น้ำหวานอันบริสุทธิ์
เมื่อไร้อาวุธนางจึงทำเรื่องขาดสติด้วยการกัดที่มือของเขา ยามนั้นความเดือดดาลมีมากล้นจึงคิดอย่างขลาดเขลาว่าอย่างน้อยพิษที่อยู่ในร่างกายคงแทรกซึ่งเข้าสู่ร่างกายแม่ทัพหนุ่ม แทนที่เขาจะห้ามนางหรือป้องกันอันตรายจากอวิ๋นมู่หลัน ฝ่ามือใหญ่ ๆ กลับถูกนางคว้าไปโดยง่าย แล้วฝังคมเขี้ยวและกัดจนเลือดไหลอาบ
อวิ๋นมู่หลันตกใจการกระทำของตนมิน้อย นางทำเรื่องป่าเถื่อนอันบ้าคลั่ง สิ่งนี้อาจทำให้นางหัวหลุดจากบ่า
ยามนั้นกลิ่นคาวอบอวลในโพรงปาก และนางรู้ว่าเขาเจ็บ แต่เหตุใดนอกจากเสียงคำรามต่ำ ๆ เขากลับไม่ทำสิ่งใดอีกเลย
กุนซือหนุ่มเห็นภาพดังกล่าว เข้าใจว่าแม่ทัพกวนกำลังเดือดดาลจัด แต่เมื่อเขาขอสตรีนางนี้ให้ไปรับใช้ที่กระโจมส่วนตัว กวนเฉินหลางจึงได้ยั้งมือไม่ผลีผลามทำเรื่องรุนแรง
“แม่นาง... ปล่อยมือท่านแม่ทัพก่อน!”
และเป็นอวิ๋นมู่หลันที่ถูกดึงร่างออกจากกวนเฉินหลาง ยามนั้นเลือดเต็มปากนาง ท่าทางจึงเหมือนหมาบ้าชวนให้น่าขนลุก
“นางวิปลาสอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด หากเจ้าไม่คิดล่ามโซ่หรือมัดมือมัดเท้านางไว้ให้ดี ต่อจากนี้หากข้าได้พบหน้า อย่าได้หาว่าไม่เตือน ถึงไม่นิยมทำร้ายผู้อ่อนแอแต่พวกมีนิสัยลอบกัดหรือเลี้ยงไม่เชื่อง ข้าจะไม่ละเว้นชีวิต!”
“แม่ทัพกวน นางคงหวาดกลัวและมีอาการประสาทหลอน เหตุ-การณ์ครั้งนี้ข้ารับผิดชอบแทนนางก็แล้วกัน”
กวนเฉินหลางหัวเราะเสียงห้าวเข้ม โจวจื่อเว่ยคงเสียสติไปแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นจะรับหน้าแทนสตรีอัปลักษณ์ และบ้าใบ้เช่นนี้หรือ
“หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันข้าคงทูลฮ่องเต้ ขอเปลี่ยนกุนซือใหม่ หาคนที่ไม่หลงมัวเมาสตรีมาช่วยงานแทนเจ้าในกองทัพอินทรีทองคำ”
โจวจื่อเว่ยไม่คาดคิดว่าคำพูดเช่นนี้จะหลุดจากปากอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่พาอวิ๋นมู่หลันจากไปเงียบ ๆ
ภายในกระโจมส่วนตัวของกุนซือหนุ่มมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเทียนหอมและหญ้าป่า พลอยให้อวิ๋นมู่หลันลดความตึงเครียดหลายส่วน เป็นตอนนั้นที่คนรูปร่างผอมสูงส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ให้นาง พร้อมสั่งบ่าวหญิงพาตัวอวิ๋นมู่หลันไปอาบน้ำเสีย
ด้านหลังกระโจมมีอ่างไม้เตรียมน้ำอุ่นไว้แล้ว พอนางไปถึงบ่าวรับใช้เป็นหญิงรูปร่างหนาและใบหน้าบูดบึ้งก็มองมาที่อวิ๋นมู่หลัน
“ลงไป หรือต้องให้ข้าขัดเนื้อขัดตัวให้”
หญิงสาวไม่คิดต่อปากต่อคำกับผู้ใด นางสมควรเงียบและทำตัวเป็นบ้าใบ้เช่นนั้นคงดีที่สุด
เมื่อลับสายตาผู้คน อวิ๋นมู่หลันก็สำรวจร่างกายของตนช้าๆ นับว่าสวรรค์ยังเมตตาให้นางยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในเพียงไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้า มันช่างบัดซบสิ้นดี นางจำได้ว่าขณะที่ขี่ม้ามากับกวนเฉิงหลาง นางเผลอซุกซบอกแกร่ง ๆ ของอีกฝ่าย ด้วยเสื้อผ้านางขาดวิ่น จึงหนาวสะบั้นไปทั้งร่าง และเขาถอดผ้าคลุมผืนใหญ่ของตนห่อร่างนางไว้
“อย่าได้คิดล่อลวงข้า ฐานะของเจ้าย่อมไม่สมควร”
ได้ยินเสียงดุเข้มชัดเจนเช่นนั้น อวิ๋นมู่หลันพลันตัวแข็งทื่อ เขาหยามศักดิ์ศรีนางถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดถึงยื่นมือช่วยเหลือ หรือเพียงต้อง การกลั่นแกล้ง เขาคงเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นของเล่นเท่านั้น!
ขณะที่นางชำระร่างกาย มือของนางก็ลูบไล้เนื้อตัว จู่ ๆ พลันเกิดความวาบหวามเมื่อในหัวได้เห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของกวนเฉินหลางยามที่ข่มกลั้นความเจ็บปวด
เสียงคำรามต่ำ ๆ ราวกับสัตว์ป่า ดวงตาดุเข้มที่จ้องมองนางอย่างไม่แยแส และรอยยิ้มเยือกเย็นนั้น เขาทำให้นางทั้งครั่นคร้ามใจทั้งเกิดความรู้สึกซาบซ่านอย่างประหลาด
เมื่อนางกัดมือเขาจนเลือดอาบ กวนเฉินหลางก็เพียงแยกเขี้ยวและคำรามเสียงต่ำ ๆ เหตุใดภาพดังกล่าวถึงกระตุ้นให้นางมีความรู้สึกสยิวใจ
มือเรียวเลื่อนลงไปเบื้องล่างและเผลอไผลสัมผัสกลีบงามของตน นางละอายใจยิ่งนัก ทว่าขณะเดียวกันที่คิดถึงใบหน้าของกวนเฉินหลางนางกลับปรารถนาให้เขากระทำสิ่งที่ป่าเถื่อนกับตน
นิ้วสวยสัมผัสติ่งเนื้อนิ่ม นางคลึงเย้าเล่นไปมา ส่วนอีกมือนวดเฟ้นถันสวยของตน อวิ๋นมู่หลันต้องการ ยามนี้นางต้องการแม่ทัพปีศาจผู้นั้น
มือข้างที่คลึงเคล้นติ่งเนื้องามสร้างความซ่านใจรุนแรง นางจึงออกแรงหนักขึ้นรุนแรงอย่างหญิงใจร่าน ความรู้สึกดังกล่าวน่ากลัวเหลือเกิน หรือเป็นเพราะนางได้กลืนเลือดชั่วของเขาลงท้อง
และเมื่อเวลาผ่านไปหลายอึดใจสิ่งที่เกาะพราวบนนิ้วเรียวสวยกลับเป็นน้ำใส ๆ ที่มีกลิ่นหอมและรสชาติละมุนลิ้น
กระทั่งอาบน้ำเรียบร้อยนางจึงสวมเสื้อผ้าที่โจวจื่อเว่ยมอบไว้ให้ก่อนหน้านี้ ในขณะนั้นนางรู้สึกกระวนกระวาย ด้วยไม่แน่ใจว่าความต้องการของกุนซือผู้นี้คือสิ่งใด ถึงเขาจะช่วยเหลือนางไว้จากเงื้อมมือปีศาจร้ายกวนเฉินหลาง แล้วนางจำเป็นต้องพลีกายให้เขาหรือไม่
เมื่อเข้าไปอยู่ในกระโจมที่จัดแบ่งเป็นห้องหนังสือเล็ก ๆ เสียงขรึมแต่เจือด้วยความเมตตาก็ดังขึ้น
“เข้ามาใกล้ ๆ ข้า” เขาเอ่ยและทำภาษามือ ทว่านางไม่ได้เป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด เพียงแต่สาเหตุมาจากได้รับพิษ ฉะนั้นย่อมหาได้เข้าใจสิ่งที่เขาสื่อสาร
นางยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น ก้าวขาไม่ออก สุดท้ายบุรุษทุกคนย่อมต้องการเรื่องอย่างว่า และถ้าหากโจวจื่อเว่ยปรารถนาร่างกายนี้ นางคงยอมตายดีกว่าตกเป็นของคนที่นางไม่รัก!
“ได้ยินสิ่งที่ข้าเอ่ยหรือไม่”
นางไม่อยากทำให้เขาเสียอารมณ์จึงก้าวไปหาและยืนอยู่อย่างสงบ
“อ่านภาษามือไม่ได้ แต่ฟังที่ข้าเอ่ยเข้าใจ แสดงว่าข้ามองไม่ผิด เจ้าเพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้น”
เมื่อได้ยินโจวจื่อเว่ยกล่าวหัวใจของหญิงสาวก็เหมือนหล่นไปอยู่ตรงปลายเท้า
“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร”
เขาถามและยื่นกระดาษและพู่กันให้อวิ๋นมู่หลัน แต่หญิงสาวทำได้เพียงยืนนิ่ง ๆ พร้อมเก็บความตื่นตระหนกอย่างที่สุด
“ข้ารู้จักกับเจ้าเมืองซ่ง ใต้เท้าอวิ๋นมีบุตรสาวเพียงคนเดียวคือเสี่ยวม่าน แต่ตัวเจ้าข้าไม่เคยพบและไม่เคยได้ยินใต้เท้าอวิ๋นเอ่ยถึงมาก่อน”
โจวจื่อเว่ยสมกับเป็นกุนซือผู้รอบรู้ ทว่าอวิ๋นหานก็ไม่ได้เอ่ยถึงลูกสาวที่เกิดจากอนุคนนี้ สาเหตุคือมารดาอวิ๋นมู่หลันเป็นเพียงหญิงในคณะละครแสดงข้างถนน ทั้งคู่ได้เสียกันในคืนที่ใต้เท้าหานไปเชื่อมสัมพันธ์กับต่างเมือง และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกสาวคนที่หกมาก่อน กระทั่งผ่านไปหลายปี อวิ๋นมู่หลันถือจดหมายฉบับหนึ่งของมารดาเพื่อไปขอพบกับอวิ๋นหาน
ดังนั้นหญิงสาวผู้นี้หากกล่าวไปฐานะยังเทียบไม่ได้เลยกับลูกของอนุหรือลูกบ่าวในจวนท่านเจ้าเมือง
แต่อวิ๋นหานเป็นคนมีจิตใจเมตตา เขารับนางไว้พร้อมดูแลอย่างดี และฮูหยินใหญ่เป็นคนที่เอ็นดูผู้อื่นเสมอ ดังนั้นอวิ๋นมู่หลันจึงไม่ได้มีชะตาชีวิตที่น่าเวทนาในจวนท่านเจ้าเมือง ผิดแต่นางกลับถูกพี่รองคอยกลั่นแกล้งเสมอ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ถือว่าเป็นเคราะห์กรรมนาง
“ไร้ชื่อไร้นาม เยี่ยงนั้นหรือ”
โจวจื่อเว่ยเอ่ยแล้วพิศสตรีที่ยืนก้มหน้านิ่ง ๆ ราวกับแสร้งทำตัวเป็นอากาศธาตุ
“ข้าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าเมืองซ่ง และส่งตัวเจ้ากลับดีหรือ ไม่!”
อวิ๋นมู่หลันได้ยินแล้วจึงส่ายหน้าเร็วแรง หากนางกลับจวนยามนี้ เกรงว่าอาจมีภัยต่อบิดาและคนอื่น ซ้ำร้ายนางรู้เห็นหลายสิ่งพี่รองกับชายชั่วหลวนคุนวางแผนทำเรื่องร้ายแรงไว้ ไฉนพวกเขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตรอด
ชดใช้ด้วยชีวิต! “เอาละ... อย่างที่แม่ทัพกวนกล่าว หากอยากมีชีวิตอยู่ในค่ายนี้เจ้าต้องทำงาน และหญิงใบ้เช่นเจ้า ทำสิ่งใดได้บ้าง” หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนแสร้งทำมือทำไม้บอกกับอีกฝ่าย “ฝนหมึกรึ และชงชา และ... ปรุงอาหาร” การทำมือเพื่อสื่อสารของนางไม่ได้เรื่อง แต่โจวจื่อเว่ยรอบรู้ทั้งยังเปี่ยมด้วยทักษะ เมื่อเขามองสิ่งใดย่อมตีความได้อย่างถูกต้องถึงเจ็ดส่วน เข้าวันที่สามแล้วที่อวิ๋นมู่หลันอยู่รับใช้โจวจื่อเว่ย อีกฝ่ายเป็นคนเรียบง่ายไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ แม้แต่เสื้อผ้าเขานางก็ไม่ได้แตะต้อง การใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายจึงเหมือนอยู่ไปวัน ๆ ทว่าด้วยเป็นคนชอบเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อวิ๋นมู่หลันจึงเข้าไปขลุกในโรงครัวที่ปรุงอาหารของเหล่าแม่ทัพและสำหรับโจวจื่อเว่ย “นางใบ้มีลิ้นที่ดีเยี่ยมและยังแกะสลักผักได้ดี การใช้มีดของนางยิ่งน่าอัศจรรย์ มีดเรียวเล็กเพียงนั้นแต่เหตุใดหั่นผักได้ละเอียดนัก” “ดูนางทำหน้าสิ คงคิดว่าเราชม” คนงานบางคนไม่ชอบขี้หน้าหญิงสาว เพราะถึงจะมีความอัปลักษณ์ให้เห็นชัดเจน แต่ดวงตากลับหวานซึ้ง จมูกเชิด ริ
ติดกับดัก ธงของกองทัพอินทรีทองคำโบกสะบัดอยู่บนเนินเขาสูง เบื้องล่างคือเหล่าเชลยศึกนับร้อยชีวิต ทั้งหมดเป็นพวกที่ต้องโทษประหารและเป็นชาวหนานหยาง เนื่องจากมีความผิดร้ายแรงหรือกำลังป่วยด้วยโรคร้ายไร้ทางรักษา อีกทั้งพวกเขาไม่ยินยอมใช้แรงงานสร้างกำแพงเมืองให้แคว้นต้าเหอหรือเดินทางไปปลูกข้าวทำการเกษตรเพื่อส่งให้กองทัพ ดังนั้นโทษที่มีคือความตายเท่านั้น เหนี่ยวซีกังซึ่งอยู่ในวัยยี่สิบห้าปี เขาเป็นรองแม่ทัพที่ได้รับคำสั่งจากรัชทายาทนามว่า หรงถังหวู่ ให้กำจัดเชลยพวกนี้เสีย แต่รองแม่ทัพเหนี่ยวเป็นคนที่มีจิตใจอำมหิต ทั้งยังมีรัชทายาทถือหาง ดังนั้นจึงมักทำเรื่องชั่วช้าเกินมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงที่กวนเฉินหลางไม่อยู่ในค่ายทหาร ดวงตาเจ้าเล่ห์ของเหนี่ยวซีกังมองไปพื้นที่เบื้องล่าง เชลยหลายคนมีท่าทางตื่นกลัว ทว่าในกลุ่มนั้นยังมีคนที่เขาอยากกำจัดให้ตายในทันที ทว่ามันกลับหนังเหนียวและยังมีฝีมือ ดังนั้นการให้มันได้เห็นพวกพ้องตัวเองต้องตายทีละคน ด้วยการฆ่าฟันกันเองช่างเป็นเรื่องสาแก่ใจเขา เหนี่ยวซีกังมองบุรุษร่างสูงโปร่ง อีกฝ่ายคือองค์ชายไร้แผ่นดินผู้มีนามว่า เมิ
หนีคนชั่วแต่ไม่พ้นมือปีศาจ ยามนี้นางเข้าใจแล้วว่ามีคนเห็นชีวิตผู้อื่นเป็นของเล่น ทั้งลูกธนู ทั้งสุนัขดุร้าย กำลังไล่ล่าหมายเอาชีวิตพวกเขา หญิงสาวไม่รอช้า นางสืบเท้าไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมาย กระทั่งมีเด็กสาวคนหนึ่งยื่นมือมาจับข้อมือนางหมับแล้วฉุดให้ออกวิ่งตาม อวิ๋นมู่หลันหันไปมองอีกฝ่ายเห็นว่าซีกหน้าของนางข้างหนึ่งมีแผลลึก ซึ่งอาจเกิดจากของมีคม บาดแผลเช่นนี้น่ากลัวและชวนให้ขนลุก “ปะ… ไป... อย่าอยู่ที่นี่ พวกมันจะฆ่าเราทุกคน” ‘ตะ… แต่พวกเขาเป็นทหาร เหตุใดถึงทำกับผู้อื่นเช่นนั้น!’ อวิ๋นมู่หลันถาม แต่เสียงนางไม่อาจสื่อความหมายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เด็กสาวไม่สนใจฟัง เร่งฉุดให้อวิ๋นมู่หลันไปหลบหลังหินก้อนใหญ่ กระทั่งพวกนางหายใจหายคอสะดวกจึงเอ่ยว่า “หาก ‘หนานหยาง’ ยังไม่ล่มสลาย พวกข้าคงไม่ต้องพบความบัดซบเช่นนี้ เมื่อวานน้องสาวข้าถูกชาวต้าเหอข่มเหงจนเสียชีวิต นางคิดโง่ ๆ ที่จะรับใช้ในค่ายทหาร แต่กลับถูกจับใส่ป้ายแขวนคอเพื่อให้ทหารเลวระบายความใคร่ พวกมันตั้งสิบสี่คนรุมโทรมนางจนถึงแก่ชีวิต!” อวิ๋นมู่หลันตัวสั
เจ้าไม่เคยกอดบุรุษหรือ! เมื่อกวนเฉินหลางกลับมาที่ค่ายทหาร เขามีความคิดจะสั่งทหารจับตัวรองแม่ทัพเหนี่ยวไปโบยให้เนื้อแตก ทว่าอีกฝ่ายมีคำสั่งของรัชทายาทอยู่ในมือ อีกทั้งเหล่าขุนนางหลายคนลงนามเห็นชอบให้จัดการข้าศึกเหล่านั้น เขาจึงได้แต่ผ่อนปรน จากนั้นก็ทำในสิ่งที่ตนมีอำนาจ นั่นก็คือสั่งให้ตามจับเชลยกลับคืนแล้วส่งตัวไปใช้แรงงาน อย่างน้อยพวกเขาไม่ต้องรับโทษตาย ทั้งยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิตต่อไป ที่สำคัญในกลุ่มของเชลยที่จับตัวได้มีบุคคลที่เขาต้องการตัวนั่นก็คือเมิ่งถู ซึ่งมีศักดิ์เป็นองค์ชายของแผ่นดินซึ่งล่มสลายลงไปแล้ว หนานหยาง และพอเขารู้ว่าเชลยถูกไล่ต้อนเข้าไปในค่ายกลชายหนุ่มก็เดือดดาล “ไม่ใช่เพียงแค่คนจากหนานหยาง ยังมีสตรีแซ่อวิ๋นด้วย” โจวจื่อเว่ยร้อนใจ พอได้พบหน้ากวนเฉินหลางจึงแจ้งข่าวร้ายทันที “ฮึ นางเป็นคนของเจ้า สาวใช้ห้องข้างมิใช่หรือ!” แม่ทัพกวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขายกนางให้อีกฝ่ายทั้งที่ใจไม่เห็นด้วยสักนิด “โถ พี่กวน...” เมื่อต้องการให้อีกฝ่ายช่วยเหลือโจวจื่อเว่ยมักเรียกกวนเฉินหลางเช่นนั้น อย่างไรค
ป้อนน้ำหวานซ่านทรวง บนต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านออกไปไกลและเชื่อมต่อกับต้นไม้อื่น ๆ ด้านบนนี้ให้ความร่มรื่น ทั้งเป็นเกาะกำบังที่ดีเนื่องจากอยู่ในช่วงเวลากลางคืนทั้งยังมีสัตว์กินเนื้อและแมลงหลายชนิดอยู่ด้านล่าง กวนเฉินหลางจึงเลือกพักอยู่บนนี้ “หากไม่พลัดตกลงไป เจ้าคงมีชีวิตรอดได้อีกหนึ่งคืน” อวิ๋นมู่หลันถลึงตาใส่เขา ทั้งที่อยากสงบเสงี่ยมไม่คิดกวนใจกวนเฉินหลาง แต่เขาเป็นคนปากร้าย พูดจาดี ๆ กับผู้อื่นไม่เป็น ‘ข้าดูแลตัวเองได้ หาใช่สตรีอ่อนแออย่างที่ท่านคิด!’ “ประเสริฐ เช่นนี้ข้าควรส่งเสริมเจ้าให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ปรับสมดุลในร่างกาย ยามนั้นเหงื่อซึมบนหน้าผาก การหายใจก็ควบคุมลำบากกว่าปกติ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อเข้ามาในค่ายกลเขาต้องรับมือหลายชีวิต หนึ่งในนั้นคือเมิ่งถู อีกฝ่ายแสร้งป่วยไข้ หลังจากเขาใช้ตาข่ายสุนัขดักจับตัวแล้วส่งขังคุกในค่ายทหาร แต่เหนี่ยวซีกังซึ่งประมาทและบ้าอำนาจคิดอวดบารมีของตน จึงปล่อยเมิ่งถูกับเชลยนับร้อยชีวิต ก่อนไล่ต้อนฝ่ายนั้นด้วยการยิงธนูเพื่อให้เข้ามาในพื้นที่อันตรายนี้ “ข้าทำทั้ง
แนบเนื้อผสานใจ อวิ๋นมู่หลันนึกว่าตนฝันไป เมื่อลืมตาตื่นนางก็รู้ว่ากำลังนอนซุกซบร่างกายอีกฝ่าย ที่เรียกว่าเกือบจะเปลือยเปล่านางตกเป็นของเขาแล้ว!?!... เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร! เมื่อแสงตะวันแรกโผล่พ้นขอบฟ้าอาการไข้ของชายหนุ่มก็เหมือนจะลดลง สีหน้าเขาแต้มสีเลือด ไม่ดูซีดจัด ดวงตาไม่ได้เจือความน่าหวาดหวั่นเหมือนกลางดึก ทว่าสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องก้มหน้าต่ำคือกึ่งกลางลำตัวเขา แท่งหยกใหญ่โตที่กราดเกรี้ยวหนักเมื่อคืนกลับตั้งผงาด ถึงจะมีผ้าปิดไว้ ทว่าภาพดังกล่าวชวนให้นางครั่นคร้ามใจ นางบอกตนเองว่าอย่าอยู่ใกล้เขาให้มาก มิเช่นนั้นเรื่องน่าละอายอาจเกิดขึ้นอีก เสียงครางกระเส่า เสียงหอบหายใจหนักหน่วง ซึ่งเป็นจังหวะแสนรัญจวนยังดังย้ำย้อนในหัว และแรงกระแทกพร้อมความเข้มข้นจากเรือนกายสูงใหญ่ที่แทรกเข้าสู่ความนุ่มนิ่มอันชุ่มชื่นในเนื้อสาว มันคือสิ่งที่อวิ๋นมู่หลันยังสับสน ร่างกายนางตอบรับเขาทุกหยาดหยด! “เจ้าบีบและรัดข้าแน่นกว่าสตรีใด ๆ ในใต้หล้านี้” ถ้อยคำของเขาแฝงความนัยเยี่ยงไร นางไม่ใช่คนปัญญาทึบ ทว่าเมื่อได้ยินกลับ
หลักฐานมัดตัว! กวนเฉินหลางรู้ว่าหญิงใบ้หิวและสิ่งที่เขาหามาคือดอกไม้กินได้และผลไม้ลูกเล็กสีแดงและม่วงเข้มสดรสหวานอมเปรี้ยว (เบอร์รี่) เขากินให้นางดู ซึ่งนางก็ลังเลมิน้อย แต่ท้องนั้นร้องหิวจึงฝืนกลืนลงไป กระทั่งหยิบผลไม้ดังกล่าวลงท้องจนหมดดวงตากลมโตก็สำนึกบุญคุณต่อเขา “หากอยากกินให้อิ่มกว่านี้และปรารถนารสชาติอันยอดเยี่ยม คงต้องเป็นความหวานมันซึ่งปลดปล่อยจากตัวข้าเท่านั้นที่เจ้าสมควรกลืนลงท้อง” อวิ๋นมู่หลันไม่ได้นึกขำหรือสนุกกับสิ่งที่เขากล่าว นางตกใจมาก กว่า มัจจุราชกวนคงเป็นบ้าไปแล้วถึงกล่าววาจาเย้าหยอกนาง กระนั้นสิ่งที่ลอยเข้าหูสัปดนยิ่งนัก ทว่าเหตุใดนางถึงเขินอายจนหน้าแดง “เมื่อครู่เจ้าขึ้นไปข้างบนเขาได้สิ่งใดมา” หญิงสาวยิ้มกว้าง นางเก็บเห็ดมาหลายดอกรวมถึงหน่อไม้หวาน “เจ้าทำให้ข้าทึ่งมิน้อย” หญิงสาวรู้สึกว่าตนมีประโยชน์อยู่บ้าง นางเติบโตจากก้นครัวและยังหาของป่าเก่งเป็นที่หนึ่ง เรื่องให้งอมืองอเท้าและอดตายย่อมมิใช่ อวิ๋นมู่หลันคนนี้ จากนั้นนางแกะก็เปลือกหน่อไม้แล้วส่งยอดอ่อนให้เขา
เถาวัลย์มนุษย์ ทหารหน่วยลับของกวนเฉินหลางปรากฏตัวในอีกอึดใจต่อมา พวกเขาได้รับบาดเจ็บมิน้อย ตอนนี้เหลือเพียงสองคนเท่านั้น “ขออภัยที่ผู้น้อยวู่วาม” เขาหมายถึงการยิงเกาทัณฑ์ใส่ร่างเด็กสาวชาวหนานหยาง จากนั้นหนึ่งในสองจึงเบนสายตาไปยังสตรีซึ่งกองอยู่บนพื้น เขาจำได้ว่ากวนเฉินหลางช่วยนางไว้จากขบวนเจ้าสาวและเป็นสตรีบ้าใบ้ที่มีโลหิตทมิฬแสนอัปลักษณ์แปะอยู่บนใบหน้า กวนเฉินหลางพ่นลมหายใจร้อนติด ๆ กัน สายตาคมกริบจ้องร่าง อวิ๋นมู่หลันที่ยามนี้เหมือนเสื้อผ้าเก่า ๆ กองหนึ่ง “มัดนางแขวนไว้กับต้นไม้ เพื่อล่อเมิ่งถูออกมา!” คำสั่งของเขาป่าเถื่อนและอำมหิต อวิ๋นมู่หลันตัวสั่น น้ำตานางไหลคลอหน่วยในทันที นางไม่ได้กลัวแต่โกรธแค้นเขาอย่างที่สุด และสิ่งที่นางต้องพึงจำไว้ให้ขึ้นใจคือมัจจุราชกวนอย่างไรก็เป็นปีศาจร้าย เขาไม่เคยเห็นชีวิตผู้อื่นอยู่ในสายตา “แต่... นางเป็นสตรีวิปลาส เหตุใดเมิ่งถูจึงจะเอาชีวิตของตนเข้าช่วยนางขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย กวนเฉินหลางมองอวิ๋นมู่หลันอีกหน หัวใจเขาเจ็บแปล
หยวนจื่อบอกให้คนของตนเตรียมส่งคนเข้ามาตรวจร่างกายของเถียนลู่ฟาง นี่คือสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับหลักฐานที่นางให้คนไปจัดฉากไว้ ทั้งเสื้อผ้าบุรุษ และพยานบุคคลที่บอกว่าเห็นผู้ชายออกจากห้องหอเรือนของหนันเฉินเทียน ทั้งที่อีกฝ่ายพักในเรือนหลักไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเถียนลู่ฟางเนื่องจากการแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแก้เคล็ด “การแต่งงานของเจ้ากับเทียนเอ๋อร์ ล้วนเป็นพิธีซึ่งทำเพื่อเสริมดวงให้เขา และสิ่งสำคัญที่ข้าอยากรู้ เจ้ายังเป็นสตรีที่บริสุทธิ์หรือไม่” หยวนจื่อโพล่งขึ้น “แล้ว หนันฮูหยินต้องการทำเช่นไรกัน ข้าแต่งเข้าบ้านท่านแล้ว ใยต้องทนให้ผู้อื่นเหยียดหยาม” เถียนลู่ฟางส่งเสียงดัง และนางไม่พอใจเป็นอย่างมากให้ยามนี้ “เพียงแต่ตรวจร่างกาย หากยังไม่พบร่องรอยถูกข่มเหง ข้าก็ยินดีให้เจ้าอยู่ในเรือนต่อไป” หยวนจื่อกล่าว “ฮึ อย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินผู้หนึ่งของสกุลหนัน และได้เข้าหอแล้ว เรื่องนี้ให้คนเป็นสามีตรวจสอบจะไม่ดีกว่าหรือ” หยวนจื่อหัวเราะเสียงดังทีเดียว และเอ่ยอย่างหยามหมิ่นเถียนลู่ฟาง “เจ้ายังมีสติดีหรือไม่ แน่นอนเจ้าเข้าหอกับเทียนเอ๋อร์ แต่นั่นเป็นเพ
เถียนลู่ฟางทั้งโมโห ทั้งฉุนเฉียว แต่แรกนางมั่นใจว่าคงเข้ามาที่หอบรรพชนเพียงสองสามชั่วยาม แต่ตอนนี้เกือบสามวันแล้วที่ถูกกักบริเวณ แต่หากกล่าวให้ถูกต้อง นางถูกขังเสียมากกว่า กระนั้นหนันฮูหยินยังมีความเมตตาอยู่บ้าง ด้วยมีข้าวสวยกับน่องไก่ส่งมาให้ทางช่องเล็กๆ เพียงวันละหนึ่งครั้ง ภายในหอบรรพชนนี้อากาศเย็น ไม่ร้อน ทว่าบรรยากาศชวนให้นางหวาดกลัวมิน้อย ตกกลางคืนมีเสียงสุนัข และเงาแมวดำวิ่งไปมา แม้ไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เถียนลู่ฟาง ทั้งเครียด และยากควบคุมตนไม่ให้คิดมากไม่ได้ เมื่ออยากออกไปข้างนอก เสียงของคนที่ยืนเฝ้าประตูก็ตอบว่า หากไม่มีคำสั่งหยวนจื่อ ให้ไฟไหม้หอบรรพชน เถียนลู่ฟางก็มิอาจก้าวออกไป “มารดาคนสกุลหนันเถิด... ข้าเป็นถึงฮูหยินห้า ไป ไปเชิญสามีข้า มารับกลับเรือนเดี๋ยวนี้” เถียนลู่ฟางร้องโวยวายอย่างคนขาดสติอยู่นานทีเดียว กระทั่งมีกลิ่นธูปหอมจัดลอยเข้าจมูก นางเลยผ่อนคลายลงก่อนจะค่อยๆ หมดสติไป กระทั่งนางรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมาก ไป๋รั่วรั่วจึงเข้ามาด้านใน พร้อมกาน้ำชา “ฮูหยินห้า...” อีกฝ่ายเรียกนาง แล
หญิงสาวขยับร่างกายบนฟูกหนาหนุ่ม และยามนี้ละอายใจยิ่งนัก เนื้อตัวก็ปวดเมื่อยไปหมด พออยากขยับร่างกาย ก็รู้สึกว่าร้าวไปทั้งร่าง นางตกเป็นของหนันจิ้งโหย่ว...แน่นอน เขาไม่ใช่สามีที่นางแต่งเข้าสกุลหนัน “ท่านย่ำยีข้า หญิงสาวไม่ได้โวยวาย แต่เอ่ยอย่างเจ็บปวด” หนันจิ้งโหย่วมองนาง มองแล้วอมยิ้ม ไม่ได้ยั่วล้อ แต่มองอย่างชัดเจนว่าพึงใจที่ตนได้ร่วมรักกันอย่างสุดเหวี่ยงกับสตรีผู้นี้ “ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าเป็นภรรยาข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนเสี่ยวเทียน ให้เขาเป็นน้องสามีจึงจะถูกต้องที่สุด มิอย่างนั้น เจ้าคงเป็นสตรีประหลาด ที่อยากให้เด็กน้อย ใช้มือ และลิ้นเล็กๆกับกลีบบุปผาหวานฉ่ำนั่น” ชายหนุ่มกล่าวจบประโยค นางก็ตบใบหน้าเขาไปเต็มแรง “สตรีแซ่เถียน บอกรักผู้อื่นเช่นนี้หรือ” “ทะ ท่านทำให้ข้าอับอาย จากนี้ ข้าจะสู้หน้าผู้อื่นได้อย่างไร” “หมายความถึง!” “ข้าเป็นสะใภ้เล็กคุณชายห้า หากทำเรื่องผิดศีลธรรม มิแคล้วต้องถูกลงโทษสถานหนักหรอกหรือ” “เสี่ยงฟาง หากเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูดแล้วใครจะรู้ว่า เราเป็นผัวเมียกัน” หญิงสาวเหลืออดแล้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเป็นเรื่องบังเอิญที่สุดวิสัย หาไม่แล้วก็เพราะโชคชะตาลิขิตไว้เช่นนั้นเอ ว่าแต่ หนันจิ้งโหย่วผู้นี้ เหตุใด ยิ่งมองหน้าเขา นางก็คุ้นเคยอย่างประหลาดเขาเป็นชายชั่วช้าจริงๆ หรือว่า เป็นนางที่ติดค้างบางอย่างต่อเขา จนเขามาไล่คิดดอกเบี้ยราคาสูงลิบกับนาง กล่าวถึงฝ่ายสกุลหนัน มีอิทธิพลทางด้านการค้าและยังเป็นสกุลขุนนางบู๊อีกด้วยและเป็นใต้เท้าหนันผู้ล่วงลับหาใช่คนที่ใครจะกล้าต่อกรด้วย เขาไม่ขาว และก็ไม่เป็นสีเทา กระนั้นกล่าวได้ว่า มือเขาเปื้อนเลือดไม่น้อยและยังมีลูกชายที่ไม่ได้เรื่องกับอดีตฮูหยินที่ล่วงลับผู้หนึ่ง ฝ่ายนั้นก็คือหนันจิ้งโหย่ว แต่เดิมหลังจากมารดาเสียชีวิต เขาก็ออกท่องยุทธภพ รับใช้ทางการบ้างเป็นครั้งคราว โดยตำแหน่งของเขาสูงถึงเป็นแมวหลวงฮ่องเต้ คอยทำงานสืบสวนลับๆ เกี่ยวกับคนในราชวงศ์ รวมถึงขุนนางกังฉิน และสืบข่าวต่างแคว้น ป้องกันการก่อกบฏ สุดท้ายเขาหายสาบสูญไป ซึ่งเชื่อกันว่า เขาถูกคนฝ่ายกฎบลอบสังหาร เนื่องจากสืบข่าวลับๆ หลายอย่างที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อคนกลุ่มดังกล่าว และการหายตัวไปของเขา ได้เข้าทางหนันฮูหยิน นางใช้เรื่องนี้ฮุบสมบัติทั้งหมดให
บาปกรรม บาปกรรม... ลงมาจากเขา เดินทางไกลหลายร้อยลี้เพื่อหวังได้เงินสามร้อยตำลึงเปิดเหลาไว้ให้ชาวยุทธ์มาลิ้มรสชาติอาหาร โดยการเข้าไปเป็น สะใภ้สกุลหนันสักสามสี่เดือน จากนั้นนางก็จะใช้เล่ห์กลรีดไถเงินเพิ่มอีกสักหน่อย ก่อนหายสาบสูญไปจากสกุลหนันที่เป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทั้งยังงมงาย เรื่องไสยศาสตร์ มีความเชื่อเกี่ยวกับการทำนายโชคชะตา จนเป็นเหตุให้เกิดงานแต่งของเด็กชายวัยแปดขวบ กับเจ้าสาวสุดสวยสกุลเถียน หากไม่ใช่เถียนหลิงหลิงโฉมงามแสนบอบบาง หากเป็นเถียนลู่ฟาง ผู้ที่เก่งกล้า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเถียนลู่ฟาง ต้องอับอายอย่างหนัก จนอยากเอาหัวโม่งพื้นดินตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด นางหลงกลผู้ชายที่หลงเหลือเพียงป้ายวิญญาณ อีกทั้งถูกเขาข่มขู่ ให้ทำเรื่องชั่วร้าย สิ่งนั้นก็คือ เล่นบทบาทคบชู้กับวิญญาณจอมปลอม พร้อมกับเปิดโปงความชั่วร้ายของหนันฮูหยิน และหากนางขัดขืน จะต้องรับโทษอันใด คำพูดอีกฝ่ายย้อนเข้ามาในหัว “ข้าจะลักหลับเจ้า และเรียกบุตรให้มาอยู่ในครรภ์สักสองสามคน!” วิญญาณจอมปลอมของหนันจิ้งโหย่วข่มขู่นางไว้อย่างนั้น ยามนี้ ส่วนที่นางรักษาเอาไว้เพื่อบุรุษที่คู่ควรกำ
โปรย....อ๊ะ! นางร้องเสียงหลงไฉนทวนเล็กสั้น ของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้แล้วลิ้นสากร้อนนั้นก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางจนซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตายด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ทั้งจั๊กจี้และสากร้อนนี้!แนะนำเรื่อง นางขึ้นเกี้ยวเพื่อแต่งงานกับเด็กแปดขวบ เพื่อหวังขโมยของล้ำค่าในสกุลสามี แต่ไฉนจึงหลงกลวิญญาณจอมปลอมของพี่สามี กระทั่งถูกตบตีด้วยมีดสั้น และทวนทอง อย่างเร้าร้อนซาบซ่านสยิวใจ “อ๊ะ! นางร้องเสียงหลง เหตุใด ทวนเล็กสั้นของเด็กน้อยผู้เป็นสามีวัยแปดขวบถึงขยายใหญ่ได้เพียงนี้ แล้วลิ้นสากร้อนก็เช่นกัน ประหนึ่งมีดสั้นที่จ้วงแทงทั้งปากบน ปากล่างของนางให้ซาบซ่านยากจะอดกลั้นเสียงครวญครางได้ บัดซบ! เข้าหอคืนแรก นางคงมิแคล้วคงขาดใจตาย ด้วยมีดสั้นอันพลิ้วไหว ที่แสนจั๊กจี้และสากร้อนนี้ ! กระนั้น เถียนลู่ฟางก็มิใช่คนเบาปัญญา ในเมื่อเจ้าบ่าวนางเยาว์วัย เขาคงมิอาจพานางขึ้นสวรรค์ได้ แน่แล้ว คนผู้นี้ ย่อมเป็นหนันจิ้งโหย่ว บุรุษที่หลอกลวงผู้อื่น และเหลือเพียงป้าย
ระหว่างการเดินทางไปเยี่ยมพ่อตา หรือแม้แต่ไปเมืองหลวงเพื่อรายงานสิ่งต่าง ๆ กวนเฉินหลางอาศัยในรถม้ากับอวิ๋นมู่หลัน แทนการขี่ม้า และบ่อยครั้งที่เขาจะบอกให้รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆ มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังหิวบ่อย ของที่เขาต้องการกินล้วนเป็นอาหารของเด็ก ๆ กับผลไม้รสหวานจัด “ถังหูลู่ข้าเบื่อแล้ว ขอเป็นน้ำตาลปั้น แล้วก็พุทราเชื่อม” เขาตะโกนบอกหลิวตงที่อยู่ด้านนอก พออีกฝ่ายเตรียมกลับเข้าไปในตลาดที่เพิ่งผ่านมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน กวนเฉินหลางก็ตะโกนขึ้นว่า “กลับรถม้า ข้าอยากได้ขนมเปี๊ยะแล้วก็ลูกอมบ๊วย หากไม่เลือกด้วยตัวเองไฉนจะถูกใจ!” อวิ๋นมู่หลันหัวเราะจนได้ นางเห็นสายตาสามีเมื่อเขาพูดถึงของหวานก็น่าชมและชวนให้หมั่นไส้ “เหตุใดฮูหยินถึงมองข้าเช่นนั้น” “ข้าอดดีใจไม่ได้ที่ท่านพี่เจริญอาหาร ทั้งยังชวนผู้อื่นกินไม่หยุดปาก หากเราไปถึงเมืองหลวง คงต้องตัดชุดใหม่ให้มากสักหน่อย ดูแล้วยามนี้ท่านพี่คงอึดอัดมิน้อย” “เอ ฮูหยินหมายความเยี่ยงไร” กวนเฉินหลางถาม มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบมะยมเชื่อมโรยน้ำตาลเข้าปาก “ก็... ตั้งแต่ออกจ
อวิ๋นมู่หลันนึกเสียดายเหลือเกิน ในขณะกวนเฉินหลางถูกเมิ่งถูจับตัวไว้หลังจากเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากปูม่วงก้ามหนาม เขาควรได้ รับการลงโทษให้หนักกว่านี้ และจะดีมากหากฝ่ายนั้นสามารถทำให้บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของนางตายด้าน ไม่ต้องมีพละกำลังล้นเหลือยามขึ้นเตียง “อา... ฮูหยิน ห่างกันหนึ่งปีเต็ม เหมือนข้าได้พบดรุณีน้อย แสนบริสุทธิ์ เจ้างามหมดจดทุกส่วน ผิวเนียนนุ่ม จุดหวานล้ำก็เป็นสีชมพู!” คำชื่นชมเขาแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย และอวิ๋นมู่หลันขัดเขินจนหน้าแดงระเรื่อ มือไม้นางอ่อนไปหมด และสามีนางเป็นแมวหรอกหรือ ไฉนเดี๋ยวใช้ลิ้นสาก ๆ โลมเลียกลีบฉ่ำหวาน สลับการส่งแรงดูดล้ำลึก จนนางดิ้นพล่านอย่างเผลอไผล ลิ้นของเขาช่ำชอง และดูเหมือนคลั่งรักนางหนักจนชวนให้ตื่นตระหนก! ส่วนมือใหญ่ ๆ นั้นนวดเฟ้นหน้าอกอวบสวยที่เด้งไหวรองรับสัมผัสที่ซ่านสยิว กวนเฉินหลางมีนิ้วมือยอดเยี่ยม ทั้งยังลงแรงสม่ำเสมอพลอยให้นางซ่านใจจนความหวานในแอ่งเนื้อนิ่มซึมเอ่อไม่หยุด “ฮูหยิน ไม่อยากลองกระทำสิ่งแปลกใหม่บางหรือ ขี่ม้าก็แล้ว ท่าสุนัขหรือให้ข้าอุ้มเจ้าก็ทำได้ยอดเยี่ยม เราจะได้ปลดปล่
อวิ๋นมู่หลันมองคนตัวโตในชุดเกราะ และมือหนึ่งนั้นอุ้มอี้เหยาเอาไว้ ท่าทางเขาเก้ ๆ กัง ๆ คงเพราะไม่เคยอุ้มเด็กมาก่อน แต่แสดงให้เห็นว่าเอ็นดูและห่วงใยลูกชายคนเล็กของนางเพียงใด ฝ่ายอี้เหยาก็ช่างรู้ความ ปกติไม่ใช่คนมักคุ้นคนแปลกหน้า แต่เด็กน้อยในยามนี้อมยิ้มอยู่น้อย ๆ ดวงตามีประกายแจ่มใส คอยมองบิดาราวกับนิยมในความสง่างามและกล้าหาญ ทั้งที่ร่างกายกวนเฉินหลางแผ่ไอเย็นออกมา ผู้ใดเห็นแล้วไฉนจะไม่ครั่นคร้าม “ท่านพี่... เหยาเอ๋อร์ คงเพลียแล้ว ส่งมาให้ข้าเถิด” นางเอ่ยพร้อมพยายามจับตัวลูกชายอีกคนให้ออกมาพบผู้เป็นบิดา แต่อี้หยางเข้าไปหลบอยู่ในกระโปรงนาง พอจะจับตัวเขาก็ร้องโวยวายสลับการข่มขู่ นิสัยเช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้น “มะ… ไม่! ขะ… ไม่ไป!” “โอ้ ฮูหยิน เด็กอีกคนนั้น เจ้ายังไม่ได้คลอดเขาออกมาหรอกหรือ” กวนเฉินหลางถามแล้วจึงหัวเราะร่วน ลูกชายคนโตของเขาดูเหมือนไม่อยากพบหน้าคนเป็นบิดา ช่างพิลึกดีแท้ “ปกติก็ร่าเริง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หยางเอ๋อร์ถึงหลบหน้าท่านพี่เช่นนี้” กวนเฉินหลางมองภาพตรงหน้าและชอบใจ เขามีบุตรชายสองคน ต่อไปนี้คงมีหล