ส่งตัวไปเป็นคณิกา
กลางป่าทึบ นางถูกจับวางไว้บนแผ่นหินกว้างทั้งเย็นและชื้น เสื้อผ้าค่อย ๆ ถูกถอดออกทีละชิ้น เนื้อขาวอมชมพูนวลเนียนล่อสายตาโจรหื่นกระหาย จวบจนเหลือเพียงชั้นในที่ปิดทับกลีบงามอวบอูม ในขณะที่มันจะกระชากกางเกงผ้าผืนบางออกสายตาหื่นจัดกลับมองใบหน้านางและเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติบนซีกหน้าซ้ายเข้าพอดี
“เฮ้ย นะ... นั่น น่าขยะแขยง... จะ... เจ้าต้องพิษร้ายหรือ”
โจรป่าว่า และมองซีกหน้าดังกล่าว คราแรกไม่ทันสังเกตให้ดี แต่ยามนี้ เส้นเลือดสีดำขยายใหญ่ราวกับดอกเห็ดหลายดอก และมันคือ โลหิตทมิฬ!
“แต่เอาเถอะ หากไม่มองหน้าเจ้า ข้าคงยังชื่นชมเต้างามๆ นี้ และกลีบในร่มผ้าได้ มันคงรับแรงโยกจากแท่งหยกข้าเป็นอย่างดี” เมื่อเขาเอ่ยจบก็เตรียมกระชากกางเกงนางทิ้ง ทว่าเป็นตอนนั้นที่ศีรษะโจรป่าถูกฟันขาดกระเด็น!
เลือดบางส่วนสาดกระเซ็นอาบรดร่างของอวิ๋นมู่หลัน กลิ่นคาวเข้มข้มลอยคละคลุ้งอยู่เบื้องหน้า นางคลื่นเหียนอยากสำรอกแต่ทำสิ่งใดไม่ได้ ยามนี้ยังมีผ้าปิดตาอยู่และร่างกายอ่อนแรง แต่สิ่งที่คาดเดาได้คือมีชายผู้หนึ่งจับร่างนางเหวี่ยงขึ้นไปนั่งบนม้าโดยมีเขานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวคำใด นางได้ยินเพียงเสียงคำรามดุดันพร้อมกลิ่นกายบุรุษที่เต็มไปด้วยไอสังหารรุนแรง
ม้าออกวิ่งอย่างรวดเร็ว ซึ่งน้อยครั้งที่นางได้นั่งม้าเช่นนี้และไม่ได้รู้สึกปลอดภัยสักนิด กระทั่งผ่านไปนานสักครึ่งชั่วยาม นางจึงถูกจับโยนลงจากหลังม้าอย่างป่าเถื่อน ก่อนจะมีใครแบกนางเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง มันมีกลิ่นอับ ๆ ผสมกลิ่นกายบุรุษเข้มข้นเต็มไปหมด
เมื่อมีใครคนหนึ่งดึงผ้าปิดตานางออก ตอนนั้นอวิ๋นมู่หลันก็พบกับตาคมกริบของบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่ง ใจนางหล่นไปอยู่ปลายเท้า ดวงตาพยัคฆ์ดำสนิท ให้ความรู้สึกราวกับเหวลึกในขุมนรก!
เขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ทั้งผิวคล้ำแดด แม้จะดูสง่างามแต่กลับไม่น่าเข้าใกล้อย่างที่สุด ด้วยไม่ได้มีเพียงไอสังหารรุนแรงที่ไหลท่วมร่างกาย หากมันเจือความเกลียดชังที่นางมีให้เขา เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือ กวนเฉินหลาง!!
กระทั่งริมฝีปากบางซีดขยับไหวและเปล่งน้ำเสียงดุเข้มจัดซึ่งส่งผลให้อวิ๋นมู่หลันสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
“ตัวนางมีแต่สิ่งโสมมของโจรป่าพวกนั้น ข้าทนสูดดมไม่ได้จริง ๆ ล้างตัวให้สะอาด แล้วจับนางใส่ป้ายแขวนคอเสีย” เสียงทรงอำนาจสร้างความสนใจให้แก่ทหารหนุ่มหลายคน สตรีนางนี้แม่ทัพกวนช่วยมา และดูเหมือนจะเป็นผู้เดียวที่เหลือรอดชีวิตจากขบวนเจ้าสาวสกุลอวิ๋น เหตุใดกวนเฉินหลางจึงไม่คิดจะดูแลหรือเก็บตัวนางไว้
“เอ่อ จะดีหรือขอรับ อย่างไรนางก็คงเป็นคนของเจ้าเมืองซ่ง คือบำเหน็จที่รัชทายาทอยากให้เป็นดองกับสกุลกวน” หลิวตงทหารหนุ่มน้อยฝีมือดีเอ่ยถาม
แม่ทัพหนุ่มอยากขันนัก เขาไม่ต้องการสตรีจากสกุลใดทั้งสิ้น รัชทายาทเป็นคนเจ้าแผนการ ฝ่ายนั้นช่วงชิงสตรีที่เขารักไปเมื่อสองปีก่อน และพยายามเหลือเกินที่จะบีบบังคับผู้อื่นให้ส่งลูกสาวแต่งเข้าสกุลกวน และมันก็เป็นอีกครั้งที่ล้มเหลว จบลงด้วยด้วยทะเลเลือดซึ่งไหลนองอาบผืนดิน
กวนเฉินหลางมองไปยังนายทหารและคำรามออกมาหนึ่งหนก่อนเอ่ยว่า
“ข้าสั่งสิ่งใด เจ้ากล้าขัดรึ”
หลิวตงเก็บปากเงียบแล้วหันไปบอกคนงานหญิงให้พยุงร่างสตรีเคราะห์ร้ายไปล้างเนื้อล้างตัว แต่เป็นตอนนั้นที่อวิ๋นมู่หลันรวบรวมพลังของตนเพื่อเปล่งเสียงอย่างลำบาก
“อะ… อื้อ... ขะ… ข้า... มะ… ไม่” นางจะเอ่ยว่า ‘ให้ตายก็ไม่รับแขก’ แต่ยามนี้เสียงของนางมิอาจเรียบเรียงเป็นประโยค ทั้งหมดเกิดจากพิษที่กินเข้าไปซึ่งเป็นฝีมือของพี่รองอวิ๋นหยวนม่าน
“นางเป็นใบ้หรอกหรือ”
ผู้ที่เดินเข้ามาในกระโจมอีกคนคือ โจวจื่อเว่ย กุนซือหนุ่มผู้เป็นกำลังสำคัญของ ‘กองทัพอินทรีทองคำ’
“จงพามาให้ข้าดูใกล้ ๆ”
บ่าวหญิงสองคนลากตัวอวิ๋นมูหลันส่งให้โจวจื่อเว่ยและเขาพิศอย่างละเอียด สตรีผู้นี้ดวงตาฉายความฉลาดเฉลียว ผิดแต่เป็นใบ้ และใบหน้าซีกซ้ายคล้ายต้องพิษบางอย่าง ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ กระนั้นก็ดูอัปลักษณ์ไม่ชวนให้บุรุษพิศวาส อาจถึงขึ้นอัปมงคลหากใครคิดอุ่นเตียงกับนาง
“สตรีนางนี้เดินทางมากับขบวนเจ้าสาว และยังพ้นเงื้อมมือโจรป่ามาได้ แม่ทัพกวนเหตุใดไม่พิจารณาบ้าง การส่งนางไปรับใช้ทหารที่กระโจมด้านหลัง เกรงว่าเจ้าเมืองซ่งทราบเข้าคงเขียนหนังสือต่อว่าท่านยืดยาวให้ต้องวุ่นวายใจในภายหลัง”
กวนเฉินหลางส่ายหน้าอย่างระอา ตอนแรกเขาเห็นเรือนร่างบอบบางสวมอาภรณ์น้อยชิ้นซึ่งโดดเด่นสะดุดตา ด้วยผิวขาวอมชมพู และมีโจรป่าอุ้มนางแล้วพยายามพาหนี แต่เมื่อคนพวกนี้มาในขบวนเจ้าสาวเพื่อแต่งเข้าสกุลกวน ใครก็อย่าบังอาจฉกชิงไปได้ง่าย ๆ ในครานั้นเขาคิดว่านางคงเป็นสาวใช้คนสำคัญของสกุลอวิ๋นจึงยื่นมือเข้าช่วย แต่เมื่อพิศใบหน้าก็นึกสมเพชทั้งยังไม่ส่งเสียงร้องใด ๆ ให้ได้ยิน เขาจึงไม่เห็นว่านางจะมีประโยชน์ต่อเขาอีก กองทัพนี้หากผู้ใดอยากมีอาหารกินและเสื้อผ้านุ่งห่มย่อมต้องออกแรง ซึ่งสตรีที่ดูอ้อนแอ้นร่างกายทำงานครัวไม่ได้ นางคงเหลืองานเดียวที่เหมาะสมคือนำป้ายแขวนคอแล้วส่งเข้ากระโจมด้านหลังค่ายทหารเพื่อรับแขก
“ข้าดูแล้วทั้งอัปลักษณ์และบ้าใบ้ กระนั้นแต่นางยังบริสุทธิ์ไร้ราคี ดังนั้นงานสบาย ๆ ที่กระโจมด้านหลังคงเหมาะสมกับนางที่สุด”
โจวจื่อเว่ยถอนหายใจหนัก ๆ ก่อนส่งเสียงเข้มกว่าปกติ
“กวนเฉินหลาง! ท่านอำมหิตเกินไปแล้ว”
“ทุกคนในค่ายนี้หากไม่ทำงานจงไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย” แม่ทัพหนุ่มส่งเสียงเข้มใส่กุนซือโจว
โจวจื่อเว่ยที่ปกติไม่เคยเดือดดาลต่อหน้าแม่ทัพหนุ่มกลับแสดงอารมณ์รุนแรง อาจเป็นเพราะเขาเห็นแม่นางคนนี้น่าสงสาร ทั้งนางยังมากับขบวนเจ้าสาวสกุลอวิ๋น ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับการดูแลที่ดีจากเจ้าเมืองซ่ง ซึ่งก็คืออวิ๋นหาน ในตอนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางไกลเพื่อไปสอบจอหงวนที่เมืองหลวง
“ข้าจะรับนางไว้ช่วยงานในกระโจมส่วนตัว หวังว่าท่านแม่ทัพคงไม่ขัดข้อง”
กวนเฉินหลางหันมาจ้องโจวจื่อเว่ยเขม็ง คำพูดดังกล่าวของกุนซือ หนุ่มหนักแน่นเจือด้วยการต่อต้านเขาอย่างแจ้งชัด
“ฮึ ๆ ๆ ข้าเพิ่งรู้ว่ากุนซือโจวชอบอุ่นเตียงกับสตรีวิปลาส เอาเถอะ อย่างน้อยเวลาพวกเจ้ามีอะไรกันมันคงไม่ส่งเสียงดังรบกวนการหลับนอนของข้า”
โจวจื่อเว่ยส่ายหน้าช้า ๆ ซึ่งที่อีกฝ่ายกล่าวนับว่าเป็นการผ่อนปรนในเรื่องนี้ของกวนเฉินหลางแล้ว
ทว่ายามนี้ จู่ ๆ อวิ๋นมู่หลันกลับแสดงความโกรธแค้น เมื่อครู่หากแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ปล่อยให้นางตายกลางป่าคงดีกว่าจับตัวมาในค่ายทหาร ยามนั้นคำพูดของพี่รองพลันย้อนเข้ามาในหัว
“น้องหลัน จงขึ้นเกี้ยวไปกับพี่ หลังจากนั้นก็แล้วแต่วาสนาของเจ้าว่าจะตายอยู่กลางป่าให้อีกาจิกกินซากศพ หรือเข้าไปตกนรกและตายทั้งเป็นในฐานะอนุ ไม่ใช่สิ เป็นสาวใช้ข้างห้องของแม่ทัพกวนจึงจะเหมาะสมกว่า!”
ทว่าตอนนี้ยังไม่ทันได้เข้าไปในจวนสกุลกวนด้วยซ้ำ นางต้องเจอเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ กวนเฉินหลาง... เขาคือชายที่ไม่ควรอยู่ใกล้อย่างที่สุด ได้สูดอากาศร่วมกับเขาในกระโจมนี้นางก็แทบกระอักเลือดตาย!
ยามนั้นอวิ๋นมู่หลันรับรู้ได้ว่าเหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพราะกวนเฉินหลางต้องการสตรีจากสกุลอวิ๋น เขาคือปีศาจร้ายที่พรากความสุขไปจากชีวิตนาง
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวิ๋นมู่หลันจึงพุ่งเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ ถึงต้องตายนางก็จะฆ่าเขาให้จงได้!
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย