“ทวยเทพช่างส่งท่านมาโปรดข้าโดยแท้” หนิงซินแย้มยิ้มงดงามดั่งบุปผา ทำเอาหญิงหม้ายสกุลอวี๋ที่เข้าใจผิดไปคนละเรื่องขวยอายจนแทบตัวลอย
หนิงซินที่หาได้รู้อันใดสักนิด เผลอเลื่อนมือข้างหนึ่งลงลูบท้องน้อย
แม้แต่สัตว์ยังรักลูกของมัน แล้วประสาอะไรกับนาง...
ใช่ว่านางไม่ต้องการลูก สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าลูกจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุใด ลูกก็ย่อมเป็นลูก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง...ทว่าการตั้งครรภ์กับผู้นำทัพฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิต่างอะไรไปจากการตบหน้าราชวงศ์สกุลอิ๋ง ยังไม่นับอีกว่านางคือผู้ถือพรหมจรรย์
แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ความจริงน่าอับอายที่ว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายถูกข่มเหงรังแก และ...นางมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นอีกมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยที่นางไม่อาจห้ามปรามขัดขืนได้เลย
วัดจากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด ยามนี้นางไม่กลัวบุรุษผู้นั้นอีกต่อไป สิ่งที่นางหวาดกลัว และทำให้กังวลเสียมากมาย ก็คือตัวนางเอง
พอได้รู้จักรสสัมผัสที่ชวนให้ใจสั่นและสุขสมอย่างน่าพิศวงนั้นแล้ว นางก็เปลี่ยนไป
คนผู้นั้นทำให้นางกลายเป็นสตรีอีกคนที่นาง...แทบจะไม่เคยรู้จัก...
หนิงซินพลันรู้สึกอับอายปั่นป่วนในอก ใบหน้าร้อนผ่าวจนแดงก่ำลามไปถึงใบหู ทำเอาหญิงหม้ายสกุลอวี๋ถึงกับอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
“แผลของแม่นางหายเร็วมาก อีกไม่นาน...” หญิงหม้ายสกุลอวี๋กระแอมไอ ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย “ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณท่านแม่ทัพ ยาที่ท่านหมออาวุโสนำมามอบให้เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นยอดยาชั้นดี ตัวยาบางชนิดทั้งหายากและราคาสูงกว่าคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ รวมกันมากกว่าสิบหลัง ชาวบ้านธรรมดาๆ เช่นข้าที่ไหนเลยจะกล้านึกฝันว่าจะได้แตะต้อง”
หนิงซินฟังแล้วกลับนิ่งไปจนหญิงหม้ายสังเกตได้
“แม่นาง?”
เนิ่นนานนัก หนิงซินเอ่ยออกมาเพียงสั้นๆ
“งั้นสินะ...”
หญิงหม้ายเห็นแม่นางน้อยคล้ายเหม่อลอย ดูปลดปลง ก็อดหวิวโหวงในอกขึ้นมาไม่ได้ นางรีบกล่าวเสริม
“อีกทั้งท่านแม่ทัพก็ดูแลท่านเป็นอย่างดี มิให้ขยับกายทำสิ่งใดสักนิด บาดแผลไม่ได้รับการกระทบกระเทือน จึงสมานตัวอย่างรวดเร็ว”
หนิงซินหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อถูกเอ่ยถึงเรื่องนี้
ไม่ขยับกายทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ...
จู่ๆ ภาพตอนที่นาง...ใช้มือน้อย ‘ช่วยเขา’ ทำสิ่งที่ได้รับการศึกษามาว่าจะทำให้บุรุษพึงพอใจ ก็ผุดพรายขึ้นมา...
จนบัดนี้นางยังไม่ลืมความรู้สึกกึ่งหยุ่นกึ่งแข็งที่ฝ่ามือด้วยซ้ำ…
ยัง...ยังไม่นับอีกว่าหลังจากนั้นเขาก็แตะต้องเนื้อตัวนางเอาตามใจ ราวกับจะประกาศว่านางตกเป็นผู้หญิงของเขาไปแล้วจริงๆ
แม้ครั้งนี้คนผู้นั้นจะกระทำอย่างทะนุถนอมเบามือ แต่สัมผัสนั้นกลับสลักแน่นลงไปถึงวิญญาณ กระทั่งชำระล้างร่างกายแล้วก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของคนผู้นั้น ยังจำได้ว่าในแต่ละจุดที่ถูกสัมผัสเกิดความรู้สึกอย่างไร...
หญิงหม้ายสกุลอวี๋ออกจากกระโจมไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ กว่าที่หนิงซินจะรู้ตัว ก็มีเสียงทหารนอกกระโจมหอบแฮ่กๆ กลั้นใจบอกเพื่อนทหารเสียงดัง “ท่านขุนพลกลับมาสีหน้าไม่สู้ดี ตอนนี้เข้าไปรายงานท่านแม่ทัพในที่ประชุมแล้ว! วันนี้ทางที่ดี พวกเราระมัดระวังให้มากขึ้นอีกหน่อย อย่าได้ประมาทจนเผลอทำสิ่งใดผิดพลาดทั้งนั้น!”
หนิงซินหัวใจหล่นวูบ พลันรู้สึกชาหนึบไปทั่วทั้งร่าง
นางอยากออกจากกระโจมไปถามไถ่สถานการณ์เสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่พยายามเงี่ยหูฟังเหล่าทหารพูดคุยกัน
นึกไม่ถึงว่ายังฟังไม่ได้ความ เสียงสนทนาก็เงียบลง ไม่นานนักพวกทหารยืนยามก็ส่งเสียงทำความเคารพท่านแม่ทัพดังกึกก้อง
หนิงซินพยายามข่มใจรอให้บุรุษเจ้าของกระโจมเดินเข้ามาปลดเสื้อคลุมขึ้นแขวน รินน้ำชาจิบแก้กระหาย และหันมาสนใจนาง ทว่าเขากลับไม่มองมาที่นางเสียที ไม่เพียงไม่มองมา ยังทำท่าเหมือนจะเดินออกจากกระโจมไปอีกหน ทำเอานางหมดความอดทน รีบลุกขึ้นจากฟูกหมายจะถามเขาสักคำ
อาจเพราะไม่ได้ลุกขึ้นยืนมานาน แข้งขาจึงอ่อนแรง ทำให้สะดุดล้มโดยง่าย
“อ๊ะ!”
ชั่วอึดใจที่หนิงซินคิดว่าจะล้มลงกับพื้น กลับมีอ้อมแขนแข็งแกร่งประคองกอดนางไว้ อุ้มนางกลับลงวางบนฟูกอย่างแผ่วเบา
หนิงซินไม่อยากปล่อยให้โอกาสผ่านเลยไป นางรีบยึดแขนเสื้อทั้งสองข้างของเขาไว้ ถามเสียงสั่น
“ขุนพลที่ท่านส่งไปกลับมาแล้วใช่หรือไม่ เสด็จพ่อว่าอย่างไรบ้าง เสด็จพ่อยอมตกลงหรือไม่”
“มะ...ไม่ได้นะ...”“ข้ารับปากว่าจะไม่สังหารผู้ใดหากไม่จำเป็น”“แต่เหล่าทหารของทั้งเฮยเซ่อเย่ว์และแคว้นป๋ายก็ต้องเสียเลือดเสียเนื้อมิใช่หรือ” นางจ้องตาวิงวอนไม่ยอมแพ้อาจเพราะความกังวล มือที่ทาบทับแผงอกแกร่งพลันแข็งเกร็ง ขยับเหมือนหนึ่งจะกำ ท้องน้อยเองก็หดเกร็งเช่นกันหยางหยางสะดุ้งเล็กน้อยเพราะการกระทำนั้น ทำเอาหนิงซินสะดุ้งตาม แต่เพราะนางพยายามข่มใจไม่ให้รามือโดยง่าย มือที่ควรผละออกจึงกลายเป็นเคลื่อนไหวอยู่บนแผงอกแกร่งเหมือนหนึ่งแตะไล้หยอกเย้าจู่ๆ ส่วนที่ยังค้างคาอยู่ในกายนางส่วนนั้นก็ขยายตัวขึ้นอีกคราหนิงซินหน้าแดงจัด รู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้าทั้งตัว มือน้อยที่ทาบบนแผงอกกว้างยิ่งสั่นระริกไปกันใหญ่อา... นางช่าง...น่ารัก...หยางหยางพลันตื่นตัวเต็มที่อีกครั้ง ทำเอาเคร่งเครียด คิดหนัก...เมื่อครู่เพิ่งรังแกนางหนักหน่วงถึงเพียงนั้น หากลงมือซ้ำ เกรงว่าร่างกายเล็กๆ บอบบางใต้ร่างเขาอาจล้มป่วยลงอีกหน...“นะเจ้าคะ...ท่านแม่ทัพ ได้โปรด...” นางขอร้อง
เขากอดร่างนางไว้แน่น กระแทกแรงๆ อีกหลายครั้ง ก่อนดันอาวุธร้ายเข้าลึก จากนั้นบางอย่างก็ระเบิดโพลงอยู่ข้างในนั้น ทำเอาในกายนางอุ่นร้อนชุ่มแฉะไปหมดเขา...ปลดปล่อยสิ่งนั้นข้างในอีกแล้ว? หนิงซินเสียวซ่านสุดจะหาคำบรรยาย ส่วนอ่อนนุ่มกระตุกเกร็ง สองขาหนีบเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัวหยางหยางฟุบตัวลง กอดร่างนางไว้แน่น เนิ่นนานนักถึงเลื่อนมือขึ้นลูบศีรษะน้อยๆ ของนางอย่างเบามือ ก่อนเคลื่อนตัวขึ้นจูบหน้าผากทั้งที่บางส่วนยังคงค้างคากันอยู่ แล้วลูบหลังปลอบโยนอย่างแผ่วเบาสำหรับบุรุษเช่นเขาแล้ว ความสัมพันธ์ทางกายกับความรักนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทว่าครั้งนี้ กับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เขากลับรู้สึกต่างออกไปเขาไม่เคยเอ็นดูใส่ใจ เฝ้าถนอมและหวงแหนผู้ใดเท่าสตรีในอ้อมกอดร่างน้อยนี้มาก่อน“เมื่อครู่...เจ็บหรือไม่” หยางหยางถามอย่างไม่มั่นใจนักตัวเขาเองก็พยายามยั้งมือ ยับยั้งชั่งใจมากแล้ว ทว่า...ช่วงสุดท้ายนั้น มันสุดจะระงับจริงๆหนิงซินได้ยินคำถามแล้วใบหน้าตึงและเห่อร้อนขึ้นทันทีนางก้มหน้างุด ซุกแผงอกแกร่ง ส่ายหน้าน้อยๆ“ท
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เข้ามาในกายนางมันทั้งใหญ่โตมโหฬาร ทั้งดุนดันหน้าท้องนางจนอึดอัดคับแน่นไปหมด!สิ่งที่ทั้งร้อนและแข็ง ทั้งใหญ่ยาวเช่นนี้ เข้ามาในกายนาง!มิน่าเล่าครั้งแรกนั่นนางถึงได้...หนิงซินกระถดถอยหนีโดยสัญชาตญาณ แต่เขาขยับตาม“อา...” เขาครางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจับร่างนางขึ้นนั่งคร่อมร่างตนเองไว้ตอนแรกว่าตกใจแล้ว ตอนนี้หนิงซินกลับตกใจยิ่งกว่านางทั้งตกใจทั้งรู้สึกอับอายจนไม่อายนั่งตัวตรงอยู่ได้ ได้แต่หมอบกายลงกอดเกาะเขาไว้แน่น“แบบนี้น่าจะดีกว่า...” เขาบอกเสียงแหบห้าวหนิงซินหูอื้อตาลาย ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรไม่ทันจะได้ถาม หยางหยางก็ค่อยๆ จับสะโพกนางขยับยก“ฮึก...!” เพียงเขาขยับมือเล็กน้อย เลือดลมในกายนางก็พลันแล่นพล่าน ความเสียวซ่านแปลกประหลาดแล่นปลาบจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ ทำเอาตัวสั่นงันงกเหมือนลูกนกอ่อนแอยามแรกฟักจากไข่หยางหยางเห็นท่าทางนั้นแล้วยิ่งกว่าคันยิบๆ ในหัวใจ เขาทั้งเอ็นดูทั้งอยากรังแกนาง เอาคืนที่บังอาจมายั่วยวนบุรุษเช่นตน
แม่ทัพใหญ่สบตาคู่งามแล้วไม่อาจโกหกได้เขากล่าวเนิบช้า “เสด็จพ่อของเจ้าคิดเล่นเล่ห์กับข้า”หนิงซินตกใจ“มิใช่ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรอกหรือ ท่าน...ท่านตรวจสอบดีแล้วหรือยัง”“ไม่มีสิ่งใดต้องตรวจสอบทั้งนั้น ข้ายื่นข้อเสนอที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายที่สุดไปแล้ว บิดาเจ้าอิดเอื้อนไม่ทำตาม เรื่องก็มีเท่านี้”“เช่นนั้น...พวกท่านจะทำสงครามกันอีกหรือ” นางถามหน้าเผือดสีไม่นะ! นางจะยอมให้เกิดเรื่องเสียเลือดเนื้อเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาดหนิงซินเปลี่ยนจากจับแขนเสื้อเป็นจับแขนเขาไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด นางก็จะต้องทำให้คนผู้นี้ให้โอกาสเสด็จพ่อของนางได้คิดอีกสักครั้ง นางไม่เชื่อหรอกว่าเสด็จพ่อของนางจะหน้ามืดตามัวจนมองไม่เห็นความเป็นจริงเช่นนั้น!ก่อนอื่น...ก่อนอื่นนางต้องรั้งเขาไว้ ทำให้เขาหยุดคิดเรื่องแต่งกำลังทหารเตรียมการรบเสียก่อน!“เมื่อครู่ท่านจะออกไปไหนอีกหรือ...อย่าไปเลยนะ”แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ไม่เข้าใจ“ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อทำให้ท่านและเหล่าแม่ทัพนายกองขุ่น
“ทวยเทพช่างส่งท่านมาโปรดข้าโดยแท้” หนิงซินแย้มยิ้มงดงามดั่งบุปผา ทำเอาหญิงหม้ายสกุลอวี๋ที่เข้าใจผิดไปคนละเรื่องขวยอายจนแทบตัวลอยหนิงซินที่หาได้รู้อันใดสักนิด เผลอเลื่อนมือข้างหนึ่งลงลูบท้องน้อยแม้แต่สัตว์ยังรักลูกของมัน แล้วประสาอะไรกับนาง...ใช่ว่านางไม่ต้องการลูก สำหรับนางแล้ว ไม่ว่าลูกจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุใด ลูกก็ย่อมเป็นลูก เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง...ทว่าการตั้งครรภ์กับผู้นำทัพฝ่ายศัตรูในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมิต่างอะไรไปจากการตบหน้าราชวงศ์สกุลอิ๋ง ยังไม่นับอีกว่านางคือผู้ถือพรหมจรรย์แม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร นางก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ความจริงน่าอับอายที่ว่าองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์แคว้นป๋ายถูกข่มเหงรังแก และ...นางมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นในคืนนั้นอีกมากกว่าหนึ่งครั้ง โดยที่นางไม่อาจห้ามปรามขัดขืนได้เลยวัดจากเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด ยามนี้นางไม่กลัวบุรุษผู้นั้นอีกต่อไป สิ่งที่นางหวาดกลัว และทำให้กังวลเสียมากมาย ก็คือตัวนางเองพอได้รู้จักรสสัมผัสที่ชวนให้ใจสั่นและสุขสมอย่างน่าพิศวงนั้นแล้ว นางก็เปลี่ยนไป
นึกถึงสิ่งที่นางต้องประสบ หยางหยางก็ยิ่งโกรธคนเหล่านั้น ที่โกรธยิ่งกว่าคือโกรธที่ตนเองโทสะโมหะบังตาจนหน้ามืดตามัว ใจทราม ขาดสติ กระทำเรื่องหยาบช้าป่าเถื่อนเช่นนั้นลงไปราวกับไม่ใช่มนุษย์ปึง!!!เสียงทุบโต๊ะดังสนั่น ทำเอาเหล่าขุนศึกนายกองร่างใหญ่ยังอกสั่นขวัญผวาท่ามกลางความเงียบงัน แม่ทัพใหญ่เข่นเขี้ยวคำราม ออกคำสั่งเสียงเข้ม นัยน์ตาแดงก่ำเหมือนโลหิต“ส่งคนไปจับตาดูในจุดที่สำคัญ หากพบพิรุธแม้แต่น้อย ก็ไม่ต้องคิดแสดงความเมตตาเจรจาอะไรแล้ว! ระหว่างนี้ก็เฝ้าระวังค่ายพักทัพให้ดี หลายวันมานี้พักผ่อนกันพอแล้ว นับจากวันนี้เริ่มฝึกซ้อมไพร่พล เตรียมแผนการรบเผื่อเอาไว้ อย่าให้บกพร่อง!” เหล่าแม่ทัพนายกองฟังแล้ว บ้างแย้มยิ้มพยักหน้าเออออ บ้างก็ลูบหนวดเคราชอบอกชอบใจเห็นนายตนขึงขัง เอาจริงเอาจัง มีไฟในการสู้รบเช่นนี้ พวกเขาก็พลอยฮึกเหิมไปด้วยถูกแล้ว! ต้องอย่างนี้สิ จึงจะสมกับที่เป็นท่