“ว่าที่ลูกสะใภ้ของเรา จะให้ยืนจนเมื่อยอยู่ได้อย่างไร? ยืนมานานขนาดนี้ คงเหนื่อยไม่น้อยแล้วกระมัง” พูดจบ พระองค์ก็หันไปมองหยดเลือดสีเข้มที่ค่อยๆ ซึมออกจากต้นขาของนาง หนานกงเยี่ยนหลัวขมวดคิ้วทันที ไม่พูดอะไรสักคำ เขายื่นมือเข้าไปหยิบผงยาและผ้าพันแผลจากอกเสื้ออย่างเงียบๆ แล้วล้มเข้าไปจัดการพันแผลใ
แต่ใบหน้านางยังคงวาดรอยยิ้มใสซื่ออย่างเต็มที่ พยายามทำตัวให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ว่านางเหนื่อยแค่ไหน…! บนบัลลังก์มังกร จักรพรรดินิ่งเงียบ ดวงตาแหลมคมของเขาจ้องมองนางไม่วางตา สายตานั้นลึกจนน่าขนลุก ราวกับจะมองทะลุเข้ามาในหัวใจ แต่สิ่งที่เห็นในดวงตาของนางกลับมีเพียงความใสซื่อ
ณ หน้าท้องพระโรงอันโอ่อ่า เมื่อเห็นว่าหลินเยว่ซินยังนั่งนิ่งอยู่ในรถม้า ไม่คิดจะขยับไปไหน หนานกงเยี่ยนหลัวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ ครั้งนี้นางดูจะรู้ตัวดีแล้วว่าควรทำเช่นไร เลือกที่จะนั่งรอให้เขาลงจากรถไปก่อน แล้วค่อยก้าวลงตาม แต่ทันทีที่เห็นมือของเขายื่นมาตรงหน้า หลินเยว่ซินถึงกับนิ่งไป
หูเล็กแหลม หน้าเล็กจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู จมูกกลมๆ บ้องแบ๊ว ดูงุนงงราวกับยังตั้งสติไม่ทัน หัวเล็กๆ เอียงนิดๆ อย่างสงสัย ดูเหมือนว่ามันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ‘นางเป็นใครกันแน่’ ดวงตาคู่นั้น หนึ่งทอง หนึ่งเงิน กำลังจ้องดวงตาสีม่วงของหลินเยว่ซินอย่างไม่กะพริบ เต็มไปด้วยความใคร่รู้และความสงสัยปะปนกัน
“ขะ ขะ ข้า ข้าจะรู้ได้ยังไงเล่า! นี่มันเกี้ยวของเจ้า ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย! ใครจะไปรู้ว่า นอกจากจื่อจู่น้อยแล้ว เจ้ายังเลี้ยงอะไรแปลกๆ อีกหรือไม่!” บนโต๊ะด้านข้าง กินเลนน้อยตัวม่วงที่กำลังกอดขนมถั่วแดงไว้ในอุ้งเท้าทั้งสองข้าง โดนลูกหลงเข้าไปเต็มๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันหันขวับมา จ้องนางเขม็งด้วยดวง
ในมือที่กำลังถือปิ่นทองอยู่ถึงกับสั่นจนเครื่องประดับสั่นไหวไปทั้งชิ้น หลินเยว่ซินมองนางผ่านกระจกเงา ก่อนจะกระตุกมุมปากอย่างอดรนทนไม่ได้ “เสี่ยวถิง เจ้าจะให้ข้าสวมเครื่องในตู้ทั้งหมดเลยไหม เอามาหมดเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเลือกแล้ว!” เสี่ยวถิงถึงกับหน้าเจื่อน ในมือนางยังถือปิ่นทองอยู่ ทำท่าทางจะลอ