/ รักโบราณ / หงส์เหนือพันธการ / บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

공유

บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

작가: KUNNUK
last update 최신 업데이트: 2025-05-10 08:13:03

     การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง

     จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน

    ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน

     อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย

     เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม

     เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หมั้นของนาง

     ความประทับใจครั้งแรกพบสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ได้!

     เสิ่นกงกงหยุดเดิน หันหลังกลับไปมองคนงามที่เดินตามมา จึงได้เห็นว่าคุณหนูรองตระกูลอวี่ท่าทางสงบนิ่งก็จริง แต่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขันทีเฒ่ากระซิบถามเสียงเบาว่า “พร้อมแล้วหรือไม่”

     อวี่เทียนเหมยสบตากับเสิ่นกงกง ยิ้มอ่อนให้ขันทีเฒ่า รู้ตัวว่าปกปิดความกังวลได้ไม่มิด เป็นเรื่องควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง เฝ้ารอคอยมานานนับสิบกว่าปี อดทนมาเสียก็มาก จะไม่เป็นดังหวังเพียงเพราะนางควบคุมตนเองไม่ได้กระนั้นหรือ...

     เสิ่นกงกงมองแม่นางน้อยคนงามตรงหน้าอย่างชั่งใจ ขันทีเฒ่าคิดไปว่า‘เอาเถิด…ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านใน ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง’ สตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีเช่นคุณหนูรองตระกูลอวี่ เสิ่นกงกงเชื่อว่าแม้จะแสดงความกังวลให้เห็น แต่ก็จะสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์แน่นอน

     อย่างไรฮ่องเต้ก็มากล้นด้วยพระเมตตา และที่มีไม่น้อยกว่าคืออำนาจ ฝ่าบาททรงพระปรีชา บิดารู้อารมณ์บุตร ‘ผู้น้อยไม่ควรยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่’

เสิ่นกงกงหาข้อสรุปให้ตนเองได้ก็สะบัดแส้ขนหางจามรีในมืออย่างติดเป็นนิสัยยามกังวลใจของผู้เฒ่า

     ขันทีน้อยเฝ้าหน้าห้องทรงพระอักษรมองเห็นเสิ่นกงกงก็ขยับตัว ตั้งท่า อ้าปากเตรียมจะขานชื่อผู้มาขอเข้าเฝ้า

     ขันทีเฒ่าเสิ่นกงกง รีบยกมือห้าม หน้าที่นี้ผู้เฒ่าเฝ้าฝันมานาน การพบเจอครั้งแรกของสตรีและบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าจะเป็นหงส์และมังกรสองมงคลเคียงคู่แห่งบัลลังก์ต้าเฉวียน เสิ่นกงกงปรารถนาจะเป็นคนเปิดฉากนี้ด้วยตนเอง

     ดูจากความสามารถของไท่จื่อในยามนี้แล้ว ต้าเฉวียนย่อมยิ่งใหญ่กว่าเคย ขันทีเฒ่าอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้หรอกว่าตนจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นหรือไม่ แต่ในวันนี้...สิ่งใดทำแล้วดีต่อตนเอง แม้ไม่ใช่หน้าที่ ผู้เฒ่าก็ขอเสนอหน้า!

     เสิ่นกงกงยืดตัวขึ้น กระแอมไอเบา ๆ หนึ่งครั้งเพื่อเรียกเสียง กำลังจะเงยหน้า ทว่าไม่ทันได้อ้าปาก พลันต้องหดตัวงอหลังลงตามเดิม เมื่อหูได้ยินพระสุรเสียงของโอรสสวรรค์ เจ้าชีวิตของราษฎรต้าเฉวียนตวาดดังลั่นจนได้ยินมาถึงด้านนอก บ่งบอกถึงโทสะที่กำลังก่อเกิด

     น้อยครั้งนัก ฝ่าบาทไหนเลยจะมีโทสะให้พบเห็น แน่นอนว่า...ผู้เฒ่าตระหนกอยู่ไม่น้อย เสิ่นกงกงเหลียวมองไปรอบบริเวณ เจตนาไม่มองไปทางด้านหลังของตนเอง ด้วยหน้าที่ขันทีเฒ่าไม่ได้พูดอะไร

    ขันทีนางกำนัลในห้องทรงพระอักษรเป็นดั่งจักจั่นยามเหมันต์ [1]เงียบเสียจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจ เชื่อว่าหากเข็มตกกระทบพื้นสักหนึ่งเล่ม คงจะได้ยินเป็นแน่ เพราะเงียบงันไร้เสียงเช่นนี้ ทุกถ้อยคำดำรัสรับสั่งของบทสนทนาด้านในจึงได้ยินชัดเจนผ่านหูคนทุกผู้

     เสิ่นกงกงกงขอบคุณตนเองในใจที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย ไม่เช่นนั้นต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับมืออย่างไรกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น กระอักกระอ่วนใจเหลือคณานับ

     อวี่เทียนเหมยชาไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกมากมายก่อเกิดในทุกขณะที่ได้ยิน เด่นชัดกว่าความรู้สึกใด คือความอับอาย

     หากนางได้ยิน มีหรือคนอื่นจะไม่ได้ยิน กาไหนไม่เดือด คนย่อมหยิบกานั้น[2]ชั่วชีวิตของนางอยู่ภายใต้กระแสลมปากแหลมคม[3]มาโดยตลอด ถูกวิจารณ์เพิ่มเติมอีกสักเรื่องแม้จะเลวร้าย น่าอับอายอย่างไร แต่ก้นตัดสินหัว ขอเพียงตำแหน่งไท่จื่อเฟยนี้เป็นของนาง

     เท้าก้าวขึ้นบันไดหยก[4]ไปแล้ว เขื่อนยาวพันลี้จะพังลงเพราะรังมดไม่ได้![5]

     อวี่เทียนเหมยคิดได้ดังนั้น ใบหน้างามจึงเชิดขึ้นดังเดิม ค่ำคืนยาวนาน ความฝันยังอีกยาวไกล จะดีหรือร้ายอย่างไร มีเพียงก้าวต่อไป เพราะไม่อาจถอยกลับ เดินทางร้อยลี้ นับครึ่งที่เก้าสิบ [6]ยามนี้ทุกสิ่งที่อดทนพากเพียรมา กระพริบตาเพียงหนึ่งครั้งก็ผันผ่าน คนงามจึงหมายมาดในใจ ทุกวาจาที่ได้ยิน จดจำ และทำให้ดีขึ้น

.

     “เจ้ากล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่หมายความว่า ข้าต้องขึ้นสวรรค์ไปสู่ขอเทพธิดามาจากเง็กเซียนฮ่องเต้ให้เจ้าหรือ”โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสประชดพระโอรสของพระองค์เอง

     อวี่เทียนเหมยดีถึงปานนี้ มีสิ่งใดกันให้ต้าอวี่คิดปฏิเสธ เหมยเหมยดีพร้อมทุกด้าน ตรงข้ามกับโม่เทียนอวี่ ต่อให้เป็นพระบิดา พระองค์ก็ทรงไร้คำใดจะอธิบายถึงพระโอรส ข้อดีมีมาก กระนั้นคำเรียกขานที่เขาว่ากันว่า พญามัจจุราชแห่งต้าเฉวียน ไม่ใช่ว่าชวนให้ผู้คนครั่นคร้ามหรอกหรือ

     สวรรค์ลิขิตมาแล้ว โอรสสวรรค์จึงต้องสานต่อ ด้ายแดงผูกชะตาวาสนา หนุ่มสาวครองคู่ แปดในสิบส่วน โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตั้งพระทัยเอาไว้ แม้จะทรงไม่ใช่ผู้เฒ่าจันทรา เยว่เซี่ยเหล่าเหริน [7]แต่ก็ถือพระองค์ว่าทรงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ก่อเกิดขึ้นได้

     จะให้ล้มเลิกด้วยวาจาเดียวหาได้ไม่ แผนการนี้ถูกตั้งใจให้บ่มเพาะมานานนับสิบปี ทรงห่วงใยดรุณีน้อยนอกประตูมากกว่าพระโอรสที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกัน อย่างไรโม่เทียนอวี่ไม่เสียหาย แต่เหมยเหมยเล่า...เด็กน้อยทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อการนี้ จะให้เสียเปล่าไม่ได้

      “อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่ง” รับสั่งเป็นคำประกาศิต

     “ฝ่าบาท หากกระหม่อมจะกราบทูลขอถอนหมั้น ทรงคิดเห็นเช่นไร” ถ้อยคำที่โต้ตอบกลับมาหาได้นำพากับรับสั่งอันเด็ดขาด

     โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้พระพักตร์แดงก่ำ “หาได้อยากบังคับใจเจ้า เพียงแต่ว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ทำเช่นนั้น ไม่ได้…” ถอนหมั้นหรือ พระราชโองการประกาศออกไปได้สิบเจ็ดปี รับรู้ทั้งสวรรค์และนรกแล้ว

     โม่เทียนอวี่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เห็นพระพักตร์ของเสด็จพ่อแล้วเขาก็ยินยอมไม่ขอสู้ต่อ กราบทูลไปว่า “แล้วกระหม่อมจะทำสิ่งใดได้”

     ฮ่องเต้ต้าเฉวียนแย้มพระโอษฐ์ คิดว่าจะยาก แต่กลับยอมง่ายกว่าที่คิด เกือบจะสรวลด้วยความพอพระทัยอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าประโยคที่ตามมาของเด็กดื้อน่าตายสายเลือดของพระองค์จะทำให้ทรงต้องนิ่งอึ้งอีกครั้ง “เพียงแต่ไม่ใช่ไท่จื่อเฟย”

     พระพักตร์ดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม “ไม่ใช่ไม่ได้” พระสุรเสียงหนักแน่น ข้อนี้อย่างไรก็ทรงไม่ยอมถอย

     “เช่นนั้น กระหม่อมขอตัว” ไม่ชอบต่อความตามนิสัย เมื่อเจรจาไม่ได้ดั่งใจ โม่เทียนอวี่ก็ไม่คิดจะสนทนาต่อ

     “โม่เทียนอวี่” พระสุรเสียงตวาดดังลั่น คู่สนทนาชะงักท่าที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพระองค์ เห็นแววตาของต้าอวี่แล้ว โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ก็ระงับโทสะได้เล็กน้อย ตรัสถามออกไปว่า “เหตุผล...คืออะไร ขอถามได้หรือไม่ เพราะเหตุใด”

     “ไม่คู่ควร ไม่เหมาะสม” สองคำกับใบหน้าราบเรียบตอบกลับมา

      ผู้เป็นใหญ่กว่าใครในแผ่นดินพระโอษฐ์อ้า คล้ายจะตรัสสิ่งใดออกมา ทว่าไร้เสียง ในที่สุดก็ทรงตรัสว่า “ตาของเจ้างอกทะลุขึ้นไปบนหัว[8]แล้วหรืออย่างไร” โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสแล้วก็ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ต้าอวี่” ตรัสด้วยท่าทีลดความโกรธเคืองลงไปไม่น้อย มีพระประสงค์เกลี้ยกล่อมเป็นด่านแรก โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “อวี่เทียนเหมย นางดีแท้ข้อนี้ไม่มีผู้ใดบังอาจสงสัย นับแต่นางถูกข้าหมั้นหมายให้เจ้า นางยังไม่ทันได้อยู่ในครรภ์มารดาเสียด้วยซ้ำ ความดีไม่ต้องพูดถึง ความงามอย่าบังอาจแตะต้อง สิ่งใดสตรีควรมี ใต้หล้านี้ หาได้ดีเทียบเท่านาง แล้วเจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร”

[1] เงียบไม่มีเสียง เหมือนจักจั่นยามเหมันต์ หากเป็นกรณีตรงข้ามกัน เสียงดังวุ่นวาย จะใช้คำว่า จักจั่นยามวสันต์

[2] ทำในเรื่องไม่สมควรทำ พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด

[3] ถูกนินทา เป็นเป้าสายตา

[4] ก้าวเท้าสู่ราชสำนัก

[5] เรื่องใหญ่จะพังลงเพราะเรื่องเล็กไม่ได้

[6] อดทนมาจนใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว ต้องอดทนและมีสติให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดไม่ประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ

[7] 'ผู้เฒ่าจันทรา' ภาษาจีนเรียกว่า 'เย่ว์เซี่ยเหล่าเหริน' หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'เย่ว์เหล่า' (月老) ว่ากันว่าเทพพ่อสื่อองค์นี้เป็นชายชรา ถือเชือกวิเศษสีแดงกับสมุดบันทึกเป็นของประจำตัว .

[8] หยิ่งยโส ถือดีจนมองไม่เห็นหัวของคนอื่น

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๓ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๓ ไร้ประโยชน์

    พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๑ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๒ ไร้ประโยชน์

    เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

    อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

    มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

    การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๑ ยินยอม ไม่ยินดี

    แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ

좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status