“อื้มมม” อี้หมิงกอดอกลูบคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด เธอจะไม่ยอมอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดหรอกนะ ดูสิสาวสมัยใหม่อย่างเธอรับไม่ได้อย่างแรงกับเสื้อผ้ามอมแมมที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ ไหนจะบ้านนี้ ไม่สิ! เรียกบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำมันแค่เพิงหลังคามุงหญ้าไว้ใช้หลบนอนแค่นั้นเอง ไม่ได้การหล่ะ ไหนๆ ก็ต้องอยู่ที่นี้ล่ะ เธอต้องคิดหาลู่ทางก่อนละกันค่อยหาวิธีกลับไปยุคที่เธอจากมา แล้วนึกในใจเอ่ยกับเจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ และให้สัญญาว่าจะดูแลแม่นางเป็นอย่างดี ๆ เธอจะไม่อธิบายเหตุผลใดๆ กับคนที่นี่ พูดไปก็ยากจะไม่มีใครเชื่อเธอ
“เอ่อ เฟิน เฟิน งั้นเธอ เอ๊ย เจ้า พา ฉะ ข่ะ ข้า ไปดูรอบ ๆ หมู่บ้านได้หรือไม่ เผื่อข้าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง” “ได้สิพี่หมิงอี้ เดี๋ยวข้าพาไปเอง รอบนี้พี่ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะไม่ปล่อยไอ้พวกอันธพาลนั่นมารังแกพี่ได้อีกแน่นอน เพราะข้ามีนี่!!” เฟิน เฟิน ยกแท่งไม้ที่มีง่ามแยกออกสองง่ามขึ้นมา “อ่ออ ยุคนี้ก็มีหนังสติ๊กด้วยแฮะ” “ข้านะกว่าจะหามาได้พี่รู้มั๊ยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยา และสมองอันชาญฉลาดของข้าเลยนะเนี่ย” สาวน้อยคุยโอ้อวด “โอเค ๆ ป่ะไปกันเถอะ” “ฮือ อะอะโอเค เจ้าพูดอะไรของเจ้ากันพี่หมิงอี้” “ช่างเถอะ ๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน” อี้หมิงดันหลังสาวน้อยให้เลิกสงสัยตน แล้วเดินตรงไปบอกผู้ที่เป็นมารดาตนในยุคนี้ก่อน “เอ่อ ทะท่าน ข้าขอออกไปเดินเล่นกับเฟิน เฟิน ซักครู่นะเดี๋ยวข้ากลับมา” “อย่าไปนะ หมิงอี้ แม่กลัว กลัวมันจะมาทำร้ายเจ้าอีก” อี้เฟินรั้งไม่อยากให้ลูกสาวนางออกไปด้านนอก กลัวโดนเจ้าพวกเด็กอันธพาลทำร้ายอีก “ให้ข้าไปเถอะนะ เผื่อข้าจะจำแะไรขึ้นมาได้บ้างไง” อี้หมิงจับมือเหี่ยวย่นอย่างขอร้อง “ท่านป้า ท่านไม่ต้องห่วงเลย เฟินเฟินมีนี่ รับรองใครหน้าไหนเข้ามาใกล้พี่หมิงอี้ไม่ได้แน่ๆ ” สาวน้อยเฟิน เฟิน ยกมือขึ้นทำท่าก๋ากั่น จนอี้หมิงอดขำออกมากับท่าทางของสาวน้อยเสียไม่ได้ “เถอะนะท่าน ให้ข้าไปเถอะ ข้าอยู่แต่ในนี้หลายวันแล้ว เบื่อจะเเย่ ข้าสัญญาจะไม่เจ็บตัวกลับมาแน่นอน ข้าจะระวังนะนะ ทะท่านแม่” อี้หมิงเอ่ยเรียกแม่ตะกุกตะกัก ด้วยยังไม่ชิน “อ่ะก็ได้ แต่พวกเจ้าระวังตัวกันด้วยนะ” อี้เฟินเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไปกันพี่หมิงอี้” สาวน้อยเฟินเฟินเมื่อได้ยินคำอนุญาติจากปากท่านป้าที่ตนเรียก ก็รีบดึงมืออี้หมิงวิ่งออกไปจากบ้านทันที ทัเงสองเดินมาตามทางที่เป็นพื้นหินเเผ่นใหญ่ที่นำมาต่อกันจนเป็นทาง เดินลัดเลาะตามคลองน้ำ ตามซอกบ้านดินโทรมๆ เหมือนบ้านที่ตนอยู่ เดินลัดเลาะไม่นานก็ปรากฎบ้านเรือนหลังใหญ่ ผู้คนเดินซื้อของไปมาอย่างคับคั่ง รถม้าเหมือนในละครที่หญิงสาวเคยดูผ่าน ๆ ในยุคปัจจุบันวิ่งผ่านหน้าไป สาวน้อย สาวใหญ่แต่งตัวสีสันฉูดฉาด ปักปิ่น ใส่ชุดจีนโบราณ เรียกว่าอะไรนะ“ฮั่นฝู” อี้หมิงอุทานออกมา
“พี่ว่าอะไรนะ” เฟินเฟินที่ได้ยินไม่ถนัด หันมาถามอี้หมิง
“เปล่า ทำไมที่นี่คนเยอะจัง ต่างจากที่ของเราเป็นไหน ๆ ผู้คนก็แต่งตัวสวยงามดูดีทั้งผู้หญิง ผู้ชายเลย”
“ตรงนี้คือถนนใหญ่ของแคว้นต้าหลี่ เจ้าเห็นนั่นมั๊ย”
อี้หมิงมองตามนิ้วที่เฟินเฟินชี้
“คนนั้นคือ สาวงามล่มเมืองต้าหลี่ ชื่อ เจ้าหลี่เหมย ดูนางมาเดินเลือกของแต่ละทีสาวใช้ตามเป็นขบวน นางเป็นลูกขุนนางใหญ่ของแคว้น สวยใช่ม่ะ ข้าก็อิจฉาเหมือนกันอยากใส่ชุดแบบนางบ้าง” เฟินเฟินพูดเสียงละห้อย
อี้หมิงก้มมองดูชุดที่ตนสวมกับมองสาวเจ้านาม หลี่เหมย ก็ส่ายหน้ากับตัวเอง ฉันจะไม่ยอมใส่ชุดมอมแมมนี้ไปตลอดหรอกนะ ฮึ่ยย! คิดคนเดียวในใจอย่างหมายมาด
“ท่านหญิง ข้าขอเบี้ยหน่อยเถิด ท่านหญิงคนงาม ข้าหิวเหลือเกิน” ชายแก่คนหนึ่งเดินมาคุกเข่าต่อหน้าหญิงงาม
“หลี่เหมยชะงักกับชายตรงหน้า นางกำลังจะต่อว่าพลันนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าชาวบ้านมากมาย”
“หลีกไปนะ เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าหาขัดความเพลิดเพลินของคุณหนูข้า ไป หลบไปให้พ้น” เสียงสาวใช้ข้างกายหลี่เหมยตวาดชายแก่ ทำให้เป็นที่สนใจของชาวเมืองที่กำลังจับจ่ายใช้สอยอยู่
หลี่เหมยเห็นดังนั้นจึงแสร้งหันไปหาสาวใช้ “ฟ่านอิง หยุดเถอะ” แล้วแบมือไปด้านหน้า โดยไม่เอ่ยอะไร
ด้านสาวใช้เมื่อเห็นสัญญาณมือจากนายสาวก็รู้ทันทีล้วงลงไปในถุงปักลายสวยอย่างเลี่ยงไม่ได้ หยิบเงินออกมา 1 ตำลึงเงิน
แล้ววางบนมือเรียว
“นี่ ข้าให้ ข้าไปได้รึยัง”
“แฮะ แฮะ ขอบพระคุณคุณหนู” ชายสูงวัยก้มลงคำนับบนพื้น พลันเกิดเสียงซุบซิบจากชาวเมืองที่เดินจับจ่ายซื้อของเซ็งแซ่ ชื่นชมในความงามและใจบุญของคุณหนูเหมยหลี่ หลายเสียงต่างบอกว่าไม่แปลกที่โดนวางเป็นตัวเต็งว่าที่พระชายาขององรัชทายาทผู้งดงามของแคว้นต้าหลี่
“โอ้โห พี่หมิงอี้ เห็นรึไม่ 1 ตำลึงเงินเลยนะ ตาแก่นั่นช่างโชคดีเสียจริงเชียว”
“ป่ะ เฟิน เฟิน ไปต่อกันเถอะ” อี้หมิงเอ่ยชวนสาวน้อย
“ได้ ๆ นั่น ๆ วังหลวง”
“โอ้โหว เฟิน เฟิน ใหญ่มากเลย สวยมากด้วย โอ๊ะนั่นทหาร ทหารจริง ๆ เฮ้ย!”
อี้หมิงอุทานด้วยความตกใจที่เกือบจะโดนม้าตาย ถ้าเฟินเฟิน ไม่ดึงออกมาซะก่อน จะรีบไปไหนกัน มองตามอาชาสีดำเมี่ยมที่มีชายแต่งกายแปลกตาควบเร็ววิ่งเข้าราชวังที่เฟิน เฟินชี้ให้ดูเมื่อครู่
“เกือบแล้วมั๊ยละพี่หมิงอี้ พู่วว”
~ผักสวย ผักสวย จากสวน ใหม่ๆ ทางนี้จ้า ทางนี้ แม่นาง คุณหนูๆ แวะดูก่อนจ๊ะ ผักสวย ๆ แฮะ ๆ มา ๆ ดูก่อน~
~เหล่าป่าย กำเท่าไหร่~ เสียงชายกำยำเอ่ยถาม
~ไม่แพง ๆ ทนายท่าน ๆ กำนี้ลดแล้ว 5 เหวิน (อิแปะ) ~ เจ้าของร้านยกนิ้ว 5 นิ้วบอก
~ทำไมแพงจังนะฮ่ะ เมื่อวานเมียข้ามาซื้อ 2 เหวินเองมิใช่รึ~
~แฮะผักปลูกยากนะท่าน น้ำท่าก็ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ไหนจะโรคระบาด ไหนจะแมลงอีก ฝนก็ไม่ตก แค่นี้ถือว่าถูกแล้วนะท่านจ๊ะ แฮะๆ ไม่ซื้อไม่เป็นไรจ๊ะ~
~เอ้า! เอาก็เอา มากำนึง~
~ขอบคุณจ้า ไว้มาซื้ออีกนะ~
โหวววว อี้หมิงตาลุกวาว เอ่ยถามเฟิน เฟินอย่างตื่นเต้น
“เฟิน เฟิน 5 เหวินนี่แพงมั๊ย”
“แพงสิพี่หมิงอี้ นั่นเกือบเท่าราคาเนื้อเลยนะ”
“จริงอ่ะ”
“อื้อ” เฟินเฟินพยักหน้ารับ
“ดี ดี เลย!!”
~ซ่าาาา~
“อ๊ะ เฮ้ยอะไรว่ะ” อี้หมิงอุทานอย่างตกใจ
“หลบไปเจ้าพวกขอทานมอมแมม อย่ามาขวางหน้าร้านข้า ประเดี๋ยวลูกค้าข้าหนีหมด ไป ไป ชิ้ว ชิ้ว”
“เฮอะ!!” อี้หมิงเท้าสะเอวอย่างขบเขี้ยว ตอนนี้ตัวเธอเปียกไปทั้งตัว จากเจ้าพ่อค้าผักที่สาดน้ำมาใส่
~อ่ะ ยังไม่ไปอีก เฮ้ยพวกแกไปไล่สิว่ะ!~ ชายอ้วนตะโกนบอกลูกน้องที่กำลังขนผักขึ้นใส่ลังไม้
“เฮ้ยพี่ วิ่งเร็ว!!”
เฟิน เฟิน ดึงแขนร่างบางให้ออกวิ่ง ไม่งั้นมีหวังโดนตีอีกแน่แน่ ๆ อี้หมิงสับเท้าวิ่งตามแรงลากของเฟินทเฟินอย่างเสียไม่ได้
พร้อมเข็ญเขี้ยวลงบัญชีดำตาแก่อ้วนร้านผักไว้ในใจ อย่าให้ข้ารวยนะข้าจะเปิดร้านใหญ่ ๆ เอาให้เจ้าขายผักไม่ได้เลยคอยดู ไอ้เจ้าตาแก่อ้วนเอ๊ยย!!! อี้หมิงสบถคนเดียวในใจ
……………..
เจ็ดวันต่อมาหลังจากคดีความเสร็จสิ้นลง บัดนี้ร้านเทียนฝูกลับมาเปิดตามปกติซึ่งแน่นอนว่ามันคึกคักเกือบเท่าตัว ผักของนางที่สร้างขึ้นมากับมือต่างขายดีเป็นอย่างมากทำให้เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณฝั่งหมู่บ้านคนอพยพคึกคักเป็นพิเศษ เฉิงอี้ที่เห็นหมิงอี้ยืนเหม่อมองบรรยากาศร้านอยู่ก็รีบสืบเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็วด้วยความคะนึงถึง“หมิงอี้”“อ้าวเฉิงอี้”“ยินดีกับเจ้าที่สามารถกลับมาเปิดร้านได้เช่นเดิม ดูคึกคักทีเดียว”“อืม ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้า”“หึ! เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าสำหรับข้าเจ้านั้น...”“แน่นอนสหายเช่นข้า ทั้งงดงามทั้งเป็นคนดี ชาตินี้เจ้าจะไปหาจากที่ใดใช่หรือไม่” หมิงอี้พอเดาออกว่าเฉิงอี้จะกล่าวเช่นไร เรื่องนี้หมิงอี้นั้นนอนคิดมาตลอดทั้งคืนหลังจากก่อนจากกันที่ศาลต้าหลี่วันนั้นระหว่างนั่งรถม้ากลับเฉิงอี้ได้สารภาพความในใจกับตน แต่หมิงอี้นั้นคิดว่าเรื่องนี้เช่นไรย่อมต้องไม่เกิด หมิงอี้นั้นเมื่อทบทวนตัวเองพบว่านางอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายกับมารดาและสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน มิได้อยากมียศมีตำแหน่งและต่อสู้แย่งชิงกับสตรีอื่นใดเฉิงอี้ครั้นได้ฟังหมิงอี้กล่าวก็พอรู้ความนัย ใบหน้าคมคายหล่อเหลาราวหยกสลักก
‘พิษปรอทหรือ! ละแล้วที่ข้ากินไปเล่า’ กู้ไห่ซินครางในใจ เมื่อคืนพวกตนจัดงานเลี้ยงให้กับกิจการที่ไปได้ดีโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำจึงคิดจะลองชิมมันซักครั้ง และตนนั้นกินไปมากทีเดียว ครั้นคิดถึงตรงนี้พลันก็เกิดอาการคอแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิอาจอดกลั้นได้ ทำให้เขานั้นต้องรีบวิ่งออกมายังด้านนอกแล้วล้วงคออ้วกออกมาในทันที ซึ่งไม่ต่างกันกับเฉินอ๋องที่พยายามเก็บอาการพะอืดพะอมภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง“เอาล่ะเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง วันนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้!” เหวินกงมู่หน้าซีดเพราะเมื่อคืนตนนั้นก็คิดพิเรนทร์กินกันไปเสียมาก จนเมื่อรู้ต้นตอสาเหตุที่ทำให้ชาวเมืองป่วยในเวลานี้เขานั้นก็อดที่จะเหงื่อตกเสียมิได้ เหวินกงมู่บัดนี้มือชื่นเหงื่อไปเสียหมดหากแต่เขานั้นพยายามเก็บอาการไว้และเร่งตัดสินคดีตรงหน้าแบบขอไปทีเพื่อที่ตนนั้นจะรีบไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย ‘ไม่ได้พึ่งได้เงินก้อนใหญ่มาจะมาชิงตายก่อนได้อย่างไรกัน’ ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะตัดสินคดีนี้อย่างไรเสียงหวานของสตรีที่กำลังถูกพิพากษาอยู่ในเวลานี้ก็ทำให้เขาสะดุ้งน้อย ๆ จนจำใจต้องแก้ไขสถานการณ์ไปก่อน“เช่นไรท่านเจ้ากรมหลักฐานข้ามากมายแลครบถ้วนถึงเพียงนี้ ท
สิ้นเสียงเอ่ยอนุญาตก็ปรากฏร่างสูงปราดเปรียวใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาไร้อารมณ์ขึ้น เขาเดินเข้ามาอย่างองอาจ ท่าทางหยิ่งผยองของเขานั้นสร้างเสียงฮือฮาให้แก่ชาวเมืองเป็นอย่างมาก และยิ่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นไปอีกเมื่อด้านหลังเขานั้นมีเหล่าบุรุษเพศร่างกายผอมกะหร่องดูราวกับคนขี้โรคราวสิบคนเดินเรียงแถวตามหลังกันเข้าไปยังด้านในศ่าลต้าหลี่“นี่หนะหรือพยานที่เจ้าว่า” กู้ไห่ซินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง เขาหรือก็นึกว่านางจะแน่นึกว่าหลักฐานที่นางว่าจะสร้างปัญหาให้เขาซะอีก“ท่านเสนาบดีอย่าได้พึ่งดีใจไป ลองฟังข้าก่อนสิเจ้าค่ะ” หมิงอี้แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะเชิดหน้ากอดอกเอ่ยออกมาอย่างมิได้นึกหวั่นกลัวแต่อย่างใด เอาสิข้าตายแล้วฟื้นแถมย้อนเวลาวันนี้จะไม่ยอมเสียชาติเกิด และเกิดแล้วตาย ตายแล้วฟื้นอย่างเด็ดขาด หึ!“ฮึ ๆ” กู้ไห่ซินลูบเครายาวพร้อมทั้งยิ้มเต็มหน้าอย่างยียวน ก่อนจะละมือจากเครายาวที่กำลังลูบอยู่ก่อนจะผายมือให้นางได้ชี้แจงตัวเองให้เต็มที่ เช่นไรเขานั้นก็ย่อมมีทางหนีทีไร่ ก็แค่ตอบไปว่าเป็นผักที่ซื้อจากร้านของนาง หึ!“ท่านเจ้ากรมคนตรงหน้าท่านในเวลานี้ล้วนเป็นคนงานจากไร่ของตระกูลกู้ ไร่ที่ท่านใช้ปลูกผั
เสียงกลองร้องทุกข์หน้าศาลต้าหลี่ดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เหวินกงมู่รีบวิ่งออกมาดูด้วยอารามตกใจและมีอารมณ์นักด้วยเวลานี้ยังเช้าตรู่ และแน่นอนว่าวันนี้ตนเองนั้นไม่มีงานที่จะต้องสะสาง คดีใหญ่ก็ยังไม่ถึงวันที่จะตัดสินเช่นนั้นค่ำคืนที่ผ่านมาของเขาจึงเป็นดั่งคืนวสันต์เพราะเขาถูกเชิญไปสังสรรค์ในงานลี้ยงอันหรูหราที่ข้าราชการหลายคนใฝ่ฝันอยากไปซักครั้งที่จวนเฉินอ๋องร่างอวบค่อนไปทางเจ้าเนื้อเร่งฝีเท้าวิ่งทั้ง ๆ ที่ยังสวมชุดขุนนางยังไม่เรียบร้อยดี ด้านหลังนั้นมีสาวน้อยหน้าตาหมดจรดหลายนางวิ่งถืออาภรณ์ตามมาติด ๆ แต่ครั้นใกล้ถึงศาลาว่าการท่าทางเขากลับแปรเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน เหวินกงมู่เปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นนิ่งสุขุม ก่อนจะยืนนิ่งให้สาวใช้ปรนนิบัติจัดแต่งอาภรณ์ให้เข้าที่ เพียงอึดใจเดียวเขานั้นก็ดูวางมาดผู้ว่าการศาลต้าหลี่ที่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามและน่าเคารพเลื่อมใสในสายตาของชาวเมืองเสียแล้ว‘หึ! ท่าทางเช่นนี้แน่นอนว่าเขานั้นตลอดหลายปีมานี้แสดงเสียจนชิน’ปึก!“เป็นผู้ใดมาตีกลองร้องเรียนแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เงียบ!”แท่นหมึกถูกเหวินกงมู่วางลงกระทบโต๊ะแท่นตัดสินคดีความอย่างแรงจนหมิงอี้เองถึงกลับชะงัก ส่วนผู้ค
รถม้าวิ่งลิ่วจากร้านเทียนฝูแต่เช้าตรู่นั้นสร้างความแปลกใจให้แก่มารดาแลสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน เป็นอย่างมาก“นั่นหมิงอี้หรอ นางไปไหนกันช่างดูเร่งรีบนัก” อี้เฟินออกมาทันได้เห็นหลังบุตรสาวไว ๆ แต่ครั้นเรียกนางก็ขึ้นนั่งบนรถม้าไปเสียแล้ว“ไม้รู้เช่นกัน นางมิได้บอกอันใดเลยท่านป้า/ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้บอกข้าเช่นกัน” ทั้งสามมองตามหลังรถม้าด้วยแววตาเป็นห่วง ในใจรู้สึกร้อนรนจนอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน ต้องเอ่ยปากว่าพวกตนนั้นจะเร่งตามไป เพราะมองสีหน้าป้าอี้เฟินก็รับรู้ได้ทันทีว่าท่านป้านั้นไม่สบายใจ ยิ่งช่วงนี้อยู่ในระหว่างสืบหาหลักฐานก็ยิ่งต้องระแวดระวังให้มากยู้ววววเสียงรถม้าจอดที่หน้าเรือนหลังใหญ่ที่ปลูกแยกออกมาอย่างเงียบสงบในย่านของชนชั้นสูงของราชวงศ์ หมิงอี้เร่งเดินลงจากรถม้าทันทีที่ล้อรถหยุดลง“เชิญขอรับ” ทหารยามเปิดทางให้หมิงอี้เข้าไปโดยง่ายโดยมิได้ไถ่ถามแต่อย่างใด ซึ่งนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่หมิงอี้อยู่มิน้อย เหตุใดการรักษาความปลอดภัยขององค์รัชทายาทถึงได้หละหลวมเช่นนี้ หรือรู้จักนางเช่นนั้นหรือ แต่หากว่ารู้จักทหารยามแน่นอนว่าย่อมมิเคยเห็นนางแต่เหตุใดถึงให้ผ่านเข้ามาโดยง่ายหมิงอี้ครุ่นคิด
หานเย่รู้สึกไม่ชอบใจกับเจ้าสหายตัวใหญ่ที่บอกกล่าวแก่สตรีตรงหน้าราวตนเป็นขยะเปียกที่เก็บมาเผื่อมีประโยชน์เสียอย่างนั้น แต่กระนั้นก็จำต้องสงบใจเพราะเจ้านี่รับประกันว่าหากติดตามเขามาจะให้งานแลที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าหมิงอี้มองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะสวมใส่ถุงมือผ้า นางส่ายศีรษะเพียงเล็กน้อยกับอู๋ไป๋ จากนั้นจึงค่อย ๆ หยิบเอาดินที่อู๋ไป๋เก็บมาค่อย ๆ พินิจ“ดินสีเทาออกค่อนไปทางสีดำ อีกทั้งกลิ่นยังฉุนเช่นนี้ อู๋ไป๋ที่ตรงนั้นนอกจากดินเช่นนี้แล้วมีดิน เอ่อสีอื่นรึไม่”“อืม มีนะ เท่าที่ข้าเห็นมีเพียงดินที่ใช้ปลูกผักสลัดพวกนั้นที่มีกลิ่นฉุนและสีเช่นนี้ คิดแล้วก็ช่างน่าประหลาดทั้ง ๆ ที่ตรงนั้นเป็นดินทรายร่วนแท้ ๆ เหตุใดถึงได้มีดินประเภทนี้อยู่กันล่ะ เจ้าหานเย่! เจ้ารู้รึไม่”“ข้าย่อมรู้แน่ก่อนหน้านี้เดือนก่อนกระมัง เจ้าของที่สั่งให้คนงานไปขนดินจากในป่าตรงเขาสมุนไพร ขนมามากทีเดียวว่ากันว่าเป็นดินดีปลูกอะไรก็งามอย่างอัศจรรย์นัก และภูเขานั้นบัดนี้มีคนของทางการปิดล้อมไปแล้วชาวบ้านที่พอรู้เรื่องก็หาเข้าไปเก็บสมุนไพรเฉกเช่นเดิมได้ไม่” หานเย่เอ่ยในสิ่งที่ตนพอรู้และจากที่ชาวบ้านที่เข้ามาเป็นคนงานเช่นกันกับ