สี่หนิงเหอคิดว่าตนเองตาไม่ฝาด เมื่อได้ยินที่เขาพูด ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะด้วย...คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นไปได้เยี่ยงนี้
“อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คมหอกคมดาบจะยื่นมาบั่นคอเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ หากเจ้ากลับเห็นแก่ท้องมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง พวกข้าละ...เชื่อเจ้าเลยหนิงเหอ”
“ข้าก็เพิ่งจะเคยพบเจอคนเช่นนี้เหมือนกันขอรับต้าเกอ”
“ข้ามิได้จะก่อกวนทำให้พวกท่านมีโทสะนะขอรับ แต่พวกท่านจะต้องมิลืมว่า เมื่อคืนเกิดอันใดขึ้นบ้าง ข้าก็ทานไม่อิ่ม” เป็นความผิดของพวกท่านนั่นแหละที่มิยอมให้เขาได้ทานปลากับไก่ด้วย “เมื่อเช้าพวกท่านก็มิให้ข้าทานด้วยเช่นกัน ถ้าข้าจะหิวก็มิใช่เรื่องแปลกนะขอรับ”
“ข้าขอโทษขอรับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดที่นำอาหารติดตัวมาน้อยเหลือเกิน
“เจ้าอย่าถือโทษโกรธตัวเองอีกเลยเสี่ยวฝาน มิใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ เท่าที่เจ้าได้มานั่นก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าอย่าลืมว่าพวกนั้นย่อมมิต้องให้ข้าจากมาอย่างสงบและเป็นสุข สิ่งใดที่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ พวกเขาล้วนทำได้ทั้งสิ้น” มิอยากจะคิดแค้นเคือง แต่บางครั้งสี่หนิงเหอก็อยากที่จะทำให้คนพวกนั้นรู้เสียบ้าง การทำร้ายคนอื่นไม่ว่าด้วยเหตุผลและวิธีการควรจะได้รับความเดือดร้อนเฉกเช่นเดียวกัน
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่บอกกล่าวตั้งแต่ก่อนเดินทางล่ะหนิงเหอ”
“ข้าก็อยากจะบอกกล่าวท่านอยู่นะซานเกอ แต่เป็นพวกท่านที่มิให้โอกาสข้ากล่าวอันใดเลยนะขอรับ” พอบอกว่าจะไป...ก็รวดเร็วเสียจนเขาจะเอ่ยปากก็มิทัน
“ถึงข้าปรารถนาให้เจ้าอิ่มท้องก่อนเดินทางต่อไป หากก็ทำมิได้ ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าอดทนไปก่อนนะหนิงเหอ...ถือว่าข้าติดค้างเจ้าครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยคืนละกัน”
เช่นนั้นหรือขอรับซานเกอ “ท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็จะขอรับไว้ขอรับซานเกอ ว่าแต่...ข้อขอท่านได้ทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ”
“ไม่!”
สี่หนิงเหออ้าปากค้าง ก็...
“เรื่องฝึกวรยุทธ์คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ จะให้เจ้าฝึกได้หรือไม่ เป็นท่านอ๋องคนเดียวเท่านั้น”
“แต่นี้มันชีวิตของข้านะ ข้ามิมีสิทธิ์ตัดสินใจเองบ้างเลยหรือไง” สี่หนิงเหอได้แต่บ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิดใจ
“เจ้าอยากเรียนวรยุทธ์” แล้วคนที่ไต่ถามก็กวาดมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าให้สองชั่วยาม”
“ข้าให้ชั่วยามเดียว แล้วท่านล่ะซานเกอ ให้เวลาเด็กน่าสนใจคนนี้สักเท่าไหร่”
“ข้าให้...ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป”
“พวกท่าน...” ช่างมั่นใจกันเสียเหลือเกินว่าเขาทำไม่ได้ คอยดูเถอะ ถ้าท่านอ๋องยินยอมให้เรียนวรยุทธ์เมื่อไหร่ เขาจะตบหน้าพวกท่านด้วยการทำมันให้ออกมาดี ข้าจะเป็นบุรุษที่มีฝีมือเก่งฉกาจหาตัวจับยากให้ได้!
“เราหยุดที่นี่นานไม่ได้” ที่หยุดอยู่นี้ก็เสี่ยงมากพออยู่แล้ว เส้นทางที่นี่ทอดยาวหากคดเคี้ยว ต้นไม้ก็ขึ้นรกครึ้มจนมองแทบไม่เห็นท้องฟ้า สายตา...มิอาจมองเห็นได้ในหลายจุด จะใช้หูแว่วฟังเสียงก็ถูกรบกวนได้ง่าย หากโดนลอบโจมตีเข้าจริง...สมรภูมินี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ตกเป็นเบี้ยในกระดาน ต่อให้เก่งกล้าแค่ไหน หากก็เพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
“อีกสองลี้จะถึงจุดพัก เป็นทางแยก”
คนที่หายไป...ย้อนกลับมา ในคำพูดนั้น...และตาที่พวกเขามองกัน มันเหมือนพวกเขารู้กันว่าอะไรเป็นอะไร มีเพียงแค่ตัวเขาที่ยังโง่งม ตามพวกเขาไม่ทัน เฮ้อ! ช่างน่าเบื่อเสียจริง เมื่อไหร่ตัวเขาจะฉลาดกว่านี้นะ
“ตอนนี้ข้าหิวมาก...จนแทบจะกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะขอรับ” สี่หนิงเหอมิได้เอ่ยความเท็จแต่อย่างใดเลยนะ หิวจนตอนนี้ไส้กิ่วแล้ว ถึงจะไม่ได้รับอาหารชุดใหญ่ เขาก็ขอเป็นอะไรสักเล็กน้อยให้พอมีอะไรตกลงในท้องก่อนได้ไหมล่ะขอรับ
“ท่านน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง...จะทำอะไรก็ตาม ควรให้ท้องอิ่มไว้ก่อน”
“อันตรายเกินไป”
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านพอมีอะไรให้ข้า...” สี่หนิงเหอเอ่ยยังไม่ทันจะจบซานเกอก็กระทุ้งเท้าบังคับให้ม้าเร่งออกเดินทางไปอีกครั้ง ซึ่งเขาได้แต่กลอกตาเพราะต้องทนหิวจนท้องกิ่วไปอีกน่าจะเป็นชั่วยาม เอาเป็นว่า...พวกท่านให้ได้ดื่มกินเมื่อไหร่ อย่ามาโทษว่าสี่หนิงเหอผู้นี้ตะกละก็แล้วกัน!
ซานเกอเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นว่าสี่หนิงเกอมองมา ในดวงตาคู่นั้นที่มองมายังเขาครุ่นคิดคล้ายจ้องจับผิด แต่เมื่อนึกได้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามองมิเห็นใบหน้าของตนเอง ก็เลยไต่ถามออกไป
“เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมหรือหนิงเหอ ตัวข้ามีอันใดผิดปกติไปหรืออย่างไร” ซานเกอยกสองแขนขึ้นสอดไขว้ระหว่างอก มองสี่หนิงเหออย่างให้รู้ว่ามองและต้องการคำตอบ
“เอ่อ...”
สี่หนิงเหอเมินหลบสายตาของเขา...อีกทั้งใบหน้านั้นก็แดงปลั่ง มันทำให้ซานเกออดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อเขาก้มลงมองตัวเองที่ตอนนี้เปลือยอกกำยำที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการสู้รบก็ทำให้รู้ว่าสี่หนิงเหอนอกจากจะเขินอายแล้วยังจะเต็มไปด้วยความอิจฉาในรูปกายของเขาด้วย
“ว่าอย่างไรเล่า เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นทำไม” ซานเกอมองเข้าไปในดวงตาของคนที่เมื่อแรกเห็น ใจเขาถึงกับกระตุก แสงจากด้านนอกส่องมาทาบบนกายเล็กบาง ใบหน้าที่ควรจะสดใสเปล่งปลั่งสมวัยกับดวงตาที่มันควรจะเปล่งประกายด้วยความสุขกลับดูแห้งแล้ง...มันเหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ได้รับการดูแลและเอาใจใส่ ไม่มีใครรดน้ำให้
รอยยิ้ม...เพียงแค่ปากหากมิใช่ในดวงตาที่มันช่างไร้ความรู้สึกสิ้นดี มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนึ่งแวบขึ้นมาในใจ อยากรู้ว่าเหตุใดสี่หนิงเหอถึงได้เป็นเช่นนี้
ซานเกอยอมรับ...เมื่อแรกที่ได้รับรู้ ท่านอ๋องจะต้องแต่งบุรุษเป็นอนุภรรยา แม้จะรู้ว่าท่านอ๋องมีเหตุผลที่มิอาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ หากเขาก็ยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่เพียงแต่เขา หากเราพี่น้องทุกคนล้วนยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน อยากจะกลั่นแกล้งให้สี่หนิงเหอรับรู้ว่า ไม่มีใครปรารถนาได้เขามาเป็นนายอีกคน การเดินทางครั้งนี้ เราจึงคิดเพียงแค่ว่า ทำเวลาให้เร็วที่สุด ไม่ต้องสนใจว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นกับผู้ที่พวกเรามิต้อนรับ หน้าที่ของพวกเราคือพาสี่หนิงเหอไปส่งถึงมือท่านอ๋อง...ในสภาพเช่นไรก็แล้วแต่ดวงชะตาของคนผู้นี้
หากเมื่อการเดินทางเริ่มต้น...ซานเกอก็เริ่มต้นเห็นความเปลี่ยนแปลง แม้จะมีถ้อยวาจาก่อกวนที่ชวนให้อยากจะบั่นคอทิ้ง หากเมื่อมันดังมาจากปากของคนที่ชอบทำหน้าเหลอหลา คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้น ขณะอีกข้างกลับตกลงมา มีดวงตาคู่เรียวเปล่งประกายร่วมด้วย มันทำให้เขานึกถึงเจ้ากระต่ายที่ฟันแหลมกำลังแทะหงหลัวโป[1]เน่า
พวกเราเริ่มรับรู้แล้วว่า สี่หนิงเหอมีอะไรบางอย่างที่แม้จะแปลก ๆ หากก็มีความน่าสนใจ...การเดินทางที่ถ้าเป็นผู้อื่น ย่อมต้องบ่นและเรียกร้องหาความสะดวกสบายให้กับตัวเอง หากเขากลับเอ่ยถึงเรื่องของการได้ทานอาหารรสเลิศ โดยไม่สนใจเลยว่าตัวเองนั้นกำลังถูกปองร้ายอยู่
[1] แครอท
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว