“ข้าจะไปบวชอยู่ที่วัดหลินจิง” ฟู่ฟู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้นางจะอายุยังน้อยแต่ก็หนักแน่นเสียจนเหมยลี่มองดูนางพลันตกใจอยู่ไม่น้อย
“คุณหนูฟู่ฟู่แน่ใจแล้วรึ”
“แน่ใจ ข้าจะไปอยู่ที่นั่น อย่างน้อยก็ปลอดภัยสำหรับข้า”
“ถ้าอย่างนั้นเราทั้งสองต้องรีบหนีไปก่อนจะไม่ทันการ” เหมยลี่ลุกขึ้น
“เดี๋ยว หากไปเช่นนี้ต้องมีคนจับได้แน่” ฟู่ฟู่รั้งมือไว้
“จริงด้วย ข้านี่โง่เขลานัก” เหมยลี่ยิ้มให้เล็กน้อย พลางหลุบตามมองเสื้อผ้าตัวเองสลับกับของบุตรสาวแห่งแคว้นอัน หากต้องการหลบหนีจำเป็นต้องพรางตัว
“หากคุณหนูฟู่ฟู่ไม่ว่าอะไร ท่านลองสลับอาภรณ์พวกนี้กับข้าไหม?”
“ได้สิ”
เมื่อตกลงกันได้ ทั้งสองจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ซึ่งกันและกันจนดูแปลกตา คุณหนูฟู่ฟู่สวมใส่ชุดคนรับใช้ซึ่งเป็นผ้าเก่าสีซีดทั้งยังมีรอยขาดรอยปะจากการเย็บจนดูเป็นสตรีธรรมดา ส่วนเหมยลี่ที่สวมชุดสีชมพูด้วยผ้าที่ตัดอย่างดี ทำให้ดูดีอยู่ไม่น้อย หากใบหน้านี้ไม่ได้มีรอยแผลจนอัปลักษณ์นางย่อมเป็นสตรีที่งดงามดุจนางบนชั้นสวรรค์
ถึงจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่เหมยลี่จำเป็นต้องคลุมไว้ นั่นคือผ้าคลุมปิดบังใบหน้าของนางนั่นเอง แล้วมาจัดการเก็บเสื้อผ้าที่เหลือใส่ถุงย่ามให้เรียบร้อย
“ไปกันเถอะคุณหนู”
เหมยลี่เอ่ย พลางดึงมือสตรีผู้น้อยให้เดินหลบเลี่ยงไปตามทาง เรือนแห่งนี้มีผู้คนมากมายทั้งยังมีเหล่าทหารคอยเฝ้าเวรยามอยู่ไม่ห่าง ด้วยเพราะเจ้าแห่งแคว้นอันดันกลายเป็นเชลยจากการแพ้สงคราม
“คนมากเช่นนี้จะออกไปได้อย่างไร” ฟู่ฟู่มองดูสถานการณ์ข้างนอกพลันเปลี่ยนความคิด และมีสีหน้าเป็นกังวล นางพากันเดินและหลบอยู่มุมเสาเพื่อหาทางหนี แต่ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้จึงยากเกินปัญญา
เหมยลี่ใช้ความคิดโดยสายตากวาดไปมองสิ่งรอบกาย จนเจอเข้ากับนางรับใช้คนอื่นซึ่งหอบหิ้วผ้าใส่ถังตักน้ำเดินผ่านมาทางนี้พอดี
“ข้านึกออกแล้วคุณหนู” เหมยลี่พูดด้วยรอยยิ้ม รีบดึงมือนายหญิงเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนแล้วจัดการรื้อผ้าออกจากย่ามทั้งหมดมาใส่ในตะกร้าแทน
“เจี่ยเจียท่านคิดจะทำอะไร” ฟู่ฟู่ยืนมองด้วยความสงสัย
“ปกติแล้วเรือนแห่งนี้ต้องนำผ้าที่ถูกใช้แล้วไปซักยังท่าน้ำหลังเรือน ข้าว่าที่นั่นไม่มีใครสังเกตนักหรอก ย่อมมีทางหนีออกไปได้”
“แต่คุณหนูฟู่ฟู่ไม่มีทางเข้าไปในที่นั่น มันจะผิดสังเกตเกินไป”
“จริงด้วย” เหมยลี่ไม่ทันคิด นางลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้กำลังสมบทบาทเป็นคุณหนูฟู่ฟู่
“ถ้าอย่างนั้นเสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่คงต้องถอดออก แล้วให้เจ้าสิ่งนี้ใส่มันแทน” เหมยลี่ชี้ไปยังหมอนบนเตียง แม้นางจะโง่เขลาแต่ก็คิดแก้ปัญญาได้จากการที่นางเคยเล่นซ่อนหากับคุณหนูฟู่ฟู่มาตั้งแต่เด็ก
“เป็นความคิดที่ดียิ่งนัก มาข้าช่วย”
ทั้งสองช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมยลี่อีกหน ในครั้งนี้หญิงอัปลักษณ์กลับมาสวมใส่เสื้อผ้าสาวใช้ตามเคย และจัดเสื้อผ้าสวมไว้กับหมอน ก่อนห่มมันด้วยผ้าห่มผืนหนา
“เจี่ยเจียท่านเอาตราประจำตระกูลข้าไปด้วย” คุณหนูฟู่ฟู่ยื่นตราประจำตระกูลให้
“คุณหนูไม่เก็บไว้หรอกรึ”
“ไม่ได้ หากใครรู้ว่าเป็นข้า คงได้ถูกจับไปแต่งงานกับท่านแม่ทัพเป็นแน่ ข้าจึงอยากฝากท่านไว้”
“ข้าจะรับไว้”
เหมยลี่จับมาเหน็บไว้ข้างเอว ก่อนหิ้วตะกร้าใบใหญ่เดินออกไปพร้อมสาวใช้อีกคนที่ปลอมตัวหนีไปด้วยกัน
สองนางเดินย่างกายออกมาอย่างไม่มีพิรุธ ใบหน้าของทั้งสองถูกคลุมไว้จนเห็นแค่ดวงตา เดินผ่านผู้คนไปตามทางด้วยใจหวาดหวั่น
“เดี๋ยว พวกเจ้าจะไปที่ใด” ทหารนายหนึ่งพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาช่างดุดันจนคุณหนูฟู่ฟู่ต้องเดินไปหลบอยู่หลังเหมยลี่
“พวกข้าจะไปซักผ้า ท่านมีตาหามีแววไม่” เหมยลี่ต่อปากต่อคำ
“ซักผ้า แล้วทำไมต้องคลุมหน้า” ทหารนายนี้ไม่ยอมปล่อยทั้งสองไปง่าย ๆ
“นี่อย่างไรเล่า ท่านคงขยาดอยู่ไม่น้อยใช่รึไม่” เหมยลี่ดึงผ้าออกเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าแสนอัปลักษณ์ของนาง ครั้งทหารนายนี้ได้เห็นพลันมีสีหน้ายู่ยี่คล้ายรังเกียจและถอยหนีไปครึ่งก้าว
“พวกข้าสองคนไปซักผ้าได้รึยัง” สาวรับใช้พยายามพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ทั้งที่ในใจกลัวอยู่ไม่น้อย “ไปกันเถอะ” ก่อนสะกิดฟู่ฟู่ให้รีบเดินตามกันไป
สองนางเดินฝ่าผู้คนจนมาถึงท่าน้ำโดยมีเหล่าสาวรับใช้กำลังซักผ้า และอาบน้ำอยู่ตรงนี้
“คุณหนู” เหมยลี่ดึงข้อมือให้สตรีผู้น้อยหลบอยู่หลังพุ่มหญ้า
“เราจะให้ผู้ใดเห็นไม่ได้” สาวรับใช้พูดพร้อมเก็บผ้าในตะกร้าใส่ไว้ในย่ามตามเดิม
“เจี่ยเจียท่านรู้รึว่าจะหนีไปทางใด”
“คงต้องปีนกำแพง”
“แต่ตรงนั้นมีคนชุมนัก” ฟู่ฟู่มองไปยังกำแพงสูงซึ่งมีสาวรับใช้ยืนตากผ้าอยู่
“อีกทาง ทางนั้นต่างหากคุณหนู” เหมลลี่ชี้ไปยังทางที่รกร้าง
“จำได้รึไม่ เมื่อยังเด็กเราทั้งสองเคยแอบไปวิ่งเล่นกัน แล้วโดนโบยไปตั้งหลายครั้ง”
“ข้าจำได้แล้ว ที่ตรงนั้นมิมีผู้ใดเดินผ่านแน่ ๆ” ฟู่ฟู่ยิ้ม แล้วพากันวิ่งหลบไปยังทางรกร้างไร้ผู้คนทันที
เช้าวันต่อมาร่างอรชรเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาถูกวงแขนของชายอันเป็นที่รักสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ เมื่อคืนจางเหว่ยได้พิสูจน์แล้วว่าเขามิได้อ่อนหัดอย่างที่สตรีผู้น้อยดูถูกไว้ เขาทำให้ฟู่ฟู่หมดแรงจนยังมิลืมตา ชายเปลือยเปล่าบนเตียงจึงค่อย ๆ ขยับกาย พลางหอมไหล่มนอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม ต่อจากนี้จางเหว่ยต้องดูแลฟู่ฟู่ในฐานะภรรยาอันเป็นที่รักสมใจปรารถนา“อื้ม” เสียงครางเบา ๆ เอ่ย เมื่อถูกรบกวน ฟู่ฟู่ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อรับแสงเช้าวันใหม่ แต่พอจักขยับกายกลับรู้สึกเจ็บระบมพลันทำหน้าเหยเก“เจ็บมากรึไม่ ข้าควรถนอมเจ้ามากกว่านี้” จางเหว่ยได้พรากพรหมจรรย์ไปจากนาง ร่องรอยบนเตียงยังหลงเหลือไว้ เขามิควรกระทำกับนางรุนแรงเกินไปนัก แต่อารมณ์กำหนัดทำให้บุรุษผู้นี้ขาดความยับยั้งชั่งใจ“มิเป็นอันใดดอก” ฟู่ฟู่เหนียมอายพลันหลบสายตาสามีหมาด ๆ“หญิงอันเป็นที่รักของข้า เจ้าพักผ่อนเถิดข้าจักไปหาข้าวมาให้เจ้ากิน”จางเหว่ยดึงผ้าห่มคลุมกายนางไว้เช่นเคยพลางลูบศีรษะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินออกไปร่างสูงเดินเข้าไปในครัวก็พบกับมารดาซึ่งกำลังทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกวัน จางเหว่ยชั่งใจอยู่มิน้อยก
“ทหารทั้งหลายโปรดฟังข้า ที่พวกเราได้มาประจำการอยู่ในที่แห่งนี้ เพราะข่าวลือเรื่องก่อกบฏที่มีอยู่หนาหู จนระคายถึงเมืองหลวง ข้าแม่ทัพใหญ่นามว่ามู่หยางจึงขอสั่งการพวกเจ้าให้ผลัดเปลี่ยนกันตั้งเวรยาม และเร่งสร้างป้อมปราการชั่วคราวให้เสร็จโดยไว และแบ่งคนที่เหลือหากลุ่มก่อกบฏให้เจอโดยไว หากปราบได้สิ้นซากเร็วเมื่อใดฮ่องเต้จักตบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม”เฮ!สิ้นเสียงของท่านแม่ทัพผู้ทรงอำนาจ เหล่าพลทหารต่างพากันร้องเฮเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ก่อนตบเท้าแยกย้ายกันไปทำงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนมู่หยางซึ่งใส่ชุดทหารเต็มยศได้เดินขึงขังเข้ามายังกระโจมเพื่อประชุมวางกลยุทธ์ต่อเขามิรู้ว่าพวกก่อกบฏคือผู้ใดในดินแดนเขาเหลียงซานที่แยกเป็นเหล่าเป็นก๊ก คราวแรกตั้งใจจักปลอมตัวมาเป็นบุรุษธรรมดา แต่ทางการมิเห็นดีเห็นงามด้วย ยิ่งทำตัวประเจิดประเจ้อเช่นนี้พวกก่อการกบฏคงได้เตรียมตั้งรับและระวังตัวกันกวดขันมากกว่าเดิม ท่านแม่ทัพมิได้เกรงกลัวผู้ใดนัก เพียงแต่เขาอยากเสร็จงานราชการให้โดยไวจักได้รีบกลับไปเรือนตระกูลกู้เท่านั้นเอง“สีหน้าท่านแม่ทัพเคร่งเครียดยิ่งนัก” รองแม่ทัพฝ่ายซ้ายเห็นมู่หยางซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจ
เขาเหลียงซานดินแดนอันห่างไกลสตรีผู้น้อยได้มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ก็นานพอควร จากที่มิเคยหยิบจับทำงานบ้านนางก็เรียนรู้วิชาจากมารดาใบ้ของจางเหว่ยจนเป็นที่รักใคร่ และเหมือนเป็นหนึ่งในครอบครัวของจางเหว่ยไปซะแล้วฟู่ฟู่สวมชุดเก่าโทรม ๆ ที่ถูกย้อมสีจากเปลือกไม้ นางกำลังขะมักเขม้นหาจับปลาที่ธารน้ำไหลสูงเพียงเข่า โดยใช้ปลายไม้ไผ่ที่ถูกเหลาจนแหลมพุ่งใส่ปลาในน้ำ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่ได้ปลาสักทีจางเหว่ยเดินกลับมาจากการหาของป่าได้เข้ามาเห็นเข้า เขาจึงย่องเบาไม่ให้นางรู้ตัวแล้วแอบมองคนตั้งใจหาปลาด้วยสีหน้าจริงจังอย่างนึกเอ็นดูจ๋อม...“เจ้าปลาเอ๋ย โปรดเห็นใจข้าด้วย” ฟู่ฟู่ยกมืออ้อนวอน ก่อนหยิบไม้ในน้ำขึ้นมาจับปลาต่อ น้ำใสและไหลเย็นปลาตัวใหญ่ไหว้วนไปมาอย่างล่อตาล่อใจ แต่ด้วยการหักเหของแสง จึงทำให้เห็นเป็นภาพลวงตาฟู่ฟู่จึงคาดคะเนผิดเพี้ยนไป นางจึงจับปลาไม่ได้สักตัว “ให้ข้าช่วยเจ้าดีรึไม่” “ว้าย! ท่าน”เสียงของบุรุษแว่วมาคนกำลังตั้งใจไปที่ปลาตัวใหญ่จึงตกใจเมื่อจู่ ๆ ได้ยินเสียง ฟู่ฟู่หันไปมองและเสียหลักจนหงายหลังตกน้ำอย่างน่าอายต่อหน้าบุรุษจางเหว่ยไม
อากาศยามราตรีหนาวเหน็บเสียจนปวดกระดูก สองเท้าก้าวเดินไปตามทางโดยมีบุรุษรูปงามเดินข้างกาย แม้หญิงอัปลักษณ์จักมิอยากรับน้ำใจจากเซียวจ้าน แต่คนดื้อด้านก็ยังมิยอมปล่อยให้นางต้องเดินลำพังมิมีเสียงพูดใดเอ่ยออกมา มีเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงลมพัดคอยให้รู้สึกไม่หวาดกลัว เมื่อต้องเดินไปตามตรอกซอกซอยเปลี่ยว หากเป็นผู้อื่นเหมยลี่คงนึกหวั่นกว่านี้ แต่มิรู้ทำไมนางถึงได้ไว้ใจบุรุษรูปงามที่เพิ่งเคยเจอเพียงไม่กี่หนในที่สุดเซียวจ้านได้เดินนำนางมาจนถึงโรงหมอ ซึ่งยามนี้ประตูด้านหน้าได้ปิดสนิท คบเพลิงที่ตั้งเอาไว้ได้ดับจนมอดเหลือแต่ขี้เถ้า“เจ้ามาช้าไปเสียแล้ว” น้ำเสียงลุ่มลึกเอ่ยแผ่วเบาราวกระซิบ“ข้าต้องทำเช่นไร ที่ใดพอจักมียาให้ข้าได้บ้าง”“เรือนของข้าพอจักมี หากเจ้า...”“มิได้ ข้ามิไปเรือนของคุณชายเซียวจ้านเป็นอันขาด”เหมยลี่จ้องนัยน์ตาคู่เฉี่ยว ก่อนขยับถอยครึ่งก้าวอย่างระวังตัว ด้วยเพราะมิอาจให้ผู้ใดมาเดือดร้อนกับนาง อีกทั้งเซียวจ้านยังเป็นสหายรักของท่านแม่ทัพ หญิงซึ่งเป็นสมบัติอันไร้ค่าของมู่หยาง ยิ่งมิควรเข้าใกล้บุรุษผู้ใด โดยเฉพาะคุณชายรูปงามท่านนี้“ข้ามิรู้ว่าเจ้าเป็นอันใดแม่นาง แต่เรือนของข้ามี
“มาแล้วเจ้าค่ะ” อู๋ท่งเดินมาพร้อมนางรับใช้คนสนิทของต้าเหนิงเหมยลี่ที่นั่งอยู่บนพื้นพลันมองใบหน้านางผู้นี้ ทว่ากลับหลบสายตากันเสียดื้อ ๆ“บอกท่านฮูหยินไปเสียว่าเจ้าได้มอบยาขวดนี้ให้หญิงอัปลักษณ์รึไม่” อู๋ท่งพูดอีกหน น้ำเสียงคล้ายข่มขู่ก็มิปาน“ขะ...มิได้มอบยาขวดใดให้นางเลยเจ้าค่ะ” หญิงผู้นี้พูดติด ๆ ขัด ๆ พร้อมก้มหน้าหลบสายตาเหมยลี่ที่จ้องกันอยู่“มิจริง เจ้าเป็นคนมอบให้ข้ากับมือ ไปถามแม่นางต้าเหนิงดูก็ได้ นางเป็นคนยื่นให้เจ้านำมาให้ข้าเองแท้ ๆ”“เจ้านี่ยังหน้าด้านกุเรื่องขึ้นมาอีกนะ จับนางไปโบยเสีย” ฮูหยินชิงชิงชี้หน้า“ไม่นะ ท่านฮูหยินข้ามิได้ขโมยนะเจ้าคะ เหตุใดท่านมิถามเอาความจริงจากแม่นางต้าเหนิงด้วยเล่า” เหมยลี่พยายามเรียกร้องความยุติธรรมที่นางมิได้กระทำ“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเรียกร้องในเรือนข้า ต่อให้สะใภ้เอกของข้าบอกว่าเจ้ามิผิด แต่ข้ามิเชื่อดอกว่าหญิงอัปลักษณ์อย่างเจ้ามิใช่ขโมย”“ถึงหน้าตาของข้าจักอัปลักษณ์ แต่ข้ามิเคยทำเรื่องเช่นนี้” หยดน้ำตาไหลพรากมองสตรีสูงวัยอย่างขุ่นเคืองใจ“เจ้าจักบอกว่าเจ้าจิตใจสูงส่งงั้นรึ ฮ่า ๆ คนเยี่ยงเจ้าต่อให้บวชเป็นแม่ชีก็มิมีผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาดอก” อ
รอยแผลบนกายยังพอทุเลาลงไปได้บ้าง เหมยลี่ไม่มีเวลามานั่งรักษาตัวเองได้อีกต่อไปเหตุเพราะนางเป็นเพียงแค่ผู้รับใช้ของเรือนตระกูลกู้ที่ยามนี้ต่างต้องช่วยกันทำความสะอาดเรือนเป็นการใหญ่ หญิงอัปลักษณ์ได้งานขัดถูที่ห้องอาบน้ำและต้องหามถังน้ำมาใส่ในอ่างหินให้เต็ม ซึ่งนับว่าหนักเอาการสำหรับหญิงร่างอรชรที่ต้องทำมันเพียงผู้เดียวเสื้อผ้าเปียกปอนไปด้วยน้ำที่สาดกระเซ็นและเหงื่อไหลจาการทำงานหนัก ร่างกายที่มีบาดแผลต้องกัดฟันสู้เพื่ออยู่ในเรือนนี้ต่อไปให้ได้ ในเมื่อเลือกที่จะสมอ้างเป็นบุตรสาวจากแคว้นอันแล้วนี่คือชะตาที่นางต้องก้มหัวยอมรับมันตึก ตึกเสียงรองเท้าของสตรีสูงศักดิ์ย่างกรายเข้ามา ต้าเหนิงชูคอเดินหลังตรงพร้องปรายตามองหาหญิงอัปลักษณ์โดยกำลังคิดหาวิธีกลั่นแกล้งโดยที่นางมิต้องเสียแรงลงมือเอง“แม่นางต้าเหนิง ข้าจวนขัดเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เหมยลี่รีบลุกขึ้นมาก้มโค้งให้ นางคิดว่าสะใภ้เอกของตระกูลกู้ต้องการแช่น้ำในอ่างเป็นแน่“แผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” นางเสแสร้งแกล้งถาม พลันแปรเปลี่ยนสีหน้าดูคล้ายว่าห่วงใย“ดีขึ้นบ้างเจ้าค่ะ”“เอายาไปให้นาง” ต้าเหนิงผินหน้าเล็กน้อยพร้อมบอกให้นางรับใช้คนสนิทยื่นขวดยา