ดวงตาหงส์คู่งามเริ่มเห็นทหารยามเปลี่ยนไปเป็นราชองครักษ์ บ่งบอกว่าปลายทางของนางอยู่อีกไม่ไกล องครักษ์ทั้งหลายตั้งแถวเรียงรายยืนนิ่งกลางสายฝนราวกับว่าไม่ใช่คนทำตนเป็นรูปปั้น ผู้พิทักษ์ความปลอดภัยไร้ชีวิตชีวา นิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน หลอกล่อลอบวางกับดักให้วางใจ ที่แท้แล้วเม็ดฝนตกกระทบพื้นยังไม่รวดเร็วเท่าการเคลื่อนไหวของพวกเขายามมีภัยมาเยือนนายเหนือหัว
อวี่เทียนเหมยอยู่ใต้ชายคา พวกเขาอยู่ใต้แผ่นฟ้า เหมือนกันหนึ่งข้อ ล้วนมีหน้าที่ซึ่งต้องกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งสิ้น
จังหวะการเดินของคนงามช้าลงด้วยความตั้งใจ กิริยาอ่อนโยนนุ่มนวลในทันใด เมื่อเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นที่คุ้นเคย “เสิ่นกงกง” เอ่ยคำทักทายด้วยเสียงหวานใสพร้อมย่อตัวทำความเคารพ ใบหน้างามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ
ขันทีเฒ่าพยักหน้ารับช้า ๆ สายตาสำรวจกวาดมองคนงามทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า บังเกิดความปิติชื่นชมเปี่ยมล้นอยู่ในใจของผู้เฒ่า ไร้คำใดอาจหาญเอ่ยถึงความงดงามตรงหน้าให้สมค่า
สายตาฝ้าฟางเคยเห็นสาวงามมานับหมื่น งามใบหน้าหรืองามที่กิริยา บุตรสาวราชครูผู้นี้ ขันทีเฒ่าที่เฝ้ามองผู้คนมานานนับห้าสิบปี ไม่มีสตรีใดกล้าเป็นหนึ่ง หากอวี่เทียนเหมยบุตรีราชครูอวี่เป็นสอง
“ฝ่าบาทให้ผู้เฒ่ามาคอยท่าน” ปากกล่าววาจา สายตาสื่อความนัยพินิจพิจารณาหยั่งเชิงท่าที ค้นหาคำตอบว่าคนงามเข้าใจถึงสารที่ต้องการจะสื่อหรือไม่
อวี่เทียนเหมยสบตากับขันทีเฒ่า เข้าใจแจ่มแจ้งในเจตนาของผู้ส่งสารนางย่อตัวลงอีกครั้ง “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เสิ่นกงกงได้ฟังคำตอบที่ต้องการ ขันทีเฒ่าพอใจแล้ว ไม่พูดอะไรเพิ่ม สะบัดแส้ขนหางจามรีประจำตัวในมือ ก่อนจะออกเดินนำหน้า
เสิ่นกงกงเป็นเจ้าสำนักขันที รับใช้ตำหนักเฉียนชิง ฐานะเทียบเท่ากับขุนนางขั้นสี่ ผ้าไหมสีแดงเข้มเนื้อดีปักลวดลายสะบัดไปมาตามจังหวะการก้าวเดิน อัญมณีประดับยอดหมวกบนศีรษะบ่งบอกความสำคัญขันทีเฒ่า เสิ่นกงกงรับใช้ฮ่องเต้มาแล้วสองพระองค์ นายเหนือหัวมีเพียงหนึ่งเดียวคือโอรสสวรรค์ เสิ่นกงกงผ่านการเปลี่ยนรัชสมัยได้โดยปลอดภัย ยิ่งใหญ่ในตำแหน่งเดิมที่สูงขึ้น ได้มาไม่เท่ารักษาโดยแท้
ขันทีเฒ่าติดตามฮ่องเต้ประหนึ่งเงาไม่เคยห่างหาย โอรสสวรรค์ผู้ครองบัลลังก์มังกรเสด็จไปที่ใดย่อมมีเสิ่นกงกงตามไปรับใช้ถวายงาน ขันทีเฒ่าจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของฝ่าบาท
การส่งเสิ่นกงกงมารอรับถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ อวี่เทียนเหมยรู้ซึ้งถึงพระเมตตาของฝ่าบาท ทรงให้ความสำคัญต่อนางมากถึงเพียงนี้ ให้เกียรติทั้งนางและคนตระกูลอวี่ ใจของอวี่เทียนเหมยหนักอึ้งขึ้นมาอีกหลายส่วน
มาถึงยามนี้แล้ว สายน้ำต่อให้เชี่ยวกรากมากด้วยอันตรายอย่างไรนางก็ต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้[1] ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดมา ใช่ว่าจะกระทำทุกอย่างได้ดังใจ มีเพียงแค่ต้องทำตนให้สมกับทุกสิ่งที่ได้รับ
ก็เพียงเท่านั้น
.
การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง
จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน
ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน
อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย
เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม
เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หมั้นของนาง
ความประทับใจครั้งแรกพบสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่ได้!
เสิ่นกงกงหยุดเดิน หันหลังกลับไปมองคนงามที่เดินตามมา จึงได้เห็นว่าคุณหนูรองตระกูลอวี่ท่าทางสงบนิ่งก็จริง แต่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ขันทีเฒ่ากระซิบถามเสียงเบาว่า “พร้อมแล้วหรือไม่”
อวี่เทียนเหมยสบตากับเสิ่นกงกง ยิ้มอ่อนให้ขันทีเฒ่า รู้ตัวว่าปกปิดความกังวลได้ไม่มิด เป็นเรื่องควรถูกตำหนิอย่างยิ่ง เฝ้ารอคอยมานานนับสิบกว่าปี อดทนมาเสียก็มาก จะไม่เป็นดังหวังเพียงเพราะนางควบคุมตนเองไม่ได้กระนั้นหรือ...
เสิ่นกงกงมองแม่นางน้อยคนงามตรงหน้าอย่างชั่งใจ ขันทีเฒ่าคิดไปว่า‘เอาเถิด…ฝ่าบาทประทับอยู่ด้านใน ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรง’ สตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีเช่นคุณหนูรองตระกูลอวี่ เสิ่นกงกงเชื่อว่าแม้จะแสดงความกังวลให้เห็น แต่ก็จะสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์แน่นอน
อย่างไรฮ่องเต้ก็มากล้นด้วยพระเมตตา และที่มีไม่น้อยกว่าคืออำนาจ ฝ่าบาททรงพระปรีชา บิดารู้อารมณ์บุตร ‘ผู้น้อยไม่ควรยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่’
เสิ่นกงกงหาข้อสรุปให้ตนเองได้ก็สะบัดแส้ขนหางจามรีในมืออย่างติดเป็นนิสัยยามกังวลใจของผู้เฒ่า
ขันทีน้อยเฝ้าหน้าห้องทรงพระอักษรมองเห็นเสิ่นกงกงก็ขยับตัว ตั้งท่า อ้าปากเตรียมจะขานชื่อผู้มาขอเข้าเฝ้า
ขันทีเฒ่าเสิ่นกงกง รีบยกมือห้าม หน้าที่นี้ผู้เฒ่าเฝ้าฝันมานาน การพบเจอครั้งแรกของสตรีและบุรุษซึ่งในภายภาคหน้าจะเป็นหงส์และมังกรสองมงคลเคียงคู่แห่งบัลลังก์ต้าเฉวียน เสิ่นกงกงปรารถนาจะเป็นคนเปิดฉากนี้ด้วยตนเอง
ดูจากความสามารถของไท่จื่อในยามนี้แล้ว ต้าเฉวียนย่อมยิ่งใหญ่กว่าเคย ขันทีเฒ่าอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้หรอกว่าตนจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นหรือไม่ แต่ในวันนี้...สิ่งใดทำแล้วดีต่อตนเอง แม้ไม่ใช่หน้าที่ ผู้เฒ่าก็ขอเสนอหน้า!
เสิ่นกงกงยืดตัวขึ้น กระแอมไอเบา ๆ หนึ่งครั้งเพื่อเรียกเสียง กำลังจะเงยหน้า ทว่าไม่ทันได้อ้าปาก พลันต้องหดตัวงอหลังลงตามเดิม เมื่อหูได้ยินพระสุรเสียงของโอรสสวรรค์ เจ้าชีวิตของราษฎรต้าเฉวียนตวาดดังลั่นจนได้ยินมาถึงด้านนอก บ่งบอกถึงโทสะที่กำลังก่อเกิด
น้อยครั้งนัก ฝ่าบาทไหนเลยจะมีโทสะให้พบเห็น แน่นอนว่า...ผู้เฒ่าตระหนกอยู่ไม่น้อย เสิ่นกงกงเหลียวมองไปรอบบริเวณ เจตนาไม่มองไปทางด้านหลังของตนเอง ด้วยหน้าที่ขันทีเฒ่าไม่ได้พูดอะไร
ขันทีนางกำนัลในห้องทรงพระอักษรเป็นดั่งจักจั่นยามเหมันต์ [2]เงียบเสียจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจ เชื่อว่าหากเข็มตกกระทบพื้นสักหนึ่งเล่ม คงจะได้ยินเป็นแน่ เพราะเงียบงันไร้เสียงเช่นนี้ ทุกถ้อยคำดำรัสรับสั่งของบทสนทนาด้านในจึงได้ยินชัดเจนผ่านหูคนทุกผู้
[1] ไม่ถอยหลังในขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี
[2] เงียบไม่มีเสียง เหมือนจักจั่นยามเหมันต์ หากเป็นกรณีตรงข้ามกัน เสียงดังวุ่นวาย จะใช้คำว่า จักจั่นยามวสันต์
[3] ทำในเรื่องไม่สมควรทำ พูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูด
[4] ถูกนินทา เป็นเป้าสายตา
[5] ก้าวเท้าสู่ราชสำนัก
[6] เรื่องใหญ่จะพังลงเพราะเรื่องเล็กไม่ได้
[7] อดทนมาจนใกล้ถึงเป้าหมายแล้ว ต้องอดทนและมีสติให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดไม่ประสบความสำเร็จตามความตั้งใจ
“นางคนชั้นต่ำ อย่ามาเสนอหน้า” อวี่เหวินตวาดเสียงดังลั่น เขาเงื้อมือขึ้นสูง เดินตรงไปหาสตรีทั้งสอง สาวใช้ของอวี่เทียนเหมย ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง “หยุดการกระทำของท่านเดี๋ยวนี้” อวี่เทียนเหมยนั้น ชีวิตนี้นางไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร แต่พอได้เห็นท่าทีของพี่ใหญ่แล้วไม่อาจทน ซูผิงเป็นคนของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาหยามเกียรติของซูผิงได้ อวี่เหวินชะงักค้าง ท่าทางของเหมยเหมย ดูทรงอำนาจอย่างน่าแปลก เท้าหยุดก้าวโดยพลันทันที เขาไม่เคยเห็นเหมยเหมยเป็นเช่นนี้มาก่อน อนิจจา…พอได้ชื่อว่าเป็นสตรีของไท่จื่อ มีหยางลู่ไทเฮาอยู่เบื้องหลัง อวดดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ‘น่าชังจนหลงใหล’ อวี่เหวินอารมณ์เปลี่ยนไปมา ในใจเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น อยู่ ๆ เขาก็หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าอวี่เทียนเหมยไม่วางตา คิดว่าครั้งนี้เกินไปแล้ว อวี่เทียนเหมยดันซูผิงให้ไปอยู่ด้านหลัง สาวใช้ขืนตัวไม่ยินยอม แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่ง ซูผิงจึงยอมถอย แต่สาวใช้ยังตั้งท่าระวังภัย ไม่ยอมวางใจ “หากท่านไม่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่มีเกียรติดังเช่นท่าน” อวี่เทียนเหมยแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางไม่อา
‘เสี่ยวซาน…’ อวี่หลางซานกลับมาแล้ว พอนึกขึ้นได้ อวี่เทียนเหมยก็เหมือนจะเห็นทางสว่างรออยู่เบื้องหน้า น้องชายของนางเป็นทหารในกองทัพ มีตำแหน่งไม่น้อย ย่อมต้องมีเส้นสายและมุมมองที่กว้างไกลกว่านาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าเรื่องหนักอึ้งในใจของนางนี้ สามารถเล่าให้เสี่ยวซานฟังได้ เผื่อว่าน้องชายจะมีทางออกที่นางคิดไม่ถึงมาแนะนำ บิดาเกรงใจพี่ใหญ่มาก อวี่เทียนเหมยไม่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ดีส่วนไม่ดี เอาความดีมาลบล้างไม่ได้ แต่บุญคุณถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านพ่อ พี่ใหญ่นั้นบิดาของเขาสละชีวิต เพื่อท่านพ่อของอวี่เทียนเหมย ในอดีตก่อนท่านพ่อจะพบกับท่านแม่ ท่านพ่ออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาเก่า ต่อมาสำนักศึกษาเกิดไฟไหม้ เพื่อให้ท่านพ่อรอด บิดาของพี่ใหญ่ยอมสละชีวิตตายอยู่ในกองเพลิง ฝากฝังพี่ใหญ่ไว้กับท่านพ่อ บุญคุณมากล้น แค้นชำระแค้นด้วยชีวิตฉันใด บุญคุณชีวิตทดแทนด้วยชีวิตฉันนั้น บิดาถือเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้ต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากบิดาสอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง ก็ขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แต่งงานสร้างฐานะร่วมกับมารดา รับเลี้ยงพี่ใหญ่ให้เป็นบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่อายุมา
เอาเถิด…อย่างไรก็ได้สมรสพระราชทาน ได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยมาแล้ว นี่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ใจไม่แน่นอน ตำแหน่งแน่นอน อวี่เทียนเหมยยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนของหยางลู่ไทเฮา สุดท้ายแล้วต่อให้เขาไม่รักนางมากเพียงใด เขาก็จะไม่กล้าผิดใจกับไทเฮา คิดปลอบใจตนเองว่า ชีวิตจะยึดติดกับรักอย่างเดียวไม่ได้! “พี่รอง!” เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิด อวี่เทียนเหมยหันไปหาต้นเสียง อวี่ไฉฟงกำลังเดินจับมือบิดามารดามาที่โต๊ะกินข้าว อวี่เทียนเหมยส่ายศีรษะให้กับน้องสาว อวี่ไฉฟงเป็นคนช่างออดอ้อน ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าในสายตาของคนในครอบครัว แล้ว พฤติกรรมนี้ถือว่าน่ารัก! อวี่ไฉฟงแซ่อวี่ เป็นบุตรสาวตระกูลอวี่ อยู่ในจวนอยากทำกิริยาอย่างไรตามใจปรารถนา แต่ยามออกไปนอกจวน ต้องรักษากิริยาดีไม่แพ้ผู้ใด เรื่องราวระหว่างวันถูกถ่ายทอดเล่าให้กันฟัง ช่วยสร้างเสียงหัวเราะได้มากมายในมื้ออาหาร คนตระกูลอวี่รักใคร่กัน ข้อนี้รู้ไปทั่วเมืองหลวง แต่อยู่ ๆ ซูผิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เห็นสีหน้าสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเรื่องสำคัญมาบอก อวี่เทียนเหมยไม่เข้าใจเหมือนกัน ในหนึ่งวันนั้น
สองสามวันมานี้ จวนตระกูลอวี่คึกคักมากกว่าปกติ แขกมาเยี่ยมเยือนที่จวนหลายคนแบบไม่ซ้ำหน้า ระบุเจาะจงแทบทุกคนเสียด้วยว่า ต้องการพบอวี่เทียนเหมย สถานการณ์ไม่แน่นอน คนใจโลเลจะชอบเกาะหงส์เกาะมังกร[1] เอาใจไม่เลือกหน้า เผื่อว่ายามที่เดือดร้อนขึ้นมา แผ่นดินแบ่งแยกเมื่อใด จะได้มีข้ออ้างไว้เอาตัวรอด ต้าเฉวียนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ขุนนางซึ่งไร้ที่พึ่งทั้งหลาย ยามนี้เข้าหาทุกฝั่ง เดินสวนกันจ้าละหวั่น ไปจวนนั้นจวนนี้ จวนตระกูลอวี่จึงต้องรับแขกมากหน่อย เพราะประกาศของหยางลู่ไทเฮา คนมาเยี่ยมเยือนมากเพียงใดก็ตาม ในใจไร้ความยินดี แต่ก่อนพบหน้าไม่สบตา ยามนี้มาส่งยิ้ม ‘ความจริงใจหาไม่ได้’ ยิ่งมากคนยิ่งต้องระวัง จะรับของขวัญก็ต้องถี่ถ้วน ล้วนมีปัญหาสอดไส้มาได้ทั้งสิ้น อวี่เทียนเหมยกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นม้าใหม่ในสนามรบ ยังไม่กล้ารับแขกด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว จึงยกหน้าที่นี้ให้ตกเป็นของบุพการี บิดามารดารับแขกแทนบุตรสาวจนเหนื่อยอ่อน หมดแรงในทุกวัน ตกเข้ายามค่ำคืนมา อวี่เทียนเหมยลงมือเคี่ยวน้ำแกงใส่สมุนไพรบำรุงร่างกาย ทำอาหารมากมาย แทนคำขอบคุณ จ
ส่วนนาง… อวี่เทียนเหมยขอไม่เชื่อ คิดในแง่ดีทั้งที่ความจริงเป็นแง่ร้าย ตระกูลอวี่จะมีหงส์สองตัวได้อย่างไร ในเมื่อหงส์ตัวแรกที่หมายถึงนาง เดินมายังไม่ถึงครึ่งเส้นทาง ก็ดูจะพบทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่! ท่านพ่อท่านแม่นั่งอยู่ไม่ไกล ตระกูลอวี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีลำดับขั้นได้ถวายของขวัญในตอนท้าย อวี่เทียนเหมยรีบลุกขึ้น เมื่อมองเห็นว่ามารดาส่งสายตามาเป็นสัญญาณเรียก เมื่อตระกูลอวี่ถวายพระพรไทเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาถึงคราวของอวี่เทียนเหมย เจียถิงและซูถิงเดินตามมาเพื่อถือภาพวาดขนาดเท่าตัวคนให้ สาวใช้ยืนคนละฝั่ง กางภาพวาดออกมาเห็นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ อวี่เทียนเหมยสังเกตพระพักตร์หยางลู่ไทเฮา นางมียิ้มละมุนบนใบหน้า เมื่อเห็นร่องรอยของความความพอพระทัย ปรากฎอยู่เต็มพระพักตร์ นางกราบทูลไทเฮาเสียงดัง “ชีวิตของเหมยเหมย นอกจากบิดามารดา หม่อมฉันมีฝ่าบาทและไทเฮาเป็นผู้มีพระคุณ ภาพวาดผืนนี้ หม่อมฉันวาดด้วยใจที่สำนึกรู้ ซาบซึ้งในพระเมตตา คำอวยพรใดในใต้หล้า หม่อมฉันไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ด้วยว่าไทเฮาทรงเป็นมงคลยิ่งแล้ว” หยางลู่ไทเฮาทอด
มู่ฮองเฮาเก็บโทสะไว้ในพระทัยไม่แสดงออก องค์หญิงหยางลู่อิงฮวา เพราะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการเป็นชายาของเสี่ยวหยาง มู่ฮองเฮาก็ขอปฏิเสธ หัวแข็งจนน่าชัง ทั้งยังควบคุมยากเกินไป! การแสดงขลุ่ย แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ว่าองค์หญิงหยางลู่อิงฮวากลับได้รับพระราชทานรางวัลจากไทเฮามากกว่าใคร เพราะเหตุผลใดใครจะรู้ดีเท่าหยางลู่ไทเฮา “เสียงขลุ่ยขององค์หญิงไพเราะมากเพคะ” อวี่เทียนเหมยรีบเอ่ยทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา อีกฝ่ายยักไหล่ “ขอบคุณคำชมที่จริงใจของท่าน” อวี่เทียนเหมยชะงักค้าง องค์หญิงรับมือได้ยากยิ่ง ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าตัว จึงค่อยวางใจว่าเมื่อครู่โดนแกล้ง “หากเจ้าไม่อาย ก็ควรสงสารหูคนฟังบ้างเถิด” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง สตรีสองนางที่นั่งข้างกันหันหน้าไปมอง คนหนึ่งหันหน้าหนี ส่วนอีกคนเบ้ปากใส่ผู้มาใหม่ทันที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นบนเรือ ไม่มีที่นั่งชัดเจนเหมือนงานเลี้ยงที่วังหลวง หยางลู่ไทเฮามีพระประสงค์อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เคร่งครัดพิธีมากจนเกินไป ใครปรารถนาจะนั่งที่ใดก็ตามแต่ใจ จึงมีคนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างม