บทที่ 91 ดวงตาสีม่วงล้ำลึกของหลินเยว่ซินสบเข้ากับดวงตาคู่นั้นเข้าอย่างจัง เสี่ยวถิงถึงกับนิ่งค้าง หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวในลมหายใจของคุณหนูซึมซาบเข้าไปถึงปลายจมูก แก้มของนางขึ้นสีระเรื่อโดยไม่รู้ตัว เผลอหลับตาปี๋ราวกับถูกมนตร์สะกด ริมฝีปากของหลินเยว่ซินหยุดลงห่างจากปากของเสี่ยวถิงเพียงหนึ่งนิ้ว ทว่า เสียงหัวเราะลั่นกลับดังขึ้นก่อน “ฮ่าๆๆๆๆๆ—!” เสี่ยวถิงลืมตาขึ้นทันที ด้วยความตกใจ ภาพที่เห็นคือคุณหนูของนางหัวเราะจนตัวสั่น แม้น้ำมันจะเปื้อนมือ ก็ยังเอามากุมท้องหัวเราะได้อย่างสำราญใจ เสี่ยวถิงยกมือแตะแก้มตนที่ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย “ตายแล้ว…ข้า…ทำอะไรลงไปกันแน่?!” นางนึกว่าคุณหนูจะ…จะจูบนาง! สองมือน้อยๆ ตบแก้มตัวเองเบาๆ ราวกับเรียกสติ ‘เสี่ยวถิง! ได้สติได้แล้ว! นั่นคุณหนูเชียวนะ! แถมยังเป็นผู้หญิงเหมือนกันอีก! ห้ามคิดลามกเด็ดขาด!’ หลินเยว่ซินหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทัน นางยกมือขยี้น้ำตา แล้วเอ่ยทั้งหัวเราะทั้งหอบว่า “โอ๊ยย เสี่ยวถิง เจ้านี่ช่างน่ารักเกินไปแล้ว! ฮ่าๆๆๆ ข้าจะขำตายให้ได้ ฮะๆๆๆ ขอข้าหัวเราะอีกสักหน่อยเถิด!” “คุณหนู!” เสี่ยวถิงตะ
บทที่ 90 เจ้ากิเลนน้อยจื่อจู่ค่อยๆ ถอยห่างจากหลินเยว่ซินทีละก้าว ยิ่งถอยไกลได้เท่าไร มันก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากเท่านั้น หญิงสาวผู้นั้น… รูปร่างหน้าตาก็แสนงดงาม แต่สำหรับจื่อจู่แล้ว ยิ่งงาม ยิ่งน่ากลัว! ดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้น มองเธออย่างระแวดระวังถึงขีดสุด “หญิงงามยิ่งนัก… ยิ่งอันตราย!” จื่อจู่คิดมาตลอดว่า นับตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกลัวใครเว้นแต่เจ้านายของมันเพียงคนเดียว ทว่าในวันนี้…มันกลับรู้สึกเหมือนตนเจอผีเข้าแล้ว! ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงจิต ทำเอามันสะดุ้งโหยง ปีกน้อยกระพือถลาแทบตกพื้น มันรีบทรงตัว ก่อนจะเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้า พบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องขลุ่ยหลิ่วกวงในมือ สายตานิ่งลึก สนใจแต่ขลุ่ย ไม่แม้แต่จะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ จื่อจู่ถอนหายใจโล่งอกทันที จากนั้นจึงถอยออกอีกสองก้าว แล้วกางปีกบินขึ้นฟ้า เสียงเรียกเมื่อครู่…คือคำสั่งจากเจ้านายของมัน เมื่อมันบินออกมายังลานบ้าน ก็พบว่า ชายหนุ่มผู้งดงามลึกลับหนานกงเยี่ยนหลัวยืนรออยู่ใต้ต้นไม้เรียบร้อยแล้ว “นายท่าน… ท่านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” มันเอนหัวกลมซบไหล่ชายหนุ่มอย่างออดอ้อน หนานกงเยี่ยนหลัวหัวเราะเ
บทที่ 89 “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงนั้นตอบอย่างเนิบช้า เย้ายวน และมั่นคง “เพราะข้าก็คือเจ้า… เจ้า…ก็คือข้า สิ่งที่เจ้าคิด… ข้าย่อมรู้ทั้งหมด” แม้เสียงนั้นจะอ่อนโยนราวสายลม แต่หลินเยว่ซินกลับไม่มีอารมณ์จะหลงใหล นางแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชา “เจ้ามันเพ้อเจ้อ! เจ้าเป็นข้า ข้าเป็นเจ้า… เจ้าเป็นผีอะไรกันแน่! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ข้าก็ขอสั่งไสหัวไปให้พ้น!” ในขณะที่ความคิดนั้นผุดขึ้น เสียงปริศนาในหัวกลับหัวเราะเบาๆ ราวกับสนุกกับอารมณ์ขุ่นเคืองของนาง “พวกเรา… ใช้ร่างเดียวกัน เจ้าไม่มีทางหนีข้าได้หรอก~” หลินเยว่ซินสบถลั่นในใจทันที “ไม่มีทางหนีเจ้าก็ช่าง! แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่า ข้ากลายเป็นผู้ชายตั้งแต่เมื่อใด!” เสียงของมันแม้นุ่มนวลแค่ไหน… แต่มันก็เป็นเสียงของ บุรุษ! ได้โปรดเถอะ! เสียงในหัวนางน่าจะเป็นหญิงสิไม่! “เพราะโดยแท้จริงแล้ว… เจ้าหาได้มีเพศไม่” เสียงนั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ คล้ายพูดถึงสัจธรรมที่เหนือมนุษย์ แววเสียงแฝงด้วยความรู้เกินคน ฟังดูเย็นชาและห่างไกล หลินเยว่ซินฟังแล้วแทบจะระเบิดออกด้วยความคั่งแค้น “ไม่มีเพศรึ เจ้าสิไม่มีเพศ! ข้านี่แหละคือมนุษย์!”
บทที่ 88 นางรู้สึกเหมือนถูกเล่นงานอย่างแรง จื่อจูเกาท้ายทอยอย่างไม่รู้จะตอบยังไง “นายท่านของข้าก็แค่เป่าได้แบบพอมีเสียงเฉยๆ เพราะขลุ่ยนี้มีพลังพิเศษสามารถควบคุมสัตว์ทั้งปวง เมื่อขลุ่ยหลิ่วกวงปรากฏ สัตว์ทั่วหล้าแทบหมอบกราบ!” “ควบคุมสัตว์ทั้งโลก…” หลินเยว่ซินกลืนน้ำลายลงคอแรงมาก แค่ขลุ่ยเล่มเดียว คุมสัตว์ได้ทั้งโลกเนี่ยนะ แล้วแบบนี้ คนที่สร้างขลุ่ยนี้ จะบ้าไปแล้วหรือเปล่า สร้างขลุ่ยมาแท้ๆ แต่ดันไม่มีใครเป่าได้ซะงั้น นางพลิกขลุ่ยในมือไปมา หน้าตาบึ้งตึงอย่างสุดขีด ในอนาคต เมื่อนางย้อนมาคิดถึงคำพูดนี้ทีไร เธออยากตบปากตัวเองสักสองทีทุกครั้ง จื่อจูถอนหายใจ “เดิมที…ทั่วทั้งหกแดนแคว้น ก็มีแค่คนสร้างมันเมื่อหลายหมื่นปีก่อนเท่านั้นที่เป่ามันได้ แต่ตอนนี้…”มันเงยหน้ามองหลินเยว่ซินตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ดูเหมือน…จะไม่ใช่แค่นั้นแล้วล่ะ” หลินเยว่ซินกลอกตาอย่างสุดแรง “จะไปรู้ได้ไงว่าเมื่อหมื่นปีก่อน คนนั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ บางทีทั้งหมดก็แค่ตำนานมั่วๆ ที่คนยุคหลังแต่งขึ้นก็ได้” ทันใดนั้นนางก็หันมามองเจ้าตัวเล็ก นึกถึงที่เสี่ยวถิงเคยบอกว่า จื่อจูถึงกับสลบเพราะเสียง
บทที่ 87ส่วนหลินเยว่ซินนั้น… หากไม่ติดว่าถือขลุ่ยอยู่ในมือ นางคงกรีดร้องลั่นห้องไปแล้ว! ใบหน้าของนางซีดเผือดเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นระริก ราวกับเพิ่งพบอสุรกายตรงหน้า“ขะ…ข้าไม่เคยเป่าขลุ่ยได้เลยนะ!” นางพร่ำกับตนเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อเดิมทีนางก็แค่หยิบขลุ่ยขึ้นมา…ทำทีเป็นเป่าให้ดูเท่เท่านั้น หาได้ตั้งใจจะเล่นจริงจังไม่ แต่ทันทีที่ริมฝีปากแนบเข้ากับปากขลุ่ย ท่วงทำนองหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในห้วงจิตทำนองที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับสามารถเล่นได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องนึกหรือฝึกฝนสักครา“ในชาติก่อน ก็เป่าไม่เคยได้เลยแท้ๆ!!” แม้นางจะเชี่ยวชาญในศาสตร์หลากแขนงของเครื่องดนตรี แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ว่าชาติไหน นางก็ไม่อาจฝืนลิขิตได้เลย นั้นก็คือ ขลุ่ยสมัยนั้น แค่ลองเป่าครั้งแรก เสียงที่ออกมาถึงขั้น ‘หลุดคีย์จนพาใจผู้ฟังบินไกลถึงทะเลตะวันตก!’อาจารย์ดนตรีทุกคนถึงกับส่ายหน้าร่ำไห้ “ปล่อยไปเถิด สตรีนางนี้กับขลุ่ยไม่ใช่ดวงชะตาที่จะโคจรพบกัน”แต่ทว่าตอนนี้แค่ยกขึ้นแนบปาก ทำนองก็พรั่งพรูออกมาราวกับห้วยไหลจากยอดเขา หลินเยว่ซินเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติในตัวเองอย่างรุนแรง นางเบิกตากว้
บทที่ 86 ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาถึง…. ฤดูแห่งการเริ่มต้นใหม่ที่คนทั้งหลวงมักเฝ้ารอ ทว่าในจวนกั๋วกงปีนี้กลับไม่เหมือนเดิม ก่อนถึงวันตรุษจีน ข่าวอื้อฉาวและความขัดแย้งแพร่ไปทั่ว จวนซึ่งควรจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลับเงียบสนิทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ ข่าวอื้อฉาวทุกหย่อมหญ้าในจวนกั๋วกง ล้วนแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง กลายเป็นหัวข้อซุบซิบประจำโต๊ะอาหารของชาวบ้าน และยังเป็นเรื่องที่เหล่าขุนนาง หยิบยกขึ้นมาล้อเลียนทุกครั้งที่พบแม่ทัพหลิน แม้ปากจะทำท่าห่วงใย แต่แท้จริงกลับคือการจงใจแทงใจดำอย่างไม่ไว้หน้า ในวังวนราชสำนัก ที่ผู้คนช่ำชองเรื่องเลียแข้งเลียขา เมื่อถึงคราวแทงข้างหลัง ก็เก่งกาจไม่แพ้ใคร ช่วงเวลานี้ นับได้ว่าหลินเทียนหยู่ตกอยู่ในห้วงขาลงอย่างแท้จริง แม้แต่คิดจะหาเรื่องใส่หลินเยว่ซิน เขายังไร้เรี่ยวแรงจะทำ และเพราะเหตุนี้เอง นางจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่พักใหญ่ … ฝ่ายฮูหยินรอง กลับเริ่มรู้สึกว่าหลินเยว่ซินผู้นี้ ช่างประหลาดยิ่งนัก ทั้งที่นางรู้ดีว่า หลินอวี้เฉิง แท้จริงคือบุตรของตนกับหวังอัน แต่ข่าวลือที่แพร่สะพัดกลับโยนความผิด ไปยังหลินอวี้ซิง เสียหมด จนหลินเทีย