“ข้าจะไปบวชอยู่ที่วัดหลินจิง” ฟู่ฟู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็หนักแน่นเสียจนเหมยลี่มองดูนางพลันตกใจอยู่ไม่น้อย
“คุณหนูฟู่ฟู่แน่ใจแล้วรึ”
“แน่ใจ ข้าจะไปอยู่ที่นั่น อย่างน้อยก็ปลอดภัยสำหรับข้า”
“ถ้าอย่างนั้นเราทั้งสองต้องรีบหนีไปก่อนจะไม่ทันการ” เหมยลี่ลุกขึ้น
“เดี๋ยว หากไปเช่นนี้ต้องมีคนจับได้แน่” ฟู่ฟู่รั้งมือไว้
“จริงด้วย ข้านี่โง่เขลานัก” เหมยลี่ยิ้มให้เล็กน้อย พลางหลุบตามมองเสื้อผ้าตัวเองสลับกับของบุตรสาวแห่งแคว้นอัน หากต้องการหลบหนีจำเป็นต้องพรางตัว
“หากคุณหนูฟู่ฟู่ไม่ว่าอะไร ท่านลองสลับอาภรณ์พวกนี้กับข้าไหม?”
“ได้สิ”
เมื่อตกลงกันได้ ทั้งสองจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ซึ่งกันและกันจนดูแปลกตา คุณหนูฟู่ฟู่สวมใส่ชุดคนรับใช้ซึ่งเป็นผ้าเก่าสีซีดทั้งยังมีรอยขาดรอยปะจากการเย็บจนดูเป็นสตรีธรรมดา ส่วนเหมยลี่ที่สวมชุดสีชมพูด้วยผ้าที่ตัดอย่างดี ทำให้ดูดีอยู่ไม่น้อย หากใบหน้านี้ไม่ได้มีรอยแผลจนอัปลักษณ์นางย่อมเป็นสตรีที่งดงามดุจนางบนชั้นสวรรค์
ถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่เหมยลี่จำเป็นต้องคลุมไว้ นั่นคือผ้าคลุมปิดบังใบหน้าของนางนั่นเอง แล้วมาจัดการเก็บเสื้อผ้าที่เหลือใส่ถุงย่ามให้เรียบร้อย
“ไปกันเถอะคุณหนู”
เหมยลี่เอ่ย พลางดึงมือสตรีผู้น้อยให้เดินหลบเลี่ยงไปตามทาง เรือนแห่งนี้มีผู้คนมากมายทั้งยังมีเหล่าทหารคอยเฝ้าเวรยามอยู่ไม่ห่าง ด้วยเพราะเจ้าแห่งแคว้นอันดันกลายเป็นเชลยจากการแพ้สงคราม
“คนมากเช่นนี้จะออกไปได้อย่างไร” ฟู่ฟู่มองดูสถานการณ์ข้างนอกพลันเปลี่ยนความคิด และมีสีหน้าเป็นกังวล นางพากันเดินและหลบอยู่มุมเสาเพื่อหาทางหนี แต่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้จึงยากเกินปัญญา
เหมยลี่ใช้ความคิดโดยสายตากวาดไปมองสิ่งรอบกาย จนเจอเข้ากับนางรับใช้คนอื่นซึ่งหอบหิ้วผ้าใส่ถังตักน้ำเดินผ่านมาทางนี้พอดี
“ข้านึกออกแล้วคุณหนู” เหมยลี่พูดด้วยรอยยิ้ม รีบดึงมือนายหญิงเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนแล้วจัดการรื้อผ้าออกจากย่ามทั้งหมดมาใส่ในตะกร้าแทน
“เจี่ยเจียท่านคิดจะทำอะไร” ฟู่ฟู่ยืนมองด้วยความสงสัย
“ปกติแล้วเรือนแห่งนี้ต้องนำผ้าที่ถูกใช้แล้วไปซักยังท่าน้ำหลังเรือน ข้าว่าที่นั่นไม่มีใครสังเกตนักหรอก ย่อมมีทางหนีออกไปได้”
“แต่คุณหนูฟู่ฟู่ไม่มีทางเข้าไปในที่นั่น มันจะผิดสังเกตเกินไป”
“จริงด้วย” เหมยลี่ไม่ทันคิด นางลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้กำลังสมบทบาทเป็นคุณหนูฟู่ฟู่
“ถ้าอย่างนั้นเสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่คงต้องถอดออก แล้วให้เจ้าสิ่งนี้ใส่มันแทน” เหมยลี่ชี้ไปยังหมอนบนเตียง แม้นางจะโง่เขลาแต่ก็คิดแก้ปัญญาได้จากการที่นางเคยเล่นซ่อนหากับคุณหนูฟู่ฟู่มาตั้งแต่เด็ก
“เป็นความคิดที่ดียิ่งนัก มาข้าช่วย”
ทั้งสองช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมยลี่อีกหน ในครั้งนี้หญิงอัปลักษณ์กลับมาสวมใส่เสื้อผ้าสาวใช้ตามเคย และจัดเสื้อผ้าสวมไว้กับหมอน ก่อนห่มมันด้วยผ้าห่มผืนหนา
“เจี่ยเจียท่านเอาตราประจำตระกูลข้าไปด้วย” คุณหนูฟู่ฟู่ยื่นตราประจำตระกูลให้
“คุณหนูไม่เก็บไว้หรอกรึ”
“ไม่ได้ หากใครรู้ว่าเป็นข้า คงได้ถูกจับไปแต่งงานกับท่านแม่ทัพเป็นแน่ ข้าจึงอยากฝากท่านไว้”
“ข้าจะรับไว้”
เหมยลี่จับมาเหน็บไว้ข้างเอว ก่อนหิ้วตะกร้าใบใหญ่เดินออกไปพร้อมสาวใช้อีกคนที่ปลอมตัวหนีไปด้วยกัน
สองนางเดินย่างกายออกมาอย่างไม่มีพิรุธ ใบหน้าของทั้งสองถูกคลุมไว้จนเห็นแค่ดวงตา เดินผ่านผู้คนไปตามทางด้วยใจหวาดหวั่น
“เดี๋ยว พวกเจ้าจะไปที่ใด” ทหารนายหนึ่งพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาช่างดุดันจนคุณหนูฟู่ฟู่ต้องเดินไปหลบอยู่หลังเหมยลี่
“พวกข้าจะไปซักผ้า ท่านมีตาหามีแววไม่” เหมยลี่ต่อปากต่อคำ
“ซักผ้า แล้วทำไมต้องคลุมหน้า” ทหารนายนี้ไม่ยอมปล่อยทั้งสองไปง่าย ๆ
“นี่อย่างไรเล่า ท่านคงขยาดอยู่ไม่น้อยใช่รึไม่” เหมยลี่ดึงผ้าออกเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของนาง ครั้งทหารนายนี้ได้เห็นพลันมีสีหน้ายู่ยี่คล้ายรังเกียจและถอยหนีไปครึ่งก้าว
“พวกข้าสองคนไปซักผ้าได้รึยัง” สาวรับใช้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งที่ในใจกลัวอยู่ไม่น้อย “ไปกันเถอะ” ก่อนสะกิดฟู่ฟู่ให้รีบเดินตามกันไป
สองนางเดินฝ่าผู้คนจนมาถึงท่าน้ำโดยมีเหล่าสาวรับใช้กำลังซักผ้า และอาบน้ำอยู่ตรงนี้
“คุณหนู” เหมยลี่ดึงข้อมือให้สตรีผู้น้อยหลบอยู่หลังพุ่มหญ้า
“เราจะให้ผู้ใดเห็นไม่ได้” สาวรับใช้พูดพร้อมเก็บผ้าในตะกร้าใส่ไว้ในย่ามตามเดิม
“เจี่ยเจียท่านรู้รึว่าจะหนีไปทางใด”
“คงต้องปีนกำแพง”
“แต่ตรงนั้นมีคนชุมนัก” ฟู่ฟู่มองไปยังกำแพงสูงซึ่งมีสาวรับใช้ยืนตากผ้าอยู่
“อีกทาง ทางนั้นต่างหากคุณหนู” เหมลลี่ชี้ไปยังทางที่รกร้าง
“จำได้รึไม่ เมื่อยังเด็กเราทั้งสองเคยแอบไปวิ่งเล่นกัน แล้วโดนโบยไปตั้งหลายครั้ง”
“ข้าจำได้แล้ว ที่ตรงนั้นมิมีผู้ใดเดินผ่านแน่ ๆ” ฟู่ฟู่ยิ้ม แล้วพากันวิ่งหลบไปยังทางรกร้างไร้ผู้คนทันที
เสียงเหยียบกิ่งไม้ดังตามจังหวะที่เท้าของทั้งสองนางกำลังพากันวิ่งไปยังกำแพงสูงอีกด้าน วงแขนของเหมยลี่ยกขึ้นป้องกิ่งไม้ออกไปให้พ้นทาง พร้อมทั้งเปิดเส้นทางเท้าให้คุณหนูแห่งแคว้นอันวิ่งตามได้อย่างสะดวก จนเมื่อมาถึงเสียงหอบได้ดังมาก่อนเสียงพูดราวกระซิบเสียด้วยซ้ำ“รีบปีนไปเร็วคุณหนู เหยียบบนหลังข้า” เหมยลี่ก้มหลังให้“เร็วเถิดคุณหนู หากผู้ใดไหวตัวทัน หนทางหนีคงไม่มีอีกหนแล้ว”เมื่อถูกรบเร้าสตรีผู้น้อยจึงยอมเหยียบหลัง มือพยายามเอื้อมไปจับกำแพงสูง และปีนป่าย ขณะที่เหมยลี่ได้ช่วยดันตัวสตรีผู้น้อยอีกแรง“ปะ...ปีนได้แล้ว” ด้วยความตัวบางฟู่ฟู่จึงสามารถขึ้นไปอยู่บนสันกำแพงได้อย่างง่ายดาย พลางยื่นมือให้สาวรับใช้จับ“ขึ้นมาสิ”“นั่นใครน่ะ!”แต่ยังไม่ทันที่เหมยลี่จะได้ปีนกำแพงก็มีเสียงของทหารดังมา สองนางตาเบิกโพลงหันมองกันด้วยความตกใจ หญิงอัปลักษณ์ใช้คิดเพีนงครู่เดียว ก่อนรีบปีนหนี“ลงไปก่อนคุณหนู ท่านวิ่งแยกไปที่ท่าน้ำ ตรงนั้นมีเกวียนที่พาไปวัดได้ ส่วนข้าจะล่อคนพวกนั้นให้ไปอีกทางเอง” เหมยลี่พูดอย่างจริงจัง“แล้วเจี่ยเจียจะไม่เป็นอะไรหรือ”“ชีวิตข้าไร้ค่ายิ่งนัก โปรดรักษาตัวด้วย” สาวรับใช้ก้มโค้งให้
เสียงฝีเท้าวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ฟู่ฟู่กำลังวิ่งใปให้ถึงที่หมายซึ่งเป็นท่าเรือ นางจับย่ามไว้แน่นและวิ่งจนผ้าสะบัดพลิ้วไปตามลม สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนและผู้คนซึ่งออกมาใช้ชีวิตกันเป็นปกติ ทั้งยังมีขอทานนั่งอยู่ตามมุมไม่เว้น แต่ที่น่าหวั่นกลัวคือพวกทหารต่างหากหญิงวัยแรกแย้มวิ่งหลบไปตามซอกซอยแคบ ๆ เพื่อหลบให้พ้นพวกทหารที่อาจวิ่งตามมา ทางลัดที่คุ้นเคยทำให้นางมาถึงท่าเรือจนได้ ใบหน้าผินมองรถม้าที่เหมยลี่ได้กำชับไว้ เมื่อเห็นว่ามีอยู่จริงดังว่า นางจึงรีบวิ่งไปด้วยอาการหอบเล็กน้อย“ข้าจักไปวัดหลินจิง”“สองตำลึง” บุรุษตรงหน้าพูด เขาคือเจ้าของเกวียนรถม้านั่นเอง บุรุษโพกผ้าพันศีรษะตัวสูงอย่างชายชาตรี อายุน่าจะมากกว่าฟู่ฟู่อยู่ไม่น้อย แต่ดูไม่มากเกินไปจากหน้าตาที่ดูยังหนุ่มแน่นคนคิดหนีไม่เกลี่ยงราคานางรีบมอบอัดให้ “นี่ข้าให้สี่ตำลึง รีบพาข้าไปที”คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย มองนางด้วยความสงสัย จากการแต่งกายดูไม่น่าจะมีอัดมากมายขนาดนี้ แต่เขาไม่ถามไถ่เพียงแต่โยนอัดในมือเล่นพลางมองสาวงามผู้นี้อย่างไม่ลดสายตา“ข้าจะไปส่งเจ้า เชิญเถิดแม่นาง”ชายแปลกหน้าพูดพลางเปิดม่านบนรถเกวียนให้ ฟู่ฟู่จึงเดินขึ้นไ
เหมยลี่เดินไปอยู่ด้านหลังท่านแม่ทัพ จากที่ตรงนี้ทำให้นางได้สังเกตบุรุษตรงหน้าอย่างถีถ้วน ร่างกายของเขาช่างดูสูงใหญ่และมีแผ่นหลังกว้าง รังสีความมีอำนาจแผ่กระจายออกมาจนใคร ๆ ต้องยำเกรง นางยืนอย่างใจกลัวพร้อมเม้มริมฝีปากล่างเล็กน้อย“รีบนวดสิ” มู่หยางปรายตามองเล็กน้อย พลางได้กลิ่นหอมจากกายหญิงอัปลักษณ์ช่างเหมือนดอกเหมยไม่มีผิด แต่ถึงแม้กลิ่นกายจะหอมเพียงใดหากใบหน้ายังอัปลักษณ์เช่นนี้ใครจะไปอภิรมย์ได้ “ปิดหน้าของเจ้าไว้ซะ ข้ายิ่งเห็นยิ่งสะอิดสะเอียน”เหมยลี่พลันดึงผ้ามาปิดบังใบหน้านี้ไว้ ด้วยความรู้สึกที่จุกอยู่ในอก นางควรชินและชาเสียบ้าง แต่พอถูกบุรุษรูปงามเอ่ยด้วยถ้อยคำดูหมิ่นก็ยิ่งรู้สึกว่านางดูไร้ค่ายิ่งนักมือเรียวบีบนวดไหล่กว้างซึ่งแข็งจนเส้นยึดจนนางบีบนวดแทบไม่ได้ ฝ่ามือพยายามกดและนวดอย่างเป็นจังหวะเพื่อให้ท่านแม่ทัพพอใจไม่คิดชักดาบมาจี้คอกันอีกมู่หยางรู้สึกเหมือนมีมดไต่ตามไหล่ เขาไม่ได้รู้สึกคลายเมื่อยแม้แต่น้อย แม่ทัพผู้นี้จึงเกิดอาการหงุดหงิดจึงได้ยกมือตั้งฉากขึ้น“พอ เจ้านี่มันไม่ได้เรื่อง ไปนั่งเสียข้าจะพาเจ้าไปเรือนข้า”เหมยลี่ไม่พูดคำใดนางยอมแลกชีวิตนี้เพื่อคุณหนูฟู่ฟู่ ยอม
สายฝนโปรยปรายผสมกับเสียงฟ้าร้องปนเปในยามราตรี พร้อมเสียงเกือกม้าดังเป็นจังหวะ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษอยู่ในเกวียนกำลังนั่งตัวโยนเล็กน้อยที่เกิดจากถนนหนทางที่เต็มไปด้วยดินโคลน อากาศซึ่งมีเม็ดฝนจึงนำพาลมหนาวพัดลอดช่องผ้าม่านเข้ามาด้านใน ความมืดที่เห็นเพียงเงาเลือนรางของคนข้างกายทำให้สตรีร่างอรชรรู้สึกหวั่นกลัวอยู่ไม่น้อยเหมยลี่นั่งเกาะขอบไม้ไว้แน่น แต่ถึงอย่างนั้นฟ้าดินก็ไม่อาจเป็นใจ เมื่อล้อลากเกวียนดันตกหลุมลูกใหญ่จนกายนางต้องถลาไหลไปกองรวมอีกฝั่งซึ่งมีท่านแม่ทัพนั่งอยู่สัมผัสแข็งแรงจากกายบุรุษและจากมือใหญ่กำลังโอบรัดเอวกิ่วของนางไว้ หญิงไม่เคยถูกชายใดแตะต้องรู้สึกประหม่าเขินอายอยู่ในที ใบหน้าอัปลักษณ์ในความมืดสลัวกลับแดงระเรื่อและร้อนผ่าว นางไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนถึงมีอาการเช่นนี้ ยิ่งกลิ่นกายบุรุษบึกบึนอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก เลือดลมพลันโลดแล่นไปทั่วร่างราวกับถูกพลังลมปราณเข้าเล่นงาน“ข้าล่วงเกินท่านแล้ว” เหมยลี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หัวใจของนางเต้นโครมครามยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องลั่นบนนภาในยามนี้“พอเจ้าอยู่ในความมืดเช่นนี้ค่อยน่ามองหน่อย” มู่หยางพูดอย่างใจคิด พลางมองใบหน้าของหญิงอัปลักษณ์เม
หญิงอัปลักษณ์เป็นได้แค่เครื่องบรรเทากำหนัดให้กับท่านแม่ทัพซึ่งดูไร้ค่ายิ่งนัก เหมยลี่เมื่อได้ฟังถ้อยคำดูหมิ่นยิ่งตรอมตรมชีวิตของนางคงเป็นได้เพียงเท่านี้ ครั้นเมื่อร่างทมิฬที่ยามนี้เห็นเลือนรางกายกำยำกำลังขยับเข้ามาใกล้และซุกไซ้คอระหง สัมผัสวาบหวามซ่านไปทั่วกายแต่ใจกลับเศร้าหมองจนแสดงออกทางดวงหน้าและดวงตาซึ่งมีหยดน้ำตาไหลริน“ท่านมีภรรยามากเช่นนี้ยังมิคิดพออีกรึ” แม้จะรู้สึกเสียใจ แต่ก็ทราบดีว่าเป็นเรื่องปรกติอันชอบธรรมที่บุรุษผู้มากซึ่งยศจักมีภรรยามากย่อมไม่ผิดแผกจากจารีต นางไม่น่าเอ่ยถามคำนี้จากบุรุษไร้ใจด้วยซ้ำมู่หยางขยับใบหน้าออกเล็กน้อยอย่างเสียดาย เขารำคาญเสียงสะอื้นไห้ซะจริง “บุรุษเช่นข้าย่อมมีความใคร่อยากเป็นธรรมดา รึเจ้าไม่คิดอยากกันเล่า ไม่สิข้าต้องพูดว่าเจ้าเองก็กำหนัดอยู่ไม่น้อยถึงได้ยอมแหวกขาให้ข้าเช่นนี้”ก้านนิ้วยาวหยอกเย้ากลีบดอกเหมยให้แย้มกลีบบานจนน้ำหวานของเกสรชุ่มฉ่ำจวนใกล้เวลาเต็มทน แม้มู่หยางไม่ชอบใบหน้าของหญิงอัปลักษณ์แต่พอยามที่ได้ยินเสียงครวญครางกลับอยากเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยิ่งนัก“มะ...ไม่จริง อ๊า ท่าน อะ อิ ท่านแม่ทัพพอเสียเถิด” มือเรียวพยายามดันมืออีกฝ่ายให้
หญิงอัปลักษณ์ไร้เรี่ยวแรงแต่ต้องยืนด้วยขาทั้งสองที่สั่นไหวระริก นางเปิดผ้าคลุมศีรษะมองเรือนของท่านแม่ทัพอย่างเต็มตา ด้วยยศศักดิ์ที่มีทำให้เรือนนี้ใหญ่โตไปมาก ผู้น้อยจากแดนไกลเดินก้าวพ้นธรณีประตูรั้งเข้าไปตามเจ้าของเรือนด้วยใจหวั่นกลัว นางได้ย่างกรายเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกลูกู้ด้วยความจำยอมเสียงฝีเท้าดังมาแต่ไกลจากชานเรือนที่ทอดยาวไปตามแนวเรือนสี่ฤดูซึ่งมีโถงเป็นบ่อบัวอยู่ตรงกลาง เหมยลี่ทอดสายตามองอย่างถือดีเพราะไม่รู้ว่าหญิงสูงวัยที่กำลังเดินมาเป็นผู้ใดฮูหยินชิงชิงได้รู้ข่าวว่าบุตรชายได้เดินทางกลับมาแล้วนางจึงรีบออกมาต้อนรับโดยมีสะใภ้ทั้งสามและนางรับใช้เดินตามอีกเป็นขบวน หญิงที่เกิดจากตระกูลผู้ดีมองสารร่างสะใภ้คนใหม่จากที่ไกล ๆ พลันขมวดคิ้วและมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกับบุตรชายที่เป็นถึงท่านแม่ทัพสักนิด“นี่รึบุตรสาวแห่งแคว้นอัน” ฮูหยินพูดอย่างไม่เชื่อสายตา เหล่าสะใภ้เห็นไม่ต่างกัน ทำให้ตั้งกำแพงกีดกันไมตรีตั้งแต่แรกเห็น สายตาดูหมิ่นดูแค้นปรากฏบนใบหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้“ขอรับท่านแม่” มู่หยางยกมือขึ้นบรรจบ“เคารพท่านแม่เจ้าค่ะ” เหมยลี่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยอย่า
หญิงอัปลักษณ์ถูกปกป้องจากท่านแม่ทัพซึ่งไม่ได้รู้สึกยินดีนัก เหมยลี่ที่คิดหนีไม่อาจไปที่ใดได้ดั่งนกน้อยในกรงที่ถูกกักขัง นางเดินไปยังโรงฟืนที่อยู่ไกลออกไปจากเรือนตระกูลกู้ ที่แห่งนี้ทั้งเก่าและทรุดโทรมจนแทบไม่สามารถเป็นที่หลับนอนได้ แต่ด้วยถูกล้อมและถูกดาบปลายแหลมคมจี้หลังทำให้นางมิสามารถขัดขืน“จำเอาไว้ซะที่แห่งนี้คือที่ของเจ้า อย่าคิดหนีออกไปจากที่แห่งนี้ มิเช่นนั้นแคว้นอันของเจ้าจักได้ร้อนเป็นไฟอีกครา” ท่านแม่ทัพลั่นวาจา ซึ่งน้ำเสียงหนักแน่นเป็นที่สุดคนนึกห่วงคุณหนูฟู่ฟู่ไม่กล้าคิดหนีไปที่ใด นางต้องอยู่ที่นี่เพื่อให้คนในแคว้นอันปลอดภัยจากสงคราม แม้ผู้คนในเมืองนั้นจักมองว่านางเป็นปีศาจร้ายทำลายบ้านเมืองก็ตามที แต่คนที่ร้ายที่สุดคือท่านแม่ทัพมู่หยางคนนี้มิใช่หรือ“ท่านพี่คงไม่คิดให้นางงอตีนงอเท้าอยู่เฉย ๆ หรอกกระมัง” ต้าเหนิงที่เดินตามมาติด ๆ พูดขึ้น พลางมองหน้าหญิงอัปลักษณ์ด้วยสายตาเหยียด“ข้ามิคิดเช่นนั้นอยู่แล้ว” มู่หยางผินหน้าไปตอบภรรยาเอก ก่อนจ้องมายังหญิงอัปลักษณ์ “หน้าที่ของเจ้าคือเป็นคนรับใช้อย่าคิดเสมอตัวเทียบกับภรรยาของข้า เจ้าต้องหุงหาอาหารและดูแลเรือนของตระกูลกู้ให้เป็นอย
“เจ้าจักไปที่ใด” หญิงรับใช้ของฮูหยินชิงชิงเอ่ยถามหญิงอัปลักษณ์ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยกสำรับผ่านหน้าประตูไป“ข้าจักช่วยยกสำรับ...”“ไม่ต้อง เจ้ามิมีสิทธิ์ไปเหยียบบนเรือนใหญ่ ลืมสิ้นแล้วหรือว่าเจ้าเป็นหญิงอัปมงคล มิมีผู้ใดอยากเห็นหน้าเจ้า เห็นก็คงกลืนข้าวไม่ลงกันพอดี”ยังไม่ทันพูดจบหญิงรับใช้คนสนิทรีบพูดโดยพลัน นางมองหญิงอัปลักษณ์อย่างหาเรื่องตามประสาคนดูแลเรือนแห่งนี้“ให้ข้าไปแทนเถิด” หญิงรับใช้อีกคนที่อยู่เป็นเพื่อนเหมยลี่รีบอาสา นางรับสำรับในมือมาถือไว้แทน“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้าพาเจ้าไปทำงานอย่างอื่นแทน” นางพูดแล้วเดินออกไปหญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินปรายตามามองเหมยลี่พร้อมแบะปากใส่อย่างไร้ซึ่งการให้เกียรติกัน ก่อนเดินอ้อนแอ้นไปยังเรือนใหญ่เหมยลี่จึงเดินคอตกมานั่งหลบมุมในครัว นางทั้งหิวและไม่มีแรงคล้ายไม่สบาย แต่ถึงตอนนี้อาหารตรงหน้าจะส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย แต่นางมิอาจทานได้เพราะต้องรอให้นายในเรือนทานกันจนหมดก่อนซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของหญิงรับใช้ที่นางรู้ดีหญิงรับใช้คนสนิทของฮูหยินที่พ่วงตำแหน่งหัวหน้าเหล่าผู้รับใช้ นางมีนามว่า อู๋ท่ง กำลังเดินนำหญิงรับใช้ทุกคนไปยังห้อ
มู่หยางได้เดินย่องกลับมายังห้องนอนของตัวเอง ทว่าเมื่อกำลังเดินไปตามทางสลัวเขาดันเห็นภรรยาเอกมายืนรออยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาแสร้งทำเป็นขรึมอย่างมีเรื่องปกปิด และเดินเข้าไปหาคล้ายไม่มีเรื่องอันใดต้าเหนิงรอสามีมาตลอดทั้งวันจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด แต่พอมายืนรอหน้าประตูห้องนางได้เห็นมู่หยางเดินมาจากทิศทางที่ไม่ใช่เส้นทางปกติ ใจของนางสั่นไหวด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ในใจ กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่นางกำลังคิดจักเป็นความจริง“ท่านพี่ไยถึงได้เดินมาจากทางนั้น” เป็นต้าเหนิงเอ่ยทักก่อน เสียงของนางสั่นเครืออยู่ไม่น้อย ดวงตากำลังจ้องอย่างจับผิด“ไม่มีอันใดให้เจ้ากังวลดอก ม้าของข้ามันดันขาเจ็บอยู่ตรงนั้น ข้าเลยต้องเดินเข้ามาเองหากอ้อมไปด้านหน้าคงได้เสียเวลาข้าเลยเข้ามาจากประตูด้านนั้น”มู่หยางโกหกเต็มคำ เขาพูดพร้อมเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเป็นปกติ ทว่าคนฟังก็ยังมิปักใจเชื่อ ใบหน้าเรียวมองไปยังประตูบานที่ว่าซึ่งตอนนี้ปิดสนิทไร้วี่แววการถูกเปิดออก ก่อนเดินเข้าไปภายในห้องแล้วถามในสิ่งที่นางเริ่มสงสัย“ท่านพี่มิได้ไปหานางผู้นั้นใช่รึไม่”“เจ้าเอาอะไรมาพูด คนอย่างข้ามิไปสุงสิงกับหญิงอัปลักษณ์เ
หลังจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้เรียบร้อย มู่หยางได้มานั่งพักผ่อนอยู่ที่โรงน้ำชา ด้วยสีหน้าดูเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย เขาดันคิดถึงหญิงอัปลักษณ์ขึ้นมาด้วยสำนึกผิดอยู่ในใจที่เขาสั่งลงโทษนางทั้งที่ไม่ได้มีความผิดเลยสักนิด หากจักต้องลงโทษผู้ใดก็คงเป็นเขาเองที่ใจโลเลเยี่ยงนี้“ท่านมู่หยาง ไยเจ้านั่งจิบน้ำชาหน้าตาเคร่งเครียดเช่นนั้น มันควรสุนทรีมิใช่” สหายรักอย่างเซียวจ้านเอ่ยทักเมื่อย่างกรายมาถึง ทั้งที่โรงน้ำชาแห่งนี้มีสตรีรูปงามมาดีดพิณพร้อมร่ายรำแต่สหายไยมิไม่ผ่อนคลายลงบ้าง“งานราชการท่านยุ่งยากเชียวรึ” แล้วถามต่อพร้อมนั่งลง“มิใช่” มู่หยางตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก“แล้วเรื่องอันใดเล่า”“มิใช่เรื่องที่คุณชายเซียวจ้านต้องใส่ใจ”“มิบอกข้าก็ไม่เป็นไร ข้าก็พอจะเดาได้ ท่านกลุ้มใจเรื่องนางผู้นั้นใช่รึไม่”“ท่านเป็นนักปราชญ์สินะถึงได้รู้มากนัก” มู่หยางยกจอกน้ำชามาดื่มจนหมดจอก ก่อนวางกระแทกโต๊ะอย่างแรง“ข้าก็แค่เดา นางผู้นั้นเป็นหญิงอัปลักษณ์จริงรึไม่”“ใช่รึไม่มิเห็นเกี่ยวกับเจ้า”“ระวังภัยเอาไว้ย่อมเป็นการดี เจ้ามิรู้หรอกรึว่าผู้ใดเกิดมาผิดแผกย่อมเป็นกาลกิณีต่อบ้านเมือง ยิ่งเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ด้วยแล้วต้องยิ่
ทางด้านฟู่ฟู่หลังจากนางได้ตัดสินใจไปกับบุรุษนามว่าจางเหว่ยที่พึ่งพบเจอได้ไม่นาน นางยินดีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าต้องกลับไปยังที่จากมา แม้บุรุษผู้นี้จักดูไม่เป็นพิษเป็นภัยแต่ขึ้นชื่อว่าบุรุษก็ยังมิอาจเบาใจได้ว่าเขาจักไม่เป็นภัยต่อนางร่างอรชรนั่งอยู่บนเกวียนแต่ในครั้งนี้นางได้แหวกม่านและมองข้างทางไปตลอดทาง เพราะหากจางเหว่ยคิดร้ายต่อนางจริงนางจักได้หาลู่ทางหนีได้อย่างทันท่วงที“เรือนของแม่ท่านอยู่ที่ใด” ด้วยความอยากรู้นางจึงตะโกนถาม สายตาของนางเห็นบุรุษเบื้องหน้าผ่านผืนม่านบางที่พอเห็นราง ๆ เท่านั้น“หมู่บ้านตรงหุบเขาเหลียงซาน”“อยู่บนหุบเขาเชียวรึ”“มิใช่ดอก อยู่ตรงคุ้งน้ำตรงหุบเขา เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ทำการเกษตร”ฟู่ฟู่พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจ นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่คิดว่าจักได้เดินทางไปไกลถึงที่แห่งนั้นด้วย ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ เส้นทางเกวียนก็ลำบากแสนเข็นเสียจนนางนั่งไม่ติดพื้นจนก้นพลันระบมจนชาไปหมด นางมิรู้ว่านั่งไปได้นานเพียงใด แต่ตอนนี้นางได้ปวดท้องจนอยากลงไปเด็ดดอกไม้สักครู่“ท่านจางเหว่ย ท่านหยุดพักสักประเดี๋ยวได้รึไม่ คือข้า...” ฟู่ฟู่อ้ำอึ้งมิกล้าเ
ร่างอรชรถูกจับให้นั่งคุกเข่าในที่โล่งแจ้งเพื่อเตรียมรับโทษ โทษของนางแม้จะถูกลดทอนให้เหลือน้อยนิดด้วยการถูกโบยด้วยลำไม้ไผ่ที่มีท่อนเล็กไม่ถึงขนาดไม้พาย แต่ก็ยังหนักหนาเกินกว่าที่สตรีตัวเล็ก ๆ จะรับได้ไหวนางกำกระโปรงที่หน้าเข่าไว้แน่นและหลับตาทั้งที่หยดน้ำตายังไหล เพื่อไม่ให้มองเห็นการลงโทษนี้เพี้ยะ เพี้ยะเสียงลำไม้ไผ่กระทบแผ่นหลังดังจนนกบนต้นไม้แตกรัง ด้วยแรงจากบุรุษที่มีอยู่มากทำให้เหมยลี่ล้มคะมำด้วยความเจ็บและแสบไปทั้งหลังจนเหมือนกระดูกร้าว นางร้องไห้เสียใจกับการถูกลงโทษที่ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย แต่มิอาจทำการอันใดได้ ในเมื่อนางมิมีสิทธิ์ในเรือนนี้“การทำโทษของเจ้ายังไม่หมด เจ้ารีบไปตัดฟืนเสีย” บุรุษที่เป็นคนรับใช้เช่นกันพูดขึ้นใบหน้าเปียกปอนของหญิงอัปลักษณ์มองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย นางไม่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นแล้วจักให้รีบไปได้เยี่ยงไร“เหมยลี่มาข้าช่วย”ฮุ่ยชิวที่มายืนมุงอย่างไม่รู้เรื่องราว เมื่อเห็นสตรีผู้น่าสงสารถูกลงโทษเยี่ยงนี้จึงรีบมาประคอง“เจ้าจักไปช่วยนางทำไม” หญิงนางหนึ่งพูด พลางมองหญิงอัปลักษณ์ราวกับเป็นสิ่งชั่วร้าย“หากเจ้ามิมีน้ำใจก็หุบปากเสีย” ฮุ่ยชิวหันไปต
เสียงนกกระจิบร้องดังเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ หญิงอัปลักษณ์กับชายร่างกำยำนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ซึ่งไร้ผ้าปิดบังกายอย่างน่าอายเหมยลี่หายจากพิษไข้ขยับเปลือกตาปรือขึ้น แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของท่านแม่ทัพอยู่ตรงหน้า ทั้งยังถูกวงแขนโอบรัดเอวกิ่วของนางไว้ สติที่เลือนรางเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวพลันหน้าแดงระเรื่อและร้อนผ่าว เมื่อจดจำเรื่องราวเมื่อคืนได้อย่างชัดเจนร่างกายของนางยังระบมไม่หายท่านแม่ทัพไม่ถนอมน้ำใจกันเลยสักนิดถึงได้ทำให้ตัวนางมีแต่รอยจ้ำแดง เหมยลี่ขยับตัวอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้คนบนเตียงตื่นลืมตา แล้วรีบสวมเสื้อผ้าและคลุมศีรษะให้เรียบร้อยเพื่อหนีออกไปจากห้องให้เร็วที่สุดร่างอรชรวิ่งไปเปิดประตูทั้งสองฝั่ง แต่เมื่อบานประตูได้แง้มออกนางกลับพบท่านฮูหยินชิงชิงยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งทำให้นางตกใจจนตาเบิกโพลงเพี้ยะ! เพี้ยะ!เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านวลถึงสองข้าง หญิงอัปลักษณ์ถูกฮูหยินชิงชิงตบหน้าเสียเต็มแรงจนนางล้มลงกองพื้น ความเจ็บบนใบหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ดวงตาคู่นี้มีหยดน้ำตาไหลออกมา และกุมหน้าตัวเองไว้“เจ้ากล้าดียังไงถึงได้เข้ามาในห้องของบุตรชายข้า” ฮูหยินชี้หน้าด่าด้วยใ
ร่างอรชรนอนอยู่บนเตียงด้วยความทรมานจากพิษไข้ ดวงใบหน้าซีดของนางยังเต็มไปด้วยเหงื่อและยังคงละเมอเพ้อพบ นางรู้สึกถึงความร้อนจากกายซึ่งกำลังส่งผลให้คลั่นเนื้อคลั่นตัวอยู่ไม่หาย แต่ไม่นานมากนักไอร้อนที่แผ่กระจายออกมากลับถูกความเย็นชโลมกาย โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ฝันร้ายจากห้วงนิทราทำให้กลายเป็นฝันดีได้อย่างน่าประหลาด นางจักรับรู้หรือไม่ว่าท่านแม่ทัพกำลังเช็ดร่างที่มีแต่พิษไข้ โดยที่ปากบ่นอุบอิบไปด้วย สายตาคมมองสมบัติไร้ค่าที่นอนสบายอยู่บนเตียงของเขา แต่ถึงจักบ่นเพียงใดสายตาคมคู่นี้ก็ยังแอบโลมเลียร่างอรชรที่มีความงามเทียบเท่าผู้อื่นได้ มู่หยางได้เห็นผิวกายขาวสะอาดเรียบเนียนอย่างเต็มตาอีกหน จักบอกว่าเขาแอบล่วงเกินก็เป็นได้ บุรุษผู้นี้หลงใหลในรูปของสตรีอัปลักษณ์มากเสียจน เอื้อมมือที่จับแต่ดาบมาลูบผิวเนียนนุ่มอย่างแผ่วเบา เขาไม่มองใบหน้าอัปลักษณ์เลยด้วยซ้ำ ใครอยากมองให้เสียสายตากันเล่า “อะ อื้อ”คนหลับใหลส่งเสียงครวญแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อรู้สึกคล้ายกำลังมีผีเสื้อมาตอมกายให้จั๊กจี้และวูบวาบ นางรู้สึกหนาวจนตัวแทบสั่นสะท้านคล้ายกำลังเปลือยเป
สายลมเย็นพัดโชยยามราตรี หญิงอัปลักษณ์ได้ซุกกายอยู่ในโรงฟืน ก่อนหน้านั้นนางได้จัดระเบียบท่อนฟืนเพื่อแบ่งพื้นที่ว่างให้กายของนางได้พักพิง ร่างอรชรแม้จักได้ดื่มยาสมุนไพรจากฮุ่ยชิวไปแล้ว แต่จิตใจที่อ่อนแอยังไม่ได้รับการบรรเทาสักนิด กว่าจะผ่านวันแรกไปได้ช่างทรมานเสียจนดวงตามีหยดน้ำตาไหล แขนทั้งสองกอดตัวเองไว้ให้รู้สึกอุ่นขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถช่วยได้ นางไม่กล้าเผาฟืนจุดไฟเพราะความทรงจำเลวร้ายในเยาว์วัยทำให้หวาดกลัว นางยังจำได้ดีถึงความร้อนที่แผดเผาและสีของเปลวเพลิงอันน่ากลัว รอบกายเต็มไปด้วยสีแดงสาดโหมกระหน่ำ และไหม้ใบหน้าของนางจนดิ้นทุรนทุราย“ชะ...ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ ไม่นะ ข้าร้อน ร้อนไปหมดแล้ว” เหมยลี่ร้องละเมอทั้งยังหลับตา กายของนางแทบร้อนดั่งไฟเผา เหงื่อออกจนแตกพลั่ก แม้อากาศตอนนี้จะหนาวเหน็บเพียงไรก็ตามความทรมานจากพิษไข้ กำลังกัดกินนางไปถึงกระดูกทั้งปวดและทรมานหนักหนา หากยังขืนปล่อยไว้เช่นนี้นางคงได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณเป็นแน่ภายในห้องทำงานของมู่หยาง บุรุษร่างสูงสวมใส่ด้วยชุดแสนสบาย แต่ใบหน้าคมคายกลับเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก เหตุมิใช่เพราะงานที่กองตรงหน้า แต่กลับเ
ในพื้นที่ห่างไกลของแคว้นอัน สตรีผู้น้อยนามว่าฟู่ฟู่ได้เดินทางมาถึงวัดอย่างที่นางตั้งใจไว้ ร่างอรชรเดินลงจากเกวียนและมองไปเบื้องหน้าซึ่งเป็นเขตวัดอันแสนสงบร่มเย็น ด้วยอยู่เป็นเชิงภูเขาสูงจึงมีเหล่าพืชพรรณต้นไม้น้อยใหญ่ โดยเฉพาะไผ่ตรงที่อยู่เป็นกอและยืนต้นสูง“ให้ข้ารอรับกลับหรือไม่” บุรุษซึ่งพานางมาส่งเอ่ยถาม เขาเข้าใจว่านางคงจักแค่มาไหว้พระประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟู่ฟู่ส่ายหน้าและยิ้มให้จาง ๆ “ข้าจักมาบวช” พร้อมตอบเสียงเบาแต่ใจหนักแน่นยิ่งนัก นางเบื่อโลกแสนวุ่นวายเต็มไปด้วยการแย่งชิงอำนาจและมีคนต้องบาดเจ็บล้มตายจากสงครามมานับไม่ถ้วน นางอยากหลุดพ้นจากวิบากกรรมนี้สักที“เจ้าแน่ใจแล้วรึ การบวชมิใช่ผู้ใดจักมาพูดเล่น ๆ ได้” บุรุษตรงหน้ามองดูหญิงสาววัยละอ่อนที่มีความคิดสุดโต่งอย่างประหลาดใจ“ข้าคิดดีแล้ว ขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้าถึงที่นี่” เมื่อพูดจบนางจึงเดินขึ้นบันไดหมายขึ้นไปสักการะท่านเจ้าอาวาส“เดี๋ยวแม่นาง ช้าก่อน” ทว่าบุรุษผู้นี้ดันไม่ยอมให้นางจากไปอย่างง่ายดาย เขารีบวิ่งมายืนขวางหน้าไว้“ท่านมีอันใด?”“ข้ามิอยากให้เจ้าบวช”“ท่านมาขวางทางข้าด้วยเหตุอันใด ไม่กลัวบาปบุญเลยรึ”“ข้าแค่เสียดา
มู่หยางมองหน้าหญิงอัปลักษณ์ด้วยความสงสัย ทั้งที่เขาสั่งไม่ให้นางออกมาเพ่นพ่านมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ฟังคำกัน ร่างสูงใหญ่ขยับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่ตอนนี้เอาแต่ก้มหน้าก้มตา คิดว่าจะหลบความผิดของตัวเองได้เป็นความคิดที่ผิดมหัน“ตอบข้ามา!”ตุบ!สิ้นเสียงตะคอกเหมยลี่ได้สะดุ้งเฮือกด้วยความหวาดกลัวจนทำให้ถังน้ำหล่นลงพื้นและกลิ้งไปคนละทิศละทาง“ข้าตักน้ำมาใส่อ่างเท่านั้น มิได้มีเจตนาอื่น” เหมยลี่จึงตอบแต่โดยดี“ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเจ้า”“ข้ารู้ หากมิใช่คำของอู๋ท่งสั่งข้าคงไม่ย่างกรายเข้ามาให้ท่านหงุดหงิดใจ” หญิงอัปลักษณ์แหงนหน้าไปเผชิญสายตาคมที่แสนดุและเยือกเย็นยิ่งกว่าในฤดูเหมันต์“รีบไปให้พ้นหน้าข้าเสีย” มู่หยางได้ทีไล่ใช่ว่านางอยากยืนอยู่ในที่แห่งนี้กับอีกฝ่ายสองต่อสองเสียเมื่อไหร่ หญิงอัปลักษณ์จึงรีบเก็บถังน้ำมาแบกหามแล้วรีบเดินออกไปทันที ปล่อยให้บุรุษหน้าขรึมได้อยู่เพียงลำพังตามใจปรารถนาสายตาคมมองร่างอรชรเดินออกมาโดยที่คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย เขาแค่นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายดูแข็งแรงดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร“ถึกเกินคน ยิ่งกว่าวัวกระทิงเสียอีก”มู่หยางกำลังดูแคลนอีกฝ่าย เขาไม่นึกสนใจอ