“พี่ชื่อ...แล้วเราล่ะ...อะไร”
เสียงขาด ๆ หาย ๆ ทำให้ผมฟังไม่รู้เรื่อง อึดอัดอยากร้องไห้ มันเกิดอะไร ทำไมร่างกายของผมไม่เป็นดั่งใจเลย
“แล้วเจอกัน” เสียงของคนตรงหน้าพูดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันชัดเจนมาก พร้อมกับที่คนตรงหน้าหมุนตัวเดินจากไป
ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ
เสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าของวันเสาร์ ปลุกคนที่นอนอยู่บนเตียงให้ตื่นจากฝัน มือเอื้อมไปปิดนาฬิกา แต่คนบนเตียงยังคงคิดเรื่องที่ฝันถึงไม่หาย
มันคืออะไร ผู้ชายคนนั้นคือใคร แล้วทำไมผมถึงรู้สึกคิดถึง และอยากจะร้องไห้ขนาดนี้
“โธ่โว้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน มันเป็นอะไรนักหนา”
ผมพูดพร้อมลุกขึ้นนั่ง ใช้มือทั้งสองข้างขยี้หัวของตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลออกจากดวงตาคู่สวย อาจเป็นเพราะยังเหลือความรู้สึกตกค้างจากความฝัน ทั้งเศร้า ทั้งอึดอัด และทั้งสับสน
“ผู้ชายคนนั้นคือใครกันแน่ จะใช่คุณดวงอาทิตย์ไหมนะ” ผมพูดพึมพำกับตัวเอง
เมื่อกำจัดความรู้สึกออกไปได้บ้าง ผมก็ลุกขึ้นเตรียมตัว ไปตามนัดรุ่นพี่ที่ชมรมถ่ายภาพ
รุ่นพี่นัดให้ไปเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากคอนโดของผมมากนัก ผมเลยเดินทางโดยรถสาธารณะ เพราะมันสะดวกดี ไม่ต้องหาที่จอดรถให้วุ่นวาย
ห้างสรรพสินค้า AC
เมื่อมาถึงที่นัด ผมก็โทรหารุ่นพี่ทันที ปลายสายบอกว่ามาถึงแล้ว ให้ผมไปเจอเขาที่ร้านกาแฟได้เลย เมื่อได้จุดหมายผมก็ตรงไปที่นั่นทันที เมื่อมาถึงร้านกาแฟ ในร้านมีคนไม่เยอะ ผมมองหาคนที่คิดว่าเป็นรุ่นพี่ที่ชมรม เมื่อคิดว่าใช่ เลยตัดสินใจก้าวขาเดินเข้าไปหา
“สวัสดีครับ พี่วาริชหรือเปล่าครับ” คนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมองคนเอ่ยทัก
“ใช่พี่เอง นั่งสิ”
เมื่อคนตรงหน้า บอกว่าเป็นคนที่นัดผมมาเจอ ผมก็เลยนั่งลงทันที
“ดื่มอะไร เดี๋ยวพี่เรียกให้” แล้ววาริชก็เรียกเด็กเสิร์ฟ มาให้รุ่นน้องสั่งเครื่องดื่ม
เมื่อสั่งเครื่องดื่มแล้ว ลมหนาวก็หันมาพิจารณารุ่นพี่คนนี้ทันที รูปร่างสูง ผิวขาว คิ้วหนา จมูกโด่ง ริมฝีปากสวย จัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก ๆ คนหนึ่งเลย
“มีอะไรหรือเปล่า เห็นมองหน้าพี่” วาริชรุ่นน้องที่เอาแต่มองสำรวจตัวเขาอยู่
“อ๋อ เอ่อ ผมแค่กำลังคิดถึงหัวข้อที่ต้องทำน่ะครับ ไม่มีอะไร” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่น กลัวคนตรงหน้าจับพิรุธได้ว่า ผมแอบมอง
เมื่อวาริชได้ฟังเหตุผล ก็พยักหน้า และยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก
“เราวิเคราะห์หัวข้อนี้ว่ายังไงบ้าง ส่วนของพี่ได้ประมาณนี้”
วาริชหันโน้ตบุ๊ก ให้คนตรงหน้าดูถึงรายละเอียดที่วิเคราะห์มา
“โห พี่วิเคราะห์ซะของผมนี่ดรอปลงเลย”
“จริงเหรอ งั้นพี่ขอฟังความเห็นของเราหน่อย”
ผมเลยพูดถึงสิ่งที่ผมวิเคราะห์ออกมา ให้รุ่นพี่ฟัง เราทั้งสองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ที่คิดว่ามันน่าจะเป็น จนเจอสิ่งที่เราเห็นตรงกันมากที่สุด ที่จะสื่อออกมาในภาพที่จะถ่าย
“ตกลง เราเอาคอนเซ็ปต์นี้นะ” วาริชพูดขึ้นหลังจากที่ได้ข้อสรุป
“ตกลงครับ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้น วันนี้เราลองไปถ่ายรูปเล่น ๆ ดูไหม” วาริชชวนรุ่นน้อง
ผมคิดอยู่แป๊บหนึ่ง ก็ตกลงตัดสินใจไป เพราะคนตรงหน้าคงไม่ทำอะไรผมหรอก
“ไปครับ ผมอยากไป” ผมพูดอย่างตื่นเต้น เพราะชอบการถ่ายรูปอยู่แล้ว
“ปะงั้นไปกัน เราไปรถพี่นะจะได้สะดวก แวะถ่ายรูปที่ไหนก็ได้”
“ครับ” ผมตกลง
ระหว่างอยู่บนรถ เราทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลย จนผมเป็นฝ่ายทนไม่ไหว จึงเริ่มชวนรุ่นพี่คุยก่อน
“เห็นพี่พลบอกว่า พี่ไม่ค่อยเข้าชมรมเพาะติดงานของคณะ พี่อยู่คณะอะไรเหรอครับ” ผมเริ่มบทสนทนา ที่จะทำให้บรรยากาศในรถมันดูผ่อนคลายมากขึ้น
วาริชหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แว็บหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองทางต่อ
“พี่เรียนวิศวะอยู่ปี 4 แล้ว งานเยอะมาก อีกหน่อยก็ต้องหาที่ฝึกงานแล้ว ความจริงพี่จะไม่เข้าชมรมแล้วปีนี้ แต่ใจมันรักน่ะ ก็เลยเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ว่าแต่เราเถอะเรียนคณะอะไร” วาริชตอบรุ่นน้อง ทั้งที่ตายังคงมองถนนอยู่
“ผมเรียนบริหารครับ” ผมตอบออกไป พร้อมกลับใช้หางตาชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคนขับรถแว็บหนึ่ง
“พี่ก็มีเพื่อนเรียนอยู่คณะนี้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอกัน ต่างคนต่างยุ่ง ๆ น่ะ”
“ผมก็มีเพื่อนที่เรียนวิศวะเหมือนกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอ”
ผมนึกถึงบาสที่เรียนมัธยมปลายด้วยกันมา พอขึ้นมหาวิทยาลัย ก็เลือกเรียนคณะวิศวะ ถึงจะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอ จะได้เจอกันก็ตอนนัดสังสรรค์นั่นแหละ
“เหรอ อยู่ปีไหนล่ะ เผื่อพี่รู้จัก”
“อยู่ปี 2 ครับ ชื่อบาส” ผมบอกชื่อเพื่อนออกไป เผื่อรุ่นพี่รู้จัก
“งั้นเราก็ปี 2 ด้วยสิ”
“ครับ ผมอยู่ปี 2”
“ถ้าพี่ได้เห็นหน้าเพื่อนเรา ก็น่าจะนึกออก เพราะที่คณะมีคนชื่อบาสหลายคน” วาริชบอกรุ่นน้อง เพราะคนชื่อบาสมีเยอะมาก บางทีคนที่เขารู้จัก อาจไม่ใช่เพื่อนของน้องก็ได้
สวนสาธารณะ RRD
ทั้งสองคุยกันมาตลอดทาง จนรถเลี้ยวเข้ามาจอดที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง รอบข้างมีต้นไม้ขึ้นเขียวขจี ตัดขาดจากโลกภายนอกที่วุ่นวายเหมือนอยู่คนละโลกเลยก็ว่าได้
“ถึงแล้ว เป็นไงที่นี่โอเคไหม” วาริชหันไปถามคนที่นั่งข้าง ๆ
“ดีนะครับ ผมชอบมันดูสงบไม่วุ่นวายดี” ผมตอบรุ่นพี่ไป สายตาก็มองสำรวจสวนสาธารณะแห่งนี้
“งั้นเราไปกัน” วาริชเตรียมกล้องที่จะใช้ถ่ายรูป เมื่อเสร็จแล้วก็พารุ่นน้องเดินไปตามทางของสวนสาธารณะ
“ผมไม่ได้เตรียมกล้องมาเลย” ผมพูดเสียงหงอย ๆ
“ไม่เป็นไร ใช้กล้องพี่ บอกแล้วไงมาลอง ไม่ได้จริงจัง งั้นเอางี้ดีกว่า ให้เราเป็นแบบให้พี่ ลงโทษที่ไม่ได้พกกล้องมา” วาริชนึกได้ว่าต้องมีแบบให้ถ่ายรูป
“โหพี่ จะไหวเหรอ ผมอายอะ” ผมโอดครวญออกมา เพราะอยู่ ๆ จะให้คนที่เพิ่งรู้จักมาถ่ายรูปให้ ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“ไม่ต้องอาย ทำตัวให้เป็นธรรมชาติพอ รับรองสวยทุกรูป เชื่อใจช่างภาพได้เลย” วาริชพูดให้นายแบบหมาด ๆ ไม่ต้องเกร็ง
“ก็ได้ครับ” ผมตอบตกลงแบบไม่มั่นใจ
วาริชถ่ายรูปลมหนาวในมุมต่าง ๆ ของสวนสาธารณะ นายแบบจำเป็นก็ต้องเก๊กท่าถ่ายรูปตามที่ช่างภาพแนะนำ
แรก ๆ ลมหนาวเกร็งมาก แต่หลัง ๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง เพราะวาริชชวนคุยตลอด ลมหนาวเลยขอถ่ายรูปให้รุ่นพี่บ้าง ตอนแรกคิดว่ารุ่นพี่จะเขินที่ต้องเป็นนายแบบให้เขา แต่เปล่าเลย แต่ละท่าที่พี่เขาโพสออกมา ดูดีและธรรมชาติมาก ๆ
หลังจากที่ลมหนาวและซันกลับจากเที่ยวทางภาคเหนือแล้ว ทั้งสองก็กลับมาเรียนต่อ ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้น คนทั้งมหาวิทยาลัยต่างรู้แล้วว่าทั้งสองคนคบกัน เพราะทั้งคู่ตั้งสถานะในแอปวีโฟร์เสียขนาดนั้น ว่ากำลังคบกัน“หนาวเย็นนี้ทำอะไรกินดีครับ” ซันถามคนรักในระหว่างที่กำลังเลี้ยวรถเข้าไปจอดในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง“หนาวอยากกินแกงจืดเยื่อไผ่ ตุ๋นกับปีกไก่ครับ” ลมหนาวพูดบอกเมนูอาหารที่ตัวเองอยากกินออกไป“น่ากินจัง ขอพี่กินด้วยคนนะครับ”“แหม ถึงพี่ไม่บอกหนาวก็ต้องทำให้กินด้วยอยู่แล้วครับ ใครจะใจร้ายกับแฟนตัวเองได้ลงคอ” ลมหนาวพูดหยอกซัน“เดี๋ยวนี้พูดว่าเป็นแฟนกันได้ ไม่เขินแล้วเนอะ” ซันคิดถึงเมื่อก่อนที่ลมหนาวจะเขินเวลาพูดเรื่องนี้“ผมก็เริ่มชินแล้วหนิ” ลมหนาวเอนตัวไปซบไหล่ของคนรักซันยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาเป็นแฟนกับลมหนาวมาได้ 3 ปีกว่าแล้ว ปีนี้ลมหนาวอยู่ปี 4 ส่วนเขานั้นเรียนจบเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เขาทำงานในบริษัทของที่บ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ เพราะท่านก็เริ่มแก่ตัวลงทุกวันส่วนความสัมพันธ์ของเขากับลมหนาวนั้น แรก ๆ ผู้เป็นพ่อก็ย
หลังจากที่วาริชใช้เวลาคิดถึงเรื่องลมหนาว และตัวเองอยู่พักใหญ่นั้น เขาก็คิดได้ว่า ไม่ควรที่จะรั้งลมหนาวไว้ ในเมื่อเขาเจอคนที่ชอบแล้ว ก็ควรหยุดยื้อเขาไว้เสียที และเขาก็ควรที่จะหยุดใช้ลมหนาวเพื่อมาเป็นตัวแทนของเพียงดิน ชายหนุ่มกดโทรออกหาลมหนาวทันที[ฮัลโหลครับ] วาริชรอสายอยู่แป๊บหนึ่ง ลมหนาวก็กดรับ“ฮัลโหลครับ หนาว” วาริชพูดทักคนปลายสาย[ครับพี่วา พี่กลับมาแล้วเหรอครับ]“ครับ พี่กลับมาแล้ว”อยู่ ๆ บทสนทนาก็หยุดไปดื้อ ๆ เหมือนทั้งสองฝ่ายไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ“เสาร์นี้เรามาเจอกันไหม” วาริชพูดขึ้นหลังจากที่คิดมาดีแล้ว[เสาร์นี้ ได้ครับ เจอกันที่ไหนครับ]“ร้านกาแฟ D หน้ามอนะ 10 โมงเช้า” วาริชบอกสถานที่ และเวลากับลมหนาว[โอเคครับ แล้วเจอกันครับ]“ครับ”ประโยคการสนทนาจบเพียงเท่านี้ จากนั้นวาริชก็กดวางสายทันที ชายหนุ่มกดดูรูปในโทรศัพท์ ที่ตนเองได้ถ่ายรูปลมหนาวไว้ เขามองรอยยิ้มของคนในรูปแล้วยิ้มตาม เขาอยากซึมซับความรู้สึกที่มีความสุขนี้ไว้ สักนิดก็ยังดีเมื่อถึงวันที่นัดเจอลมหนาว วาริชไปที่คอนโดของลมหนาว เพื่ออยากมองลมหนาวเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะไม่ได้ทำแบบนี้อีกแล้ววาร
“เอ้า บาสแล้วจะให้เราทำยังไง พูดไม่ดีกับพี่เขาเหรอ แล้วบาสรู้ได้ยังไงว่าเราไม่ได้ชอบรุ่นพี่” ลมหนาวถามบาสอย่างสงสัยบาสเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “หนาวมีคนที่ชอบแล้วไม่ใช่เหรอ”“เราเนี่ยนะ เราชอบใคร” ลมหนาวสงสัย“หนาวเรารู้ทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องปิดบังหรอก”“เฮ้ย บาสเราไม่รู้จริง ๆ งงแล้วนะเนี่ย”“หนาวหยุดทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ดิ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่เราแกล้ง ที่เราหยอด หนาวไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” บาสจ้องหน้าเค้นหาความจริงกับลมหนาว“บาส เราเป็นเพื่อนกันนะเว้ย ที่บาสทำกับเราแบบนั้น เราก็คิดว่าบาสแค่แกล้ง ไม่ได้มีอะไร เราคิดกับบาสแค่เพื่อนเท่านั้น” ลมหนาวรีบพูดอธิบาย“แค่เพื่อนเหรอ แล้วที่หนาวแอบเอากล่องของขวัญไปไว้ใต้โต๊ะเรา มันคืออะไร หรือหนาวแค่แกล้งเรา ให้รู้สึกว่ามีคนมาแอบชอบงี้เหรอ”บาสเริ่มสับสน และก็เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมา ที่ลมหนาวมาทำแบบนี้ ทำให้จากคนที่ไม่ได้ชอบ แต่ตอนนี้กลับทำให้ชอบจนหมดใจ“เดี๋ยวบาส ฟังเราก่อนนะ คือใช่เราเป็นคนเอากล่องของขวัญ ไปไว้ที่ใต้โต๊ะบาสเอง แต่มันไม่ใช่ของจากเรา มีคนเขาฝากมาให้ช่วยน่ะ เราไม่ได้จะแกล้งหรือปั่นหัวบาสนะ” ลม
โรงเรียนมัธยมศึกษา WTNวันนี้ลมหนาวต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อไปเข้าเรียน ที่โรงเรียนมัธยมปลายเป็นวันแรก เด็กหนุ่มต้องนั่งรถเมล์ไปลงที่หน้าโรงเรียน ระยะทางจากบ้านถึงโรงเรียน ก็ห่างกันหลายกิโลเมตรเลย มีโรงเรียนที่ใกล้บ้านกว่านี้ แต่ลมหนาวก็ไม่ได้เลือกเรียน เพราะตั้งใจจะมาเข้าเรียนที่นี่ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงมากในแถบนี้ การเรียนการสอนก็ดี กว่าเขาจะสอบติดที่นี่ก็ลุ้นจนตัวโก่งวันแรกที่เข้าเรียนเขาก็ได้เจอกับตัง เพราะตังหาห้องเรียนไม่เจอ จึงได้เดินมาถามลมหนาว ที่อยู่แถว ๆ นั้นพอดี นั่นจึงทำให้ทั้งสองรู้ว่าพวกเขาเรียนห้องเดียวกัน จึงพากันเดินสอบถาม จนเจอห้องที่จะเข้าเรียน ทำให้พวกเขาทั้งสอง นั่งเรียนด้วยกัน และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุดเพื่อนในกลุ่มของลมหนาวและตัง มีอีก 5 คน คือป้อง หนุ่มแว่นเนิร์ด ๆ ที่แต่งตัวเนี้ยบภู หนุ่มขี้เล่น กวนตีนคนอื่นไปทั่วก้อง สายฮา สายปาร์ตี้ฮลัน หนุ่มหล่อโคตร ๆ เดินไปไหนสาว ๆ มองตามเป็นแถวบาส หนุ่มหล่อ หน้านิ่ง นักกีฬาโรงเรียนพวกเขาทั้ง 7 คนเริ่มสนิทกันมากขึ้น เมื่อขึ้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
หลังจากที่ลมหนาวออกมาจากวัด ก็ตรงมาขึ้นรถที่โฮมสเตย์จอดรอรับอยู่ หลังจากที่ได้พูดคุยกับหลวงพ่อ ทำให้ลมหนาวคิดอะไรได้หลาย ๆ อย่างเลย เขาไม่ควรจมอยู่แต่กับความผิดพลาด หรือความรู้สึกผิดในอดีต ชีวิตต้องเดินต่อไปข้างหน้าลมหนาวกลับมาถึงที่โฮมสเตย์ในตอนเกือบเที่ยง ชายหนุ่มมองไปที่โฮมสเตย์หลังข้าง ๆ แขกที่มาพักอยู่เมื่อวานน่าจะเช็กเอาต์ออกไปแล้ว เพราะเห็นแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาด ลมหนาวมองเพียงเท่านั้นก็ไม่ได้สนใจอีกชายหนุ่มกดเข้าไปเช็กโซเชียลที่แอปไอเจ เห็นเพื่อน ๆ หลายคนถ่ายรูปอวดที่เที่ยวต่าง ๆ เขากดเข้าไปดูไอเจของพี่ซัน แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรอัปเดต เข้าไปเช็กที่แอปวีโฟร์ ก็ไม่มีอะไรอัปเดตเหมือนกัน‘ทักไปหาจะดีไหมนะ’ ลมหนาวคิดกับตัวเอง แล้วก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง“แต่เราบอกพี่ซันว่าจำพี่เขาไม่ได้หนิ จะอธิบายยังไงดีล่ะ” ลมหนาวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที“เลิกคิด ๆ เรามาเที่ยวนะ ต้องมีความสุขสิ ไม่ใช่มานั่งเครียด ไปหาอะไรกินดีกว่า”ลมหนาวพูดบอกตัวเอง แล้วก็ออกไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารของโฮมสเตย์ และกะว่าจะไปเดินเที่ยวในหมู่บ้านใกล้ ๆ ด้วยเพราะพนักงานที่โฮมสเตย์บ
ตังทนไม่ได้ที่เห็นเพื่อนจมปลัก อยู่กับความรู้สึกผิดนี้ จึงต้องพูดให้ได้สติเมื่อลมหนาวได้ฟังก็น้ำตาไหล นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ได้พูดอะไรตังเมื่อเห็นเพื่อนร้องไห้ ก็รีบเข้ามากอดปลอบ “หนาวกูขอโทษ ต่อไปกูจะไม่พูดแบบนี้แล้ว มึงอย่าร้องเลย กูขอโทษนะ”ลมหนาวส่ายหน้า “ไม่ ไม่ใช่ความผิดตังหรอก” ดวงตาเศร้าหันไปสบตากับเพื่อน “เราแค่ยังให้อภัยตัวเองตอนนี้ไม่ได้เท่านั้น ขอเวลาเราหน่อย”“อือ อือ กูฟังมึง ไม่ร้องนะ เช็ดซะ” ตังยื่นทิชชูให้เพื่อนเช็ดหน้า“ปะ เดี๋ยวกูเลี้ยงข้าวมึงเอง อยากกินอะไรบอก เต็มที่เลยเพื่อน” ตังชวนเพื่อนไปกินข้าว ถือเป็นการไถ่โทษที่ทำให้เพื่อนร้องไห้ด้วยใกล้ถึงวันสิ้นปีแล้ว มหาวิทยาลัยก็หยุดหลายวัน เพื่อน ๆ แต่ละคนต่างก็วางแผนจะไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ“ซัน ปีใหม่ไปเที่ยวทะเลทางใต้ด้วยกันไหม เพื่อนไปกันหลายคนเลย” เมฆถามเพื่อน“โทษทีว่ะ กูคงไม่ได้ไปด้วย” ซันบอกเพื่อนออกไป“มึงจะไปตามน้องลมหนาวเหรอวะ” เมฆที่รู้เรื่องราวก็ทำให้พลอยเครียดกับเพื่อนไปด้วย เพราะกว่าซันจะเจอคนที่ถูกใจจริง ๆ ก็มีแต่อุปสรรคเหลือเกิน“อือ กูให้คนสืบอยู