“อื้มมม” อี้หมิงกอดอกลูบคางตัวเองไปมาอย่างใช้ความคิด เธอจะไม่ยอมอยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดหรอกนะ ดูสิสาวสมัยใหม่อย่างเธอรับไม่ได้อย่างแรงกับเสื้อผ้ามอมแมมที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ ไหนจะบ้านนี้ ไม่สิ! เรียกบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำมันแค่เพิงหลังคามุงหญ้าไว้ใช้หลบนอนแค่นั้นเอง ไม่ได้การหล่ะ ไหนๆ ก็ต้องอยู่ที่นี้ล่ะ เธอต้องคิดหาลู่ทางก่อนละกันค่อยหาวิธีกลับไปยุคที่เธอจากมา แล้วนึกในใจเอ่ยกับเจ้าของร่างที่เธออาศัยอยู่ และให้สัญญาว่าจะดูแลแม่นางเป็นอย่างดี ๆ เธอจะไม่อธิบายเหตุผลใดๆ กับคนที่นี่ พูดไปก็ยากจะไม่มีใครเชื่อเธอ
“เอ่อ เฟิน เฟิน งั้นเธอ เอ๊ย เจ้า พา ฉะ ข่ะ ข้า ไปดูรอบ ๆ หมู่บ้านได้หรือไม่ เผื่อข้าจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง” “ได้สิพี่หมิงอี้ เดี๋ยวข้าพาไปเอง รอบนี้พี่ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะไม่ปล่อยไอ้พวกอันธพาลนั่นมารังแกพี่ได้อีกแน่นอน เพราะข้ามีนี่!!” เฟิน เฟิน ยกแท่งไม้ที่มีง่ามแยกออกสองง่ามขึ้นมา “อ่ออ ยุคนี้ก็มีหนังสติ๊กด้วยแฮะ” “ข้านะกว่าจะหามาได้พี่รู้มั๊ยต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยา และสมองอันชาญฉลาดของข้าเลยนะเนี่ย” สาวน้อยคุยโอ้อวด “โอเค ๆ ป่ะไปกันเถอะ” “ฮือ อะอะโอเค เจ้าพูดอะไรของเจ้ากันพี่หมิงอี้” “ช่างเถอะ ๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน” อี้หมิงดันหลังสาวน้อยให้เลิกสงสัยตน แล้วเดินตรงไปบอกผู้ที่เป็นมารดาตนในยุคนี้ก่อน “เอ่อ ทะท่าน ข้าขอออกไปเดินเล่นกับเฟิน เฟิน ซักครู่นะเดี๋ยวข้ากลับมา” “อย่าไปนะ หมิงอี้ แม่กลัว กลัวมันจะมาทำร้ายเจ้าอีก” อี้เฟินรั้งไม่อยากให้ลูกสาวนางออกไปด้านนอก กลัวโดนเจ้าพวกเด็กอันธพาลทำร้ายอีก “ให้ข้าไปเถอะนะ เผื่อข้าจะจำแะไรขึ้นมาได้บ้างไง” อี้หมิงจับมือเหี่ยวย่นอย่างขอร้อง “ท่านป้า ท่านไม่ต้องห่วงเลย เฟินเฟินมีนี่ รับรองใครหน้าไหนเข้ามาใกล้พี่หมิงอี้ไม่ได้แน่ๆ ” สาวน้อยเฟิน เฟิน ยกมือขึ้นทำท่าก๋ากั่น จนอี้หมิงอดขำออกมากับท่าทางของสาวน้อยเสียไม่ได้ “เถอะนะท่าน ให้ข้าไปเถอะ ข้าอยู่แต่ในนี้หลายวันแล้ว เบื่อจะเเย่ ข้าสัญญาจะไม่เจ็บตัวกลับมาแน่นอน ข้าจะระวังนะนะ ทะท่านแม่” อี้หมิงเอ่ยเรียกแม่ตะกุกตะกัก ด้วยยังไม่ชิน “อ่ะก็ได้ แต่พวกเจ้าระวังตัวกันด้วยนะ” อี้เฟินเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ไปกันพี่หมิงอี้” สาวน้อยเฟินเฟินเมื่อได้ยินคำอนุญาติจากปากท่านป้าที่ตนเรียก ก็รีบดึงมืออี้หมิงวิ่งออกไปจากบ้านทันที ทัเงสองเดินมาตามทางที่เป็นพื้นหินเเผ่นใหญ่ที่นำมาต่อกันจนเป็นทาง เดินลัดเลาะตามคลองน้ำ ตามซอกบ้านดินโทรมๆ เหมือนบ้านที่ตนอยู่ เดินลัดเลาะไม่นานก็ปรากฎบ้านเรือนหลังใหญ่ ผู้คนเดินซื้อของไปมาอย่างคับคั่ง รถม้าเหมือนในละครที่หญิงสาวเคยดูผ่าน ๆ ในยุคปัจจุบันวิ่งผ่านหน้าไป สาวน้อย สาวใหญ่แต่งตัวสีสันฉูดฉาด ปักปิ่น ใส่ชุดจีนโบราณ เรียกว่าอะไรนะ“ฮั่นฝู” อี้หมิงอุทานออกมา
“พี่ว่าอะไรนะ” เฟินเฟินที่ได้ยินไม่ถนัด หันมาถามอี้หมิง
“เปล่า ทำไมที่นี่คนเยอะจัง ต่างจากที่ของเราเป็นไหน ๆ ผู้คนก็แต่งตัวสวยงามดูดีทั้งผู้หญิง ผู้ชายเลย”
“ตรงนี้คือถนนใหญ่ของแคว้นต้าหลี่ เจ้าเห็นนั่นมั๊ย”
อี้หมิงมองตามนิ้วที่เฟินเฟินชี้
“คนนั้นคือ สาวงามล่มเมืองต้าหลี่ ชื่อ เจ้าหลี่เหมย ดูนางมาเดินเลือกของแต่ละทีสาวใช้ตามเป็นขบวน นางเป็นลูกขุนนางใหญ่ของแคว้น สวยใช่ม่ะ ข้าก็อิจฉาเหมือนกันอยากใส่ชุดแบบนางบ้าง” เฟินเฟินพูดเสียงละห้อย
อี้หมิงก้มมองดูชุดที่ตนสวมกับมองสาวเจ้านาม หลี่เหมย ก็ส่ายหน้ากับตัวเอง ฉันจะไม่ยอมใส่ชุดมอมแมมนี้ไปตลอดหรอกนะ ฮึ่ยย! คิดคนเดียวในใจอย่างหมายมาด
“ท่านหญิง ข้าขอเบี้ยหน่อยเถิด ท่านหญิงคนงาม ข้าหิวเหลือเกิน” ชายแก่คนหนึ่งเดินมาคุกเข่าต่อหน้าหญิงงาม
“หลี่เหมยชะงักกับชายตรงหน้า นางกำลังจะต่อว่าพลันนึกได้ว่าอยู่ต่อหน้าชาวบ้านมากมาย”
“หลีกไปนะ เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อย่าหาขัดความเพลิดเพลินของคุณหนูข้า ไป หลบไปให้พ้น” เสียงสาวใช้ข้างกายหลี่เหมยตวาดชายแก่ ทำให้เป็นที่สนใจของชาวเมืองที่กำลังจับจ่ายใช้สอยอยู่
หลี่เหมยเห็นดังนั้นจึงแสร้งหันไปหาสาวใช้ “ฟ่านอิง หยุดเถอะ” แล้วแบมือไปด้านหน้า โดยไม่เอ่ยอะไร
ด้านสาวใช้เมื่อเห็นสัญญาณมือจากนายสาวก็รู้ทันทีล้วงลงไปในถุงปักลายสวยอย่างเลี่ยงไม่ได้ หยิบเงินออกมา 1 ตำลึงเงิน
แล้ววางบนมือเรียว
“นี่ ข้าให้ ข้าไปได้รึยัง”
“แฮะ แฮะ ขอบพระคุณคุณหนู” ชายสูงวัยก้มลงคำนับบนพื้น พลันเกิดเสียงซุบซิบจากชาวเมืองที่เดินจับจ่ายซื้อของเซ็งแซ่ ชื่นชมในความงามและใจบุญของคุณหนูเหมยหลี่ หลายเสียงต่างบอกว่าไม่แปลกที่โดนวางเป็นตัวเต็งว่าที่พระชายาขององรัชทายาทผู้งดงามของแคว้นต้าหลี่
“โอ้โห พี่หมิงอี้ เห็นรึไม่ 1 ตำลึงเงินเลยนะ ตาแก่นั่นช่างโชคดีเสียจริงเชียว”
“ป่ะ เฟิน เฟิน ไปต่อกันเถอะ” อี้หมิงเอ่ยชวนสาวน้อย
“ได้ ๆ นั่น ๆ วังหลวง”
“โอ้โหว เฟิน เฟิน ใหญ่มากเลย สวยมากด้วย โอ๊ะนั่นทหาร ทหารจริง ๆ เฮ้ย!”
อี้หมิงอุทานด้วยความตกใจที่เกือบจะโดนม้าตาย ถ้าเฟินเฟิน ไม่ดึงออกมาซะก่อน จะรีบไปไหนกัน มองตามอาชาสีดำเมี่ยมที่มีชายแต่งกายแปลกตาควบเร็ววิ่งเข้าราชวังที่เฟิน เฟินชี้ให้ดูเมื่อครู่
“เกือบแล้วมั๊ยละพี่หมิงอี้ พู่วว”
~ผักสวย ผักสวย จากสวน ใหม่ๆ ทางนี้จ้า ทางนี้ แม่นาง คุณหนูๆ แวะดูก่อนจ๊ะ ผักสวย ๆ แฮะ ๆ มา ๆ ดูก่อน~
~เหล่าป่าย กำเท่าไหร่~ เสียงชายกำยำเอ่ยถาม
~ไม่แพง ๆ ทนายท่าน ๆ กำนี้ลดแล้ว 5 เหวิน (อิแปะ) ~ เจ้าของร้านยกนิ้ว 5 นิ้วบอก
~ทำไมแพงจังนะฮ่ะ เมื่อวานเมียข้ามาซื้อ 2 เหวินเองมิใช่รึ~
~แฮะผักปลูกยากนะท่าน น้ำท่าก็ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ไหนจะโรคระบาด ไหนจะแมลงอีก ฝนก็ไม่ตก แค่นี้ถือว่าถูกแล้วนะท่านจ๊ะ แฮะๆ ไม่ซื้อไม่เป็นไรจ๊ะ~
~เอ้า! เอาก็เอา มากำนึง~
~ขอบคุณจ้า ไว้มาซื้ออีกนะ~
โหวววว อี้หมิงตาลุกวาว เอ่ยถามเฟิน เฟินอย่างตื่นเต้น
“เฟิน เฟิน 5 เหวินนี่แพงมั๊ย”
“แพงสิพี่หมิงอี้ นั่นเกือบเท่าราคาเนื้อเลยนะ”
“จริงอ่ะ”
“อื้อ” เฟินเฟินพยักหน้ารับ
“ดี ดี เลย!!”
~ซ่าาาา~
“อ๊ะ เฮ้ยอะไรว่ะ” อี้หมิงอุทานอย่างตกใจ
“หลบไปเจ้าพวกขอทานมอมแมม อย่ามาขวางหน้าร้านข้า ประเดี๋ยวลูกค้าข้าหนีหมด ไป ไป ชิ้ว ชิ้ว”
“เฮอะ!!” อี้หมิงเท้าสะเอวอย่างขบเขี้ยว ตอนนี้ตัวเธอเปียกไปทั้งตัว จากเจ้าพ่อค้าผักที่สาดน้ำมาใส่
~อ่ะ ยังไม่ไปอีก เฮ้ยพวกแกไปไล่สิว่ะ!~ ชายอ้วนตะโกนบอกลูกน้องที่กำลังขนผักขึ้นใส่ลังไม้
“เฮ้ยพี่ วิ่งเร็ว!!”
เฟิน เฟิน ดึงแขนร่างบางให้ออกวิ่ง ไม่งั้นมีหวังโดนตีอีกแน่แน่ ๆ อี้หมิงสับเท้าวิ่งตามแรงลากของเฟินทเฟินอย่างเสียไม่ได้
พร้อมเข็ญเขี้ยวลงบัญชีดำตาแก่อ้วนร้านผักไว้ในใจ อย่าให้ข้ารวยนะข้าจะเปิดร้านใหญ่ ๆ เอาให้เจ้าขายผักไม่ได้เลยคอยดู ไอ้เจ้าตาแก่อ้วนเอ๊ยย!!! อี้หมิงสบถคนเดียวในใจ
……………..
“หมิงอี้ ไม้ไผ่ที่เจ้าต้องการ ตอนนี้ตัดได้ครบตามจำนวนตามที่สั่งแล้วล่ะ” อู๋ไป๋รีบเดินปรี่เข้ามารายงานหมิงอี้ในทันทีที่ทำงานลุล่วงตามที่หมิงอี้สั่งไว้ ด้วยสภาพที่โชกไปด้วยเหงื่อแต่ก็ทำเพียงใช้หลังมือเช็ดออกเพียงเท่านั้น โดยที่เจ้าตัวนั้นมิได้สนใจที่จะใช้ผ้าเช็ดออกแต่อย่างใดภาพของอู๋ไป๋ตรงหน้านางในเวลานี้ทำให้หมิงอี้ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ พร้อมทั้งยื่นน้ำเย็นชื่นใจเพื่อเป็นการขอบคุณอยู๋ในที“ครบแล้วเช่นนั้นพวกเราก็เดินทางกลับกันเถิด เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน เฮ้อชินอีหากมีเวลามากกว่านี้ข้าเองก็ยังอยากว่ายน้ำในลำธารนั่นอีกอยู่ดี” หมิงอี้อดที่จะเอ่ยออกมาอย่างนึกเสียดายเสียมิได้ แต่ภาระงานข้างหน้ายังรออยู่อีกอย่างในใจก็ยังเป็นห่วงมารดาอยู่มากจึงเร่งเดินทางกลับในทันที“โธ่ นายหญิงน้ำเย็นเพียงนั้นชินอีล่ะไม่เห็นว่าจะน่าภิรมย์เลยเจ้าค่ะ”“ก็เจ้าไม่ชอบอาบน้ำนี่นา เจ้าไม่เข้าใจหรอกชิ ไปเถอะ ๆ ” หมิงอี้เอ่ยพร้อมทั้งเร่งเดินตามขบวนคนงานเพื่อมุ่งออกจากป่าตรงกลับหมู่บ้านคนอพยพของตนคล้อยหลังเหล่าขบวนขนไม้ของหมิงอี้ เฉิงอี้ที่ซ่อนกายเพื่อซุ่มดูมาครู่ใหญ่ก็ได้เผยตนออกมา พร้อมทั้งหันไปสั่งราชองครักษ์คนสนิ
เฉิงอี้ไม่ปล่อยให้ถูกความใครรู้ครอบงำ เขาค่อย ๆ ขยับกายอย่างแผ่วเบาย่องเข้าไปประชิดหลบหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้ริมธารน้ำ ทันทีที่แลเห็นใบหน้าหญิงงามที่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามวางกลอุบายหวังลวงหลอกตนเข้า ฉับพลับใบหน้าคมคายหล่อยเหลาพลันแดงก่ำ ก่อนครู่ต่อมาจะกัดฟันกรอดหันไปสั่งองครักษ์ของตนอย่างรวดเร็วให้รีบหันหน้ากลับไป“บัดซบ เย่หลาง!หยุดตรงนั้นแล้วหันกลับไปซะ!”“....เอ่อ พะย่ะค่ะ” เย่หลางที่กำลังเตรียมเคลื่อนตัวตามผู้เป็นนายพลันชะงักเท้ากึก แล้วหันไปอย่างรวดเร็วในใจสับสนแลสังสัยอยู่มิน้อยกับคำสั่งกะทันหันของผู้เป็นนายเฉิงอี้หลังออกคำสั่งแล้วเสร็จ แต่ทว่าตนนั้นกลับขยับเท้าเข้าใกล้ริมลำธารอย่างเผลอไผล ภาพสตรีเรือนร่างขาวกระจ่างยวนตาท่ามกลางแสงจันทร์รำไรที่ตกกระทบกับสายน้ำจนเกิดเป็นแสงระยิบระยับขึ้น ทำให้ภาพหมิงอี้เวลานี้ที่เขามองซุ่มดูอยู่นั้นดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์ก็มิปาน“นายหญิงขึ้นมาได้แล้วเจ้าค่ะ อากาศเริ่มเย็นมากแล้วเดี๋ยวไม่สบายเอานะเจ้าคะ อีกอย่าง ...เอ่อ แถวนี้น่ากลัวพิลึก นายหญิงขึ้นเถอะเจ้าค่ะ”ชินอีที่เริ่มกลัวขึ้นมาเมื่อบรรยากาศโดยรอบถูกปกคลุมด้วยความมืด มีเพียงแสงโคมไฟพอสลัวที่ตนนั้นห
ขบวนคาราวานของหมิงอี้และพวกที่เดินทางมุ่งหน้าสู่ชายป่าวัดฉงซิ่งในที่สุดก็มาถึงจุดที่เหมาะแก่การตั้งกระโจมที่พัก พื้นที่พักติดริมธารน้ำ ด้านหลังเป็นป่าไผ่ขนาดใหญ่เกิดเรียงกันเป็นทิวแถวสลับกอกันไปทั้งน้อยใหญ่ซึ่งการเดินทางนั้นต้องเดินให้ลึกเข้ามาพอสมควรเพราะต้นไผ่ที่ตนต้องการนั้นต้องลำอวบใหญ่ ฉะนั้นจำต้องเข้าป่ามาลึกกว่าปกติ และชายป่าที่ตนและพวกกำลังตั้งกระโจมอยู่นี้นั้นได้ยินอู๋ไป๋บอกกับว่าที่ ๆ พวกต้นกำลังตะว่าเกือบสุดเขตเมืองหลี่ก็ว่าได้ เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้วแสงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้าทำให้ต้องจุดไฟเสียตั้งแต่ยังไม่มืด สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่าน ต้นไผ่เอนไหวโน้มกิ่งเข้าหากันลำต้นเสียดสีไปมาพลันเกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายคนบรรเลงเพลง หากแต่ในความคิดของหมิงอี้คิดว่าเสียงนี้ช่างน่ากลัวและวังเวงยิ่งนักจนอดที่จะยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตัวเองเสียมิได้“ชินอี ทำไมข้ารู้สึกว่าเสียงนี้มันช่าง...”ชินอีหันมาสนใจผู้เป็นนายอย่างใคร่สงสัยนางนั้นไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดแปลก ป่าก็คือป่าและเสียงเอี๊ยดอ๊าดสีกันของต้นไผ่ในเวลานี้ก็ย่อมเป็นเรื่องปกติ“ช่างกะไรรึเจ้าคะ”“ก็มันช่างน่ากลัวพิลึกน่ะสิ”หมิงอี
“หมิงอี้เจ้าจะไปจริงรึ”อี้เฟินมองบุตรสาวด้วยสายตาเป็นห่วง ในใจนั้นรู้สึกโหวงหวิวพิกล ตั้งแต่เล็กจนโตแม้กระทั่งผ่านความเป็นความตายมาตนและบุตรสาวนั้นล้วนไม่เคยต้องห่างกันเลยซักครา“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าไปเพียงสองคืน หากได้ไม้ไผ่ครบแล้วจะรีบกลับมาทันทีเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างป่าแถบวัดฉงเซิ่งก็ไม่ไกลล้วนไม่มีอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ อู๋ไป๋ก็ไปด้วยท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้านะเจ้าคะ”หมิงอี้โอบกอดมารดาพลางมือยกลูบหลังผู้เป็นมารดาไปมาก่อนจะผละออกเพื่อเตรียมขึ้นรถม้า ส่วนสาเหตุที่ตนต้องไปคุมการตัดไม้ด้วยตนเองนั้นเป็นเพราะว่าลำไม้หากเล็กเกินไปก็ไม่ดีใหญ่เกินไปก็ไม่ดี งานนี้งานใหญ่และเป็นครั้งแรกจำต้องไปดูด้วยตนเอง“พี่หมิงอี้! รอข้าด้วยสิ”เฟิน เฟิน ที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับย่ามในมือท่าทางเตรียมพร้อม“เฟิน เฟิน เจ้าจะไปที่ใดเจ้าอยู่กับท่านแม่ข้าที่บ้านดีกว่านะ ข้าไม่ไว้ใจใครนอกจากเจ้า”“แต่พี่หมิงอี้ เฟิน เฟิน ยะ”“เถอะนะ แค่เพียงสองคืนเท่านั้นเองเจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ นะข้าจะได้สบายใจอีกอย่างเจ้าอยู่ช่วยแม่ข้าจัดหาพวกฟักนุ่นและผักบวบปห้งดีกว่าเมื่อพวกข้ากลับมาจะได้ลงปลูกได้เลย นะ นะ”หมิงอี้
‘ผักสะ สลัด รึ อะไรอีกนะ อะออ’‘ชื่อเรียกช่างประหลาดนัก สะ สะ สาลัด ฮะ ฮาย ดะ โอ๊ยชื่อช่างเรียกยากนัก’‘นั่นหนะสิ ชักอยากเห็นแล้วล่ะ’“เอาล่ะทุกท่าน ทุกท่านอาจจะมิคุ้นกับชื่อผักของข้าเท่าใดนัก นั่นเป็นเพราะว่าข้าอยากตั้งชื่อให้แปลกใหม่ ส่วนคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ นั้น”ส่วนเหล่าบรรดาลูกค้ารวมไปถึงคนงานในร้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งอู๋ไป๋ก็ต่างตั้งอกตั้งใจฟังอย่างใคร่รู้หมิงอี้ตั้งเว้นจังหวะพูดให้ดูน่าสนใจ ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอีกครั้งพลางเอ่ยต่อ“ไฮโดรโปนิกส์ คือ การปลูกพืช/ผักโดยการเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งก็มีหลายอย่างนัก หากผู้ใดสนใจข้ายินดีให้คำแนะนำได้ หากแต่ในครั้งนี้นั้นข้าเลือกใช้การปลูกแบบใช้น้ำแทน โดยที่ผักของข้านั้น...”เมื่อพูดมาจนถึงจุดสำคัญหมิงอี้ก็จับปลายผ้าคลุมและกระตุกเพียงเล็กน้อยผ้าก็เลื่อนหลุดลงพื้นโดยง่ายเผยให้เห็นโครงไม้ไผ่ที่ถูกต่อกันขึ้นเป็นชั้น ๆ สูงเกือบถึงศีรษะโดยแต่ละชั้นถูกเจาะรูและมีผักอยู่ในแต่ละรูที่เจาะมีทั้งสีเขียวสีม่วงสลับกันไป พลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง“โอ้โห เฮ้ย! สิ่งใดกันละนั่น”“ดะดูสิ! พวกเจ้าดู ๆ ”หมิงอี้นั้นรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่เห็นการตอบรับที่เกิ
หน้าร้านเทียนฝู ยามซื่อ (09.00 น.)หญิงชายทั้งบุรุษทั้งสตรีทั้งเด็กหญิงเด็กชายต่างทยอยเดินข้ามฝั่งจากตลาดใหญ่ของเมืองข้ามมายังร้านผักร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่ลานหน้าทางเข้าหมู่บ้านของคนอพยพ จนทำให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสงสัยกันใหญ่บัดนี้ผู้คนในตลาดลดลงอย่างหนาตาเมื่อมองหาสาเหตุก็พบว่าผู้คนนั้นต่างเดินมุ่งหน้าข้ามฝั่งไปยังร้านผักชื่อดังในเวลานี้นั่นเอง“เกิดอันใดขึ้นกัน ลูกค้าหายไปเสียหมด แล้วนั่นจะไปที่ใดกันเล่า”พ่อค้าร้านขนมปังเจ้าดังของตลาดถึงกับเดินออกมาส่องดู ปกติยามนี้ตลาดจะคึกครึ้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของแต่ยามนี้ช่างหนาตาลงอย่างผิดปกตินัก“อ๋อ ได้ยินประกาศว่าร้านเทียนฝูจะเปิดขายผักชิดใหม่หนะ”พ่อค้าร้านถังหูลู่ที่ได้ยินเสียงประกาศตอนเตรียมตั้งร้านนั้นเอ่ยบอก“อ๋อถึงว่าล่ะ! ปกติแค่ถั่วงอกกับผักบุ้งก็ได้ยินมาว่าแทบจะขายไม่ทัน นี่ ๆ ข้าเห็นสาวใช้ในวังออกมาซื้อด้วยนะ พูดแล้วข้าก็ชักอยากมีบุญลิ้มลองซักครั้งแล้วสิ เช่นนั้น เมิ่งเอ๋อร์ ๆ ”“ว่าไงตาแก่ฮึ ตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า มีเรื่องอันใด”เมิ่งเอ๋อร์ที่เจ้าของร้านขนมปังเรียกเดินออกมายืนท้าวสะเอวส่องดูผู้เป็นสามี“ถ้าจะไปร้านเทียนฝูประ