุณชาย...หนิงเกอ...ท่านเป็นอันใดขอรับ” เสี่ยวฝานร้องเรียกถามน้ำเสียงตื่นตระหนกและรีบวิ่งถลามาหาเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในทันที
“ข้ามิได้เป็นอันใดเสี่ยวฝาน เพียงแค่ซุ่มซ่ามเผลอสะดุดขาตัวเองจนเกือบจะล้มไปก็เท่านั้น ซานเกอเป็นห่วงก็เลยให้ข้าขี่หลังมานะ” สี่หนิงเหอบอกกับเสี่ยวฝาน ก่อนจะหันมองเหล่าองครักษ์อีกที่คนที่ดูท่าจะเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง แต่ละคนดูเหมือนอยากจะต่อยตีกับเขาทั้งด้วยวาจาและเรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน
อา...เขาไปทำอันใดผิดมาหรือขอรับ
“มิใช่ว่าท่านเริ่มจะกลัวจนแข้งขาอ่อน เดินด้วยตัวเองไม่ไหว เลยต้องอ้อนวอนขอขี่หลังซานเกอหรือขอรับ”
สี่หนิงเหอตวัดสายตาขุ่นเขียวใส่ผู้ที่กล่าวหาตนเองในทันที “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ขอรับท่านองครักษ์”
“เจ้าจะเรียกข้าว่าลิ่วเกอหรือถนัดเรียกพี่หกก็แล้วแต่เจ้า”
เดี๋ยวนะ...นี่ท่านจะให้เขาเข้าใจว่า ท่านชวนต่อยตีด้วยวาจาเพื่อจะได้แนะนำตัวเองให้เขารู้จักหรือขอรับ อา...พวกท่านนี้แปลกกันเกินไปแล้ว
“ลิ่วเกอ...อย่าบอกข้านะขอรับ พวกท่านอีกสามคนก็มีชื่อที่ใช้เรียกกันอย่าง ต้าเกอ...คือพี่ใหญ่ พี่สามก็คือซานเกอ ถ้าอย่างนั้นพวกท่านที่เหลือก็น่าจะเป็นพี่เจ็ดพี่แปด” อันนี้เขาใช้ความคาดเดาเอาล้วน ๆ เลยนะ เพราะถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ชื่อพวกนี้คงจะมิใช่ชื่อจริงของพวกเขาหรอก คงเป็นชื่อที่ใช้กันเฉพาะในกลุ่ม
“เจ้านี่ก็ฉลาดดีเหมือนกันนะหนิงเหอ”
“หะ! นี่ข้าคาดเดาถูกเหรอขอรับ...เป็นเช่นนี้จริงนะหรือ” สี่หนิงเหอยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ “ท่าน...พวกท่านคงมิได้ล้อข้าเล่นอยู่หรอกนะ”
“เจ้าคิดว่าพวกข้าจะกล้าล้อเล่นหรือหนิงเหอ ในเมื่อชื่อเหล่านี้ท่านอ๋องเป็นคนประทานให้พวกข้าเอง”
“เอาเถอะ...พวกท่านจะชื่อเรียงเสียงใดก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า เพราะถึงรู้นามพวกท่าน ข้าก็แยกพวกท่านมิออกหรอก ก็พวกท่านเล่นสวมอาภรณ์สีเดียวกันและยังจะปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตาแบบนี้”
“ถ้าเจ้าอยากเห็นหน้าพวกข้า...ทั้งหมด เจ้าก็ต้องทำให้พวกข้ายอมรับว่าเจ้าเหมาะสมที่จะเป็นอนุท่านอ๋องนะหนิงเหอ”
ถ้าเช่นนั้นก็อย่าหวัง เพราะเขาจะหาโอกาสทำให้เรื่องนี้มิเกิดขึ้น...ขอรับ
สี่หนิงเหอฉีกยิ้มกว้างใส่องครักษ์ทั้งสี่ พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้พวกเขานั้นตกตะลึกไปตาม ๆ กัน “ความจริงแล้วข้ามิสนใจแม้แต่น้อย แต่ถ้าหากข้าทำได้แล้วพวกท่านเลี้ยงอาหารข้ามื้อใหญ่ละก็...ข้าก็จะพยายามขอรับ”
“นี่เจ้า!”
“ออกเดินทางได้แล้ว”
และก็เป็นเช่นเดิมที่ท่านพี่ซานเกอผู้ใหญ่ดีของเขา...ในตอนนี้เป็นคนห้ามทัพเอาไว้มิให้เขานั้นถูกเหล่าองครักษ์คนอื่นต่อยตีด้วยวาจาและอาจจะถึงขั้นลงไม้ลงมือด้วย
อา...ขอบคุณขอรับซานเกอ เขาอยากได้ท่านเป็นพี่ชายเสียเหลือเกิน ถ้าเป็นเช่นนั้นได้คงจะดีมิใช่น้อย...เขาควรจะหาโอกาสบอกเรื่องนี้กับซานเกอไปสินะ
“ไปได้แล้ว หรือเจ้ามิอยากจะทานหมูตุ๋นน้ำแดง”
“ขอรับซานเกอ” สี่หนิงเหอเอ่ยด้วยความดีใจ ขณะรับห่อผ้าของตัวเองแล้วเดินไปยืนเคียงข้างซานเกอที่ยืนรอจะนำเขาขึ้นม้าอยู่ก่อนแล้ว หากก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีบางอย่างที่ยังมิได้ทำ ยังมิควรที่จะเดินทางในตอนนี้ แต่ก็คงจะไม่สันเสียแล้ว เพราะซานเกอรีบกระโดดขึ้นม้าตามเขามาติด ๆ และกระทุ้งสีข้างให้มันเร่งรีบออกเดินทางอย่างเร็วไวด้วย
เอาเถอะ...ถ้าเช่นนั้นเขาก็อดทนไปก่อนก็ได้ ถ้าหากว่ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็ค่อย...บอกไป
สี่หนิงเหอรู้ตัวดี มิได้เป็นคนชอบหาเรื่องก่อกวนใคร มิได้เป็นคนไม่มีความอดทนและก็มิได้เป็นคนปากเสียไป...มิใช่น้อย แต่เป็นคนที่ไม่ชอบที่จะมีเรื่องกับผู้ใด หากตอนนี้นั้น...ไม่ทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เกือบจะยามอู่[2]แล้ว หากยังมิมีสิ่งใดตกถึงท้องเข าเลย
‘อา ไม่ไหวแล้ว ข้าหิวแล้วขอรับซานเกอ’
“ซานเกอ” สี่หนิงเหอตะโกนเรียกแข่งกับเสียงหวีดหวิวของกระแสลม เพราะรู้ดีว่าฝีมือระดับพวกเขา...ย่อมจะต้องได้ยินอย่างชัดเจนแน่นอน
“ข้าหิวขอรับ”
เรียกได้ว่าสิ้นคำพูดของเขา ม้าสามตัวก็หยุดราวกับว่าถูกจับขาเอาไว้ ว่าแต่..ทำไมถึงได้มีม้าแค่สามตัวละ ในเมื่อผู้ที่กล่าวว่าจะเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเขานั้นมีด้วยกันทั้งหมดห้าคนด้วยกันนี่น่า
“เจ้าว่าอันใดนะหนิงเหอ” บุรุษที่ถามมิใช่ซานเกอ หากเป็นท่าน...ช่างเถอะ จะเป็นผู้ใด เพราะนอกจากซานเกอที่นั่งอยู่กับเขาแล้ว ผู้อื่นแม้ว่าเขาจะรู้นามองครักษ์ทุกคนแล้ว หากก็ยังมิรู้ว่าใครเป็นใครอยู่ดี
สี่หนิงเหอยิ้ม...ก่อกวนโทสะพวกเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงระรื่นไปว่า “ข้าหิวขอรับ”
“นี่เจ้า!”
[1] เมล็ดชุมเห็ดเทศจีน
[2] เวลา 11.00-12.59 นาฬิกา
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว