แคว้นต้าเฉวียน
รัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้
วังหลวง
.
ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน
หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว
เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง
อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’
คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย
แต่กลับดับความร้อนภายในใจไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว!
ลมหายใจเข้าออกล้วนถูกควบคุม ท่วงท่าการเดินเยื้องย่าง หันหน้าไม่ว่าด้านซ้ายหรือด้านขวา สายตาจะมองผู้ใด คำนับผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ ล้วนต้องงดงามในทุกอิริยาบท
ลำคอเรียวระหงจึงต้องตั้งตรงเสมอ ไหล่เล็กบอบบางสองข้างไม่ต่างกัน ต้องตั้งมั่นห้ามงองุ้ม ปลายคางถูกสั่งให้เชิดขึ้นไว้เล็กน้อย ท่าทางโดยรวมดูหยิ่งทะนงถือตัว
โฉมงามอันดับหนึ่งของต้าเฉวียน อวี่เทียนเหมย บุตรีคนรองของราชครูอวี่ บุตรสาวผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในทุกด้าน ต้นแบบและศัตรูของสตรีมากมาย คำชื่นชมมาพร้อมการจับจ้องเพื่อหาข้อติติง บ้างก็ชื่นชอบ บ้างก็เกลียดชัง ทั้งหมดนี้คนงามแซ่อวี่หาได้เก็บมาไว้ใส่ใจ ด้วยว่าหากกระทำสิ่งใดลงไปแล้วงดงาม หมื่นคำนินทาหาสู้ได้
เครื่องหน้าของนางทุกส่วนล้วนส่งเสริมกัน ดวงตาหงส์คู่งามนั้นโดดเด่นกว่าใคร ประกอบเข้ากับรูปร่างอรชรมีส่วนโค้งเว้า ผิวขาวเนียนละเอียดกลืนไปกับอาภรณ์สีขาวซึ่งสวมใส่ ทำให้เจ้าตัวดูงดงามอย่างเทพธิดาตามความตั้งใจ
ทว่าเพราะฟ้าฝน นอกจากทหารเฝ้ายามแล้ว ไม่มีใครสักคนในเส้นทางเดิน พวกเขาไม่ต่างจากรูปปั้น ต่อให้นางเดินตัวเปลือยเปล่า หรือสวมใส่ชุดล้ำค่าในรูปแบบใดก็ตาม ไหนเลยจะได้รับความสนใจ ตรงกันข้ามหากคนงามมีอาวุธติดตัวมา หรือมีทีท่าน่าสงสัย ไม่พ้นคงถูกส่งเข้าคุกหลวงตั้งแต่หน้าประตูวัง
การเฉยชาไม่สนใจในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง ดูจะเป็นข้อเสีย แต่ความจริงแท้ เป็นข้อดีอันหาได้ยากยิ่งในวังหลวง สนใจเพียงหน้าที่ของตนเอง เช่นนี้ดียิ่ง!
อวี่เทียนเหมยแม้มีเพียงสาวใช้คนสนิทซึ่งติดตามมาสองคนอยู่ด้านหลัง นางก็ยังคงต้องปฏิบัติตัวเช่นเดิม เป็นนิสัยอันแก้ไม่หายไปเสียแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาก็ใช่ว่าจะไม่มีคนจับจ้อง
รู้อยู่แก่ใจ…
วังหลวง มีหรือจะร้างไร้สายตาสอดส่อง!
อวี่เทียนเหมยนึกสงสัย สิ่งใดดึงดูดใจให้คนทุกผู้ปรารถนาเข้ามาสัมผัส วังหลวงแคว้นต้าเฉวียน เป็นดั่งบึงมังกร ถ้ำพยัคฆ์[1]
อำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง ฐานันดร ตำแหน่ง
ณ ที่แห่งนี้ ไม่เคยมีสิ่งใดได้มาโดยง่าย แต่ยามสูญเสียกลับสลายหายไปราวไม่เคยมีอยู่
อันตรายในทุกลมหายใจ ประหนึ่งชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย การกระทำใดก็ตาม ผิดพลาดแม้เพียงนิด ยิ่งใหญ่มากกว่าหนึ่งชีวิตจะชดใช้
สงสัยในเรื่องของผู้อื่น จนหลงลืมตนเอง อวี่เทียนเหมยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านางไม่แตกต่างจากคนเหล่านั้น จะสงสัยไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า…เพราะกระทั่งตัวนางเองยังหาคำตอบไม่ได้ ใบหน้างามจึงปรากฏยิ้มเหยียดหยันตนเองเสียหนึ่งครา
‘ตนเองยังตอบไม่ได้ จะให้ผู้ใดตอบ!’
ชวนให้ขบขันไม่น้อย เพราะไร้ซึ่งคำตอบ จึงต้องอยู่ ณ ตรงนี้ในตอนนี้หวนนึกไปถึงคำกล่าวหนึ่งซึ่งกล่าวถึงตัวของนางเอาไว้ ว่ากันว่านอกเหนือจากความงามแล้ว สิ่งหนึ่งที่อวี่เทียนเหมยผู้นี้มีเหนือกว่าใคร คือ วาสนา
อวี่เทียนเหมยมีวาสนาดอกท้อ[2] เป็นดอกท้อทองคำเสียด้วย ดูท่าชาติที่แล้วนางคงทำบุญโปรดสัตว์มามาก ผลบุญจึงส่งผลถึงชาตินี้!
สุดจะคิดใคร่ครวญไตร่ตรอง ด้วยว่าดอกท้อที่มีในมือ ได้มาโดยบัญชาสวรรค์ โชคชะตากำหนด หาใช่ความต้องการของนาง สูงค่าเกินกว่าจะคิดว่าเป็นเพียงวาสนา
ผู้ใดกล่าว ผู้ใดเล่าลือ ผู้ใดจะรู้เท่านาง เดินมาไกลจนถึงวันนี้ได้จนกล้าเผยอหน้ารับกับทุกวาจา สิ่งใดก็หาได้มีความสำคัญ เทียบเท่าบุรุษผู้เดียว
บุรุษผู้ซึ่งหนึ่งชีวิตของนางนี้ มอบแก่เขานับแต่ลมหายใจแรก!
งดงามเท่าใดก็ตามเถิด ต่อให้นางมีข้อดีมากมายนับหมื่นข้อ หากเขาผู้นั้นไม่เล็งเห็น เท่ากับสูญค่า
ยามเท้าก้าวเข้าผ่านธรณีประตูด่านสุดท้าย ใจเต้นรัวเร็วเหมือนจะทะลุออกจากอกมาให้ขายหน้า ความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเองวนเวียนอยู่ในหัว ความกลัวเริ่มปรากฎ โชคดีที่สายฝนจากบนฟากฟ้าซึ่งตกกระทบหลังคา ช่วยกลบเสียงหัวใจไม่ให้ใครรู้ว่านางมีความประหม่า
วังหลวง...อวี่เทียนเหมยคุ้นเคยเสียจนไม่ต้องมีคนเดินนำทางอย่างใคร เขตพระราชฐานชั้นใน น้อยคนจะได้รับอนุญาตให้เข้ามา นางเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น
หากประสบความสำเร็จดังมุ่งหวัง วังหลวงเป็นสถานที่ต้องคำสาป เมื่อเข้ามาแล้ว อวี่เทียนเหมยรู้ดี...ชั่วชีวิตนี้ นางจะไม่มีวันได้ออกไป แม้เพียงหนึ่งก้าวก็ไม่สามารถ
[1] สถานที่อันตราย ต้องระวังตัวเอาไว้ตลอดเวลา
[2] มีโชคเรื่องคู่ครอง
“นางคนชั้นต่ำ อย่ามาเสนอหน้า” อวี่เหวินตวาดเสียงดังลั่น เขาเงื้อมือขึ้นสูง เดินตรงไปหาสตรีทั้งสอง สาวใช้ของอวี่เทียนเหมย ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง “หยุดการกระทำของท่านเดี๋ยวนี้” อวี่เทียนเหมยนั้น ชีวิตนี้นางไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร แต่พอได้เห็นท่าทีของพี่ใหญ่แล้วไม่อาจทน ซูผิงเป็นคนของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาหยามเกียรติของซูผิงได้ อวี่เหวินชะงักค้าง ท่าทางของเหมยเหมย ดูทรงอำนาจอย่างน่าแปลก เท้าหยุดก้าวโดยพลันทันที เขาไม่เคยเห็นเหมยเหมยเป็นเช่นนี้มาก่อน อนิจจา…พอได้ชื่อว่าเป็นสตรีของไท่จื่อ มีหยางลู่ไทเฮาอยู่เบื้องหลัง อวดดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ‘น่าชังจนหลงใหล’ อวี่เหวินอารมณ์เปลี่ยนไปมา ในใจเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น อยู่ ๆ เขาก็หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าอวี่เทียนเหมยไม่วางตา คิดว่าครั้งนี้เกินไปแล้ว อวี่เทียนเหมยดันซูผิงให้ไปอยู่ด้านหลัง สาวใช้ขืนตัวไม่ยินยอม แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่ง ซูผิงจึงยอมถอย แต่สาวใช้ยังตั้งท่าระวังภัย ไม่ยอมวางใจ “หากท่านไม่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่มีเกียรติดังเช่นท่าน” อวี่เทียนเหมยแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางไม่อา
‘เสี่ยวซาน…’ อวี่หลางซานกลับมาแล้ว พอนึกขึ้นได้ อวี่เทียนเหมยก็เหมือนจะเห็นทางสว่างรออยู่เบื้องหน้า น้องชายของนางเป็นทหารในกองทัพ มีตำแหน่งไม่น้อย ย่อมต้องมีเส้นสายและมุมมองที่กว้างไกลกว่านาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าเรื่องหนักอึ้งในใจของนางนี้ สามารถเล่าให้เสี่ยวซานฟังได้ เผื่อว่าน้องชายจะมีทางออกที่นางคิดไม่ถึงมาแนะนำ บิดาเกรงใจพี่ใหญ่มาก อวี่เทียนเหมยไม่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ดีส่วนไม่ดี เอาความดีมาลบล้างไม่ได้ แต่บุญคุณถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านพ่อ พี่ใหญ่นั้นบิดาของเขาสละชีวิต เพื่อท่านพ่อของอวี่เทียนเหมย ในอดีตก่อนท่านพ่อจะพบกับท่านแม่ ท่านพ่ออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาเก่า ต่อมาสำนักศึกษาเกิดไฟไหม้ เพื่อให้ท่านพ่อรอด บิดาของพี่ใหญ่ยอมสละชีวิตตายอยู่ในกองเพลิง ฝากฝังพี่ใหญ่ไว้กับท่านพ่อ บุญคุณมากล้น แค้นชำระแค้นด้วยชีวิตฉันใด บุญคุณชีวิตทดแทนด้วยชีวิตฉันนั้น บิดาถือเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้ต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากบิดาสอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง ก็ขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แต่งงานสร้างฐานะร่วมกับมารดา รับเลี้ยงพี่ใหญ่ให้เป็นบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่อายุมา
เอาเถิด…อย่างไรก็ได้สมรสพระราชทาน ได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยมาแล้ว นี่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ใจไม่แน่นอน ตำแหน่งแน่นอน อวี่เทียนเหมยยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนของหยางลู่ไทเฮา สุดท้ายแล้วต่อให้เขาไม่รักนางมากเพียงใด เขาก็จะไม่กล้าผิดใจกับไทเฮา คิดปลอบใจตนเองว่า ชีวิตจะยึดติดกับรักอย่างเดียวไม่ได้! “พี่รอง!” เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิด อวี่เทียนเหมยหันไปหาต้นเสียง อวี่ไฉฟงกำลังเดินจับมือบิดามารดามาที่โต๊ะกินข้าว อวี่เทียนเหมยส่ายศีรษะให้กับน้องสาว อวี่ไฉฟงเป็นคนช่างออดอ้อน ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าในสายตาของคนในครอบครัว แล้ว พฤติกรรมนี้ถือว่าน่ารัก! อวี่ไฉฟงแซ่อวี่ เป็นบุตรสาวตระกูลอวี่ อยู่ในจวนอยากทำกิริยาอย่างไรตามใจปรารถนา แต่ยามออกไปนอกจวน ต้องรักษากิริยาดีไม่แพ้ผู้ใด เรื่องราวระหว่างวันถูกถ่ายทอดเล่าให้กันฟัง ช่วยสร้างเสียงหัวเราะได้มากมายในมื้ออาหาร คนตระกูลอวี่รักใคร่กัน ข้อนี้รู้ไปทั่วเมืองหลวง แต่อยู่ ๆ ซูผิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เห็นสีหน้าสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเรื่องสำคัญมาบอก อวี่เทียนเหมยไม่เข้าใจเหมือนกัน ในหนึ่งวันนั้น
สองสามวันมานี้ จวนตระกูลอวี่คึกคักมากกว่าปกติ แขกมาเยี่ยมเยือนที่จวนหลายคนแบบไม่ซ้ำหน้า ระบุเจาะจงแทบทุกคนเสียด้วยว่า ต้องการพบอวี่เทียนเหมย สถานการณ์ไม่แน่นอน คนใจโลเลจะชอบเกาะหงส์เกาะมังกร[1] เอาใจไม่เลือกหน้า เผื่อว่ายามที่เดือดร้อนขึ้นมา แผ่นดินแบ่งแยกเมื่อใด จะได้มีข้ออ้างไว้เอาตัวรอด ต้าเฉวียนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ขุนนางซึ่งไร้ที่พึ่งทั้งหลาย ยามนี้เข้าหาทุกฝั่ง เดินสวนกันจ้าละหวั่น ไปจวนนั้นจวนนี้ จวนตระกูลอวี่จึงต้องรับแขกมากหน่อย เพราะประกาศของหยางลู่ไทเฮา คนมาเยี่ยมเยือนมากเพียงใดก็ตาม ในใจไร้ความยินดี แต่ก่อนพบหน้าไม่สบตา ยามนี้มาส่งยิ้ม ‘ความจริงใจหาไม่ได้’ ยิ่งมากคนยิ่งต้องระวัง จะรับของขวัญก็ต้องถี่ถ้วน ล้วนมีปัญหาสอดไส้มาได้ทั้งสิ้น อวี่เทียนเหมยกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นม้าใหม่ในสนามรบ ยังไม่กล้ารับแขกด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว จึงยกหน้าที่นี้ให้ตกเป็นของบุพการี บิดามารดารับแขกแทนบุตรสาวจนเหนื่อยอ่อน หมดแรงในทุกวัน ตกเข้ายามค่ำคืนมา อวี่เทียนเหมยลงมือเคี่ยวน้ำแกงใส่สมุนไพรบำรุงร่างกาย ทำอาหารมากมาย แทนคำขอบคุณ จ
ส่วนนาง… อวี่เทียนเหมยขอไม่เชื่อ คิดในแง่ดีทั้งที่ความจริงเป็นแง่ร้าย ตระกูลอวี่จะมีหงส์สองตัวได้อย่างไร ในเมื่อหงส์ตัวแรกที่หมายถึงนาง เดินมายังไม่ถึงครึ่งเส้นทาง ก็ดูจะพบทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่! ท่านพ่อท่านแม่นั่งอยู่ไม่ไกล ตระกูลอวี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีลำดับขั้นได้ถวายของขวัญในตอนท้าย อวี่เทียนเหมยรีบลุกขึ้น เมื่อมองเห็นว่ามารดาส่งสายตามาเป็นสัญญาณเรียก เมื่อตระกูลอวี่ถวายพระพรไทเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาถึงคราวของอวี่เทียนเหมย เจียถิงและซูถิงเดินตามมาเพื่อถือภาพวาดขนาดเท่าตัวคนให้ สาวใช้ยืนคนละฝั่ง กางภาพวาดออกมาเห็นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ อวี่เทียนเหมยสังเกตพระพักตร์หยางลู่ไทเฮา นางมียิ้มละมุนบนใบหน้า เมื่อเห็นร่องรอยของความความพอพระทัย ปรากฎอยู่เต็มพระพักตร์ นางกราบทูลไทเฮาเสียงดัง “ชีวิตของเหมยเหมย นอกจากบิดามารดา หม่อมฉันมีฝ่าบาทและไทเฮาเป็นผู้มีพระคุณ ภาพวาดผืนนี้ หม่อมฉันวาดด้วยใจที่สำนึกรู้ ซาบซึ้งในพระเมตตา คำอวยพรใดในใต้หล้า หม่อมฉันไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ด้วยว่าไทเฮาทรงเป็นมงคลยิ่งแล้ว” หยางลู่ไทเฮาทอด
มู่ฮองเฮาเก็บโทสะไว้ในพระทัยไม่แสดงออก องค์หญิงหยางลู่อิงฮวา เพราะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการเป็นชายาของเสี่ยวหยาง มู่ฮองเฮาก็ขอปฏิเสธ หัวแข็งจนน่าชัง ทั้งยังควบคุมยากเกินไป! การแสดงขลุ่ย แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ว่าองค์หญิงหยางลู่อิงฮวากลับได้รับพระราชทานรางวัลจากไทเฮามากกว่าใคร เพราะเหตุผลใดใครจะรู้ดีเท่าหยางลู่ไทเฮา “เสียงขลุ่ยขององค์หญิงไพเราะมากเพคะ” อวี่เทียนเหมยรีบเอ่ยทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา อีกฝ่ายยักไหล่ “ขอบคุณคำชมที่จริงใจของท่าน” อวี่เทียนเหมยชะงักค้าง องค์หญิงรับมือได้ยากยิ่ง ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าตัว จึงค่อยวางใจว่าเมื่อครู่โดนแกล้ง “หากเจ้าไม่อาย ก็ควรสงสารหูคนฟังบ้างเถิด” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง สตรีสองนางที่นั่งข้างกันหันหน้าไปมอง คนหนึ่งหันหน้าหนี ส่วนอีกคนเบ้ปากใส่ผู้มาใหม่ทันที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นบนเรือ ไม่มีที่นั่งชัดเจนเหมือนงานเลี้ยงที่วังหลวง หยางลู่ไทเฮามีพระประสงค์อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เคร่งครัดพิธีมากจนเกินไป ใครปรารถนาจะนั่งที่ใดก็ตามแต่ใจ จึงมีคนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างม