“อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว” เขายิ้มร้ายกาจ โน้มหน้าลงดูดกลืนปลายถันที่แดงฉ่ำ ใช้ทั้งปากและลิ้นละเลียดความอ่อนนุ่มปลุกเร้าจนยอดอกชูชันท้าทายสายตา มือเรียวยกขึ้นโอบกอดเขาไว้ ส่งตัวตนของนางให้เขาลิ้มรส ในขณะที่สะโพกสอบยังคงเคลื่อนไหวนำพาความเสียดเสียวไปทั่วร่าง เขาทำเช่นเดียวกับที่ใช้นิ้วและลิ้นแต่ครั้งนี้เป็นแท่งหยกร้อนระอุของเขาที่เคลื่อนไหวเข้าออกในร่องรัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขานำพาความเสียวซ่านมาแทนที ความเจ็บปวดจางหายไปเมื่อใดไม่อาจรู้ได้
ร่องรักทั้งอุ่นร้อนและชุ่มฉ่ำ เสียงครางกระเส่าปลุกเร้าให้ชายหนุ่มแทบคลุ้มคลั่ง เหงื่อไหลโทรมกาย นัยต์ตาร้องแรงดุจลูกไฟ และดวงตาของเขาสะกดนางให้นางจ้องมองเพียงเขาเท่านั้น สะโพกสอบขยับโยกดุนดันจนร่างบางสั่นไหวตามแรงกระแทกกระทั้น มันเร็วขึ้น แรงขึ้น ถี่กระชั้นมากขึ้น นางบิดเอวเผลอจิกเล็บกับแผ่นหลังของเขา เสียงครางแหบพร่าทำให้นางได้สติ จ้องมองสีหน้าของเขาอย่างหลงใหล เหงื่อไหลชโลมกาย ผสานกับเสียงครวญหวานของนางเร่งเร้าผลักดันให้เขาขยับกาย
“ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว”
หรูซื่อพูดเสียงแผ่ว ครั้งนี้มันยิ่งกว่าเมื่อครู่ ราวกับมีพลุไฟระเบิดพร้อมกันนับสิบ นางไปถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง เขากลืนน้ำลายลงคอมองริมฝีปากสีชาดที่เผยอขึ้นส่งเสียงครางสุขสม เขาขยับตัวจับเรียวขางามพาดบ่า แล้วโยกสะโพกใส่ร่องรักที่หลั่งน้ำหวานอาบแท่งหยก ผิวขาวละเอียดบัดนี้กลายเป็นสีแดงระเรื่อ บางจุดมีรอยจูบที่เขาฝากรักไว้ เขาก้มมองกลีบเนื้อที่โอบรัดแก่นกาย เอื้อมมือไปบีบเคล้นหน้าอกของนางเพื่อให้นางได้ลิ้มรสความเสียวซ่านขึ้นอีก
“ท่าน...ท่านพี่ ช้า..ช้าหน่อย...ข้า...ข้า ...”
นางหวีดร้องร่างกายสั่นระริกพร้อมกับเสียงคำรามของซุนหลวนคุน เขากดแก่นกายเข้าไปจนสุดปลดปล่อยน้ำรักอุ่นร้อนในกายนาง กระแสความสุขไหลผ่านไปทั่วร่าง หรูซื่อไม่เหลือสติสัมปชัญญะ นางหมดสิ้นเรี่ยวแรง นางฝืนลืมตามองใบหน้าหล่อเหลาที่เผยรอยยิ้มที่นางหลงใหล เขาโอบกอดนางอย่างรักใคร่ ความอ่อนโยนที่ได้รับหลังถูกเขาเคี่ยวกรำทำให้ผล็อยหลับไปทันที
“ซื่อเอ๋อร์”
เขาพึมพำเรียกชื่อนาง กดหน้าผากของตนลงที่หน้าผากนาง ทุกรอยยิ้ม ทุกถ้อยคำ ทุกสิ่งที่ได้รับจากนาง เขาจะจดจำมันไปชั่วชีวิตที่เหลืออยู่
แม้ว่าวันหนึ่ง หากนางจำเรื่องทุกอย่างได้ สิ่งที่นางมอบให้เขาอาจเป็นความเกลียดชัง.
...
บรรยากาศในจวนแม่ทัพกรุ่นไอหวานละมุน ทำเอาทหารและบ่าวรับใช้ต่างหายใจหายคอโล่งอกไปด้วย ก่อนหน้านี้ไม่มีมีแต่ผู้คนหวาดกลัว ไม่กล้าเงยหน้าสบตา หากมีปัญหาอะไรก็ไม่มีใครกล้าพูด หากแต่เวลานี้มีฮูหยินท่านแม่ทัพอยู่ในจวน เมื่อมีเรื่องใดต่างมารายงานฮูหยินเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือใหญ่โตเพียงใด ทุกคนล้วนรายงานนางก่อนทั้งสิ้น
“ท่านดุมากเลยหรือ” หรูซื่อถามพลางยื่นถ้วยชาส่งให้ซุนหลวนคุน
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร” มือหนึ่งรับถ้วยชา อีกมือโอบเอวคอดมานั่งบนตัก นางขืนตัวออกแต่วงแขนนั้นรัดแน่นหนาทำให้นางจำนนจงใจนั่งบนตักแกร่งของเขา โชคดีที่อยู่ในห้องตามลำพัง ไม่มีผู้อื่นกล้าเข้ามา นางจึงยกน้ำชาให้เขาด้วยตนเอง
แท้จริงแล้วหรูซื่อไม่รู้ว่า เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้ ภรรยาตัวน้อยขี้อายมาก ยามร่วมอภิรมย์ยังต้องดับไฟให้หมด นางกลัวเสียงร้องของตนเองจะดังจนผู้อื่นได้ยินจึงยอมกัดผ้าห่ม ดูแล้วน่ารังแกเสียเหลือเกิน ยามเขาอยู่กับนาง เขาจึงไม่ให้ผู้อื่นมารบกวน
“ท่านพี่ใจดี” นางยิ้มจนดวงตาเป็นประกายหยาดเยิ้ม
ซุนหลวนคุนยกชาขึ้นดื่ม หลังวางถ้วยชาแล้วจึงยื่นนิ้วไล้แก้มแดงปลั่งของนางเบา ๆ
“ตั้งแต่ข้าเป็นทหารมา เพิ่งเคยได้ยินคนชมข้าเช่นนี้”
“ท่านดุมากเลยหรือ?” นางถามย้ำอีกครั้งอย่างแปลกใจ
“ผู้อื่นต่างพูดว่าข้าโหดเหี้ยม” เขายิ้มให้นาง ปลายนิ้วเลื่อนมาหยุดที่รอยจางๆ บริเวณลำคอของนาง หรูซื่อรู้ว่าเขาแตะรอยที่นางพยายามปกปิดพลันขวยเขินขึ้นมา จึงยกมือทุบแผ่นอกของเขา
“ใช่ ท่านโหดเหี้ยมจริง ๆ ผู้คนในจวนต่างรู้กันหมดว่าท่านกลืนกินข้าจนอ่อนเปลี้ยลุกจากเตียงไม่ไหว”
น้ำเสียงแง่งอนทำให้เขาหัวเราะในลำคอ “ข้าก็อยู่นี่คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินอย่างไรเล่า”
“ท่านพี่...” ไม่เคยรู้เลยว่า เขาพูดจาหยอกล้อเป็นเหมือนกัน แล้วนางก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือของเขาปัดผ่านบัวคู่งาม “จะทำอะไร...นี่...กลางวันแสกๆ ท่านพี่อย่ามารุ่มร่ามเช่นนี้นะ”
“สามีจะปรนนิบัติภรรยาอย่างไรเล่า”
มือไม้ว่องไวปลดสายรัดเอว สาปเสื้อคลายออกเผยผิวขาวเนียนละเอียดดุจหยกใส เอี๊ยมสีขาวไข่มุกขับเน้นทรวงอกคู่งาม ลมหายใจอุ่นร้อนนเป่ารดผิวกาย สิ่งที่เขาทำนั้นทำให้ลมหายใจของนางติดขัด เสื้อผ้านางหลุดลุ่ย กลีบปากแดงนุ่มดั่งดอกไม้เผยอขึ้นเล็กน้อย
“ทะ...ท่านพี่...มะ...ไม่ได้นะ”
นางรวบรวมเรี่ยวแรงผลักไส การดิ้นรนน้อย ๆ ของนางทำให้ร่างกายบดเบียดแนบชิดกันมากยิ่งขึ้น หลังจากร่วมรักกันมาแล้ว นางจึงได้เข้าใจว่า ‘สามี-ภรรยา’ ทำสิ่งใดร่วมกัน และตอนนี้นางก็รู้ว่า สิ่งที่นางนั่งทับอยู่แข็งขันขึ้นมาแล้ว
“ทำไมเล่า ข้าปรนนิบัติไม่ถูกใจหรือ” เสียงแหบพร่าเอ่ยถาม ดวงตาลุกโชนด้วยไฟปรารถนาที่พร้อมจะเผานางให้ทุรนทุราย มือใหญ่เลื่อนไปดึงปิ่นปักผมของนางออก เส้นผมยาวสลวยคลี่สยายล้อมกรอบใบหน้าที่แดงระเรื่อ
“มะ...ไม่ได้...” นางส่ายหน้าไปมากลายเป็นลูกนกตัวน้อยเสียขวัญในอ้อมอกของเขา “กลางวันอย่างนี้ ประเดี๋ยวมีคนเข้ามา”
“ใครกล้า” เขาหัวเราะในลำคอ มีแต่คนอยากตายเท่านั้นที่กล้าเข้ามารบกวนในเวลานี้
“ท่านพี่อย่าเลย...ข้า...” นางยังพูดไม่ทันจบความก็กลายเป็นเสียงครางหวานเมื่อเสื้อบังทรงถูกกระดุกออกไปพ้นทางและริมฝีปากร้อนอ้าปากครอบครองปทุมถัน แรงดูดดึงและบีบเคล้นทำให้นางเสียวซ่านไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่ร่วมรักหลับนอน นางขอร้องให้เขาดับเทียนทุกดวง เพราะนางเขินอายจนเกินไป เขายอมตามใจนางทุกคราว แต่ครั้งนี้แม้อยู่ในห้องหับแต่กลางวันแสก ๆ เช่นนี้ นาง...นาง...
“เจ้าชอบแบบนี้ไหม ซื่อเอ๋อร์” ถามพลางขบปลายถันสลับกับไล้เลียจนเปียกชุ่มและเปลี่ยนเป็นสีแดงสุกปลั่งและยั่วเย้าให้ปลายลิ้นตวัดไปมา หรูซื่อตัวสั่น ความเขินอายกลับกลายเป็นตื่นเต้นจนใจเต้นรัว ใบหน้างามแหงนหงายร้องครางอย่างพอใจ มอบคำตอบที่เขาต้องการให้ด้วยร่างกายที่ตอบสนองทุกสัมผัสของเขา
ชายหนุ่มถอนริมฝีปากแล้วใช้มือข้างเดียวกวาดหนังสือรายงานลงจากโต๊ะแล้วจับเอวบางยกขึ้นนั่งบนโต๊ะ เสียงหวีดร้องตกใจหลุดจากกลีบปากสีชาด กางกางชั้นในผ้าไหมเรียบรื่นถูกถอดออกไปพ้นทาง แม่ทัพหนุ่มนั่งที่เก้าอี้ ยามนี้เบื้องหน้าคือดอกไม้สาวที่แย้มกลีบรอเชยชมมือเล็กยื่นมาปิดส่วนที่น่าอาย แต่เขากลับยิ้มร้ายกาจล่อลวงใจออกมา
“เหตุใดไม่ให้ข้ามอง”
นางส่ายหน้าไปมา กัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องของตน หรูซื่อตัวเกร็งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสั่นสะท้าน ลิ้นร้อนตวัดไล้กลีบดอกไม้สาวยั่วเย้าจนหลั่งน้ำหวานวาวใส นางกระถดสะโพกหนี แต่มือแกร่งจับเอวบางไว้มั่นให้รองรับการปรนเปรอจากลิ้นอุกอาจ ร่างกายบิดเร่าตามสัญชาตญาณเรียกร้องการเติบเต็มจากเขา
“ดีหรือไม่ซื่อเอ๋อร์ของข้า”
เขาชอบถามในสิ่งที่นางไม่กล้าเอ่อยตอบ แต่เขาได้คำตอบนั้นจากเสียงครางเย้ายวนพรูออกจากกลีบปากสวย ลิ้นของเขาทำให้นางหอบครางปนสะอื้นและหยัดสะโพกรับอย่างไม่รู้ตัว เกลียวคลื่นแห่งดำกฤษณาโถมเข้าใส่ เป็นความทรมานอันแสนหวานระลอกแล้วระลอกเล่าจนนางหวีดร้องพร้อมร่างกายที่เกร็งกระตุก ซุนหลวนคุนไม่รอช้า เมื่อนางถึงจุดสุขสมแล้วจึงหยัดกายขึ้นยืน ปลดเปลื้องอาภรณ์อย่างรวดเร็ว จับเรียวขางามเกี่ยวรัดเอวสอบของตน
“เข้ามาคุยด้านในเถิด” เขาปล่อยมือจากไหล่ของนางแล้วเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน ทว่าสายตาของนางถูกตำรามากมายดึงดูดไว้จนหลงลืมว่ามี ‘สามี’ อยู่ใกล้ๆ “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะชอบสะสมหนังสือมากขนาดนี้” ‘ท่านแม่ทัพ’ ภรรยาหมาดๆ สนใจแต่หนังสือมากมายเหล่านั้น จึงไม่ได้เห็นแววตาไม่พอใจของสามีหมาดๆ อย่างเขา ซุนหลวนคุน ลอบถอนหายใจ นางเพิ่งย่างเท้าเข้าบ้านมาเป็นคนสกุลซุน คงไม่คุ้นชินกับการเรียกขานนัก “อีกห้าวันข้าต้องออกเดินทางแล้ว” “เดินทาง? ท่านแม่ทัพจะไปไหนรึ” หลิวหรูซื่อหันมามองหน้า ‘สามี’ นางทำหน้างุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องขบกรามเน้นเช่นนั้น“ได้ ข้าจะเตรียมตัว” “เจ้าไม่ต้องไป” น้ำเสียงของเขากระด้างขึ้นเล็กน้อย บอกตนเองว่าต้องให้ ‘เวลา’ นางมากกว่านี้ เขาจะโมโหนางไม่ได้เด็ดขาด “เหตุใดไม่ให้ข้าไป” นางเอียงคอถาม ท่าทางไร้เดียงสา “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนมารดาข้าเถิด” เขากดน้ำเสียงไม่ให้หงุดหงิดจนเกินไป “นับจากนี้เจ้าเป็นนายหญิงของจวน ต้องรับภาระดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านร่วมกับมารดาข้าแล
“แต่งงาน! น้องเล็กอายุแค่สิบเอ็ดจะให้แต่งงานแล้วหรือ?” “อีกสองเดือนน้องเล็กคนนี้ก็สิบสองแล้วเจ้าค่ะ” เสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของร่างเล็กเดินเร็วๆ ยื่นมือมาหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางบนโต๊ะเข้าปากกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าแอบฟังพ่อกับพี่ๆ คุยกันอีกแล้วนะ”ราชครูหลิวถอนหายใจเบาๆ แต่กลับยิ้มเอ็นดูลูกสาวคนเดียวของสกุลหลิวไม่ได้ แม้นางเป็นหญิงแต่เฉลียวฉลาดแต่เด็ก หากไม่นับเรื่องวรยุทธแล้ว นางก็ไม่ด้อยกว่าบุรุษเลย “ซื่อเอ๋อร์ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย แต่เสียงพี่ๆกับท่านพ่อดังไปนอกห้องเอง” เด็กหญิงตัวน้อยไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ได้ยิน “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” บิดาเอ่ยถามพลางรินน้ำให้ลูกสาวอย่างเอาใจ “คนแซ่ซุนอยากแต่งข้าเป็นภรรยา ก็แต่งสิ ไม่เห็นต้องกังวลเลย” นางรับน้ำมาดื่มเล็กน้อยแล้วกินขนมต่อ มุมปากเลอะคราบขนมทำให้พี่ใหญ่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้นาง “คนแซ่ซุนไม่มีอะไรเหมาะสมกับเจ้าเลยสักนิด” พี่ชายคนรองเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แค่ทหารปลายแถวที่ถีบตนเองขึ้นมาจากดินโคลน” “ข้าเชื่อว่าคนแซ่ซุน
ความรู้สึกเจ็บปวดนี่มันคืออะไรกัน เป็นอีกเช้าที่ซุนหลวนคุนลืมตาตื่นแล้วพบว่า ดวงตาของตนมีน้ำตาเอ่อคลอ น่าอายเหลือเกิน เขาอายุสิบแปดแล้ว แต่ยังนอนละเมอร้องไห้อยู่อีก ที่สำคัญ เขาไม่เคยจำได้เลยว่าฝันถึงเรื่องใด ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นจะเหลือเพียงความเจ็บปวดบีบรัดหัวใจ ชายหนุ่มยันกายขึ้นนั่งบนเตียง เขาตื่นแต่เช้ามืดเพราะต้องฝึกเพลงยุทธ เขาเป็นทหารมาหลายปีไต่เต้าด้วยความสามารถ มือสองข้างเปื้อนเลือดคล้ายตัวเขามีกลิ่นอายของความตายโอบกอดอยู่ เขาถอนหายใจ จะทำอย่างไรได้ เขาเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก่อนนั้นครอบครัวของเขาเป็นเพียงชาวนายากจน เขาเป็นพี่ชายคนโตที่หนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นทหาร เขาฝึกหนักกว่าผู้อื่น ทำในสิ่งที่หลายคนไม่คิดว่าเขากล้าทำ เมื่อฐานะของตนเองมั่นคงจึงได้เชิญบิดามารดารวมทั้งน้อง ๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่บิดาอ่อนแอเจ็บป่วยเรื้อรังมานาน ย้ายมาอยู่กับเขาได้ไม่ปีเศษก็ตายจาก เขาไม่ได้สนใจลาภยศใด เขาเพียงหวังให้ครอบครัวของเขาหลุดพ้นความยากจน ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อหรือไม่มีเสื้อผ้าอบอุ่นใส่ในยามหนาวเหน็บ แต่กระนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้
“แต่ท่านก็ยังส่งข้าไป ท่านเขียนหนังสือหย่าข้า” นางยื่นมือไปโอบกอดร่างแกร่งที่ยามนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล แม้เลือดจะหยุดแล้วแต่บนผ้าพันแผลยังมีรอยเลือดให้เห็นอยู่ “เพราะข้ารักเจ้า” เขากอดนาง กดปลายจมูกกับเรือนผมอ่อนนุ่ม สูดดมกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ข้าก็รักท่าน” นางเอ่ยที่ออกมา “แม้ข้าจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่ใช่คนที่จะทำร้ายข้า ท่านพยายามปิดบังบางอย่างเพื่อปกป้องข้า ข้ารู้ว่าที่ผ่านมาท่านเตรียมแผนการสำหรับครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ท่านไม่ได้ไปเอ้อหยีร์ในนามของแม่ทัพพิทักษ์ประจิม ท่านไม่ต้องให้ผู้อื่นติดร่างแหไปด้วย ท่านเตรียมตัวไปตาย แต่ท่านลืมไปว่า ข้าคือหลิวหรูซื่อ คนที่ทำอาหารไม่เป็น แต่คัดลอกตำราพิชัยยุทธส่งให้ท่าน คนที่ตระเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน และเป็นสตรีใจแคบที่ไม่ยอมให้ท่านรับอนุ ซ้ำยังเอาแต่ใจตัวเอง แต่ข้าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ โดยที่ท่านไม่ต้องรับผิดใด ๆ และยังสามารถกลับเมืองหลวงไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวได้” “เจ้ามีแผนใด” แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตกลับมา จึงทุ่มเทสุดเรี่ยวแรงเพื่อให้ครั้งนี้ทำสำเร็จ “
ม้าพุ่งทะยานฝ่าสายลมอันหนาวเหน็บพ้นเขตเอ้อหยีร์ ม้าของแม่ทัพหนุ่มรั้งท้าย แม้มีหยาดเลือดไหลเปื้อนใบหน้า ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งราวกับปาดเหงื่อ แต่หัวใจเขาพุ่งกลับไปที่ถึงค่ายทหารก่อนแล้วด้วยการเตรียมการของหรูซื่อ นางสั่งการผ่านรองแม่ทัพ เมื่อทหารห้าสิบนายกลับมาถึงค่ายทหารให้ทำเป็นไม่รับรู้เรื่องใด การะจายคนทั้งห้าสิบพักตามกระโจมต่าง ๆ แม้จะตื่นเต้นยินดี แต่ต้องเก็บอาการไว้แต่กระนั้น หรูซื่อที่ห่อตัวเองด้วยเสื้อคลุมของสามียืนรอเขากลับมาที่หน้ากระโจมหลักเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล สายตาของนางนับคนที่กลับมา แม้พวกเขาจะบาดเจ็บแต่ยังรักษาชีวิตมาได้ นางหวงฝูเห็นบุตรชายกลับมาปลอดภัยก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ นางรีบเข้าไปดูอาการบุตรชายทันที ม้าสองตัวควบขนาบคู่กันมา ดวงตาของหญิงสาวเพ่งมอง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหัวใจไม่ให้เต้นเร็วเกินไปนัก แต่ก็บังคับได้ยากเย็น เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่เฝ้ารอเข้ามาใกล้น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อคลอ ทว่าสองเท้ากลับเหมือนถูกตอกตรึงไม่สามารถขยับได้ ได้แต่ยืนมองเขาลงจากหลังม้าแล้วเดินตรงมาทางนาง “หรูซื่อ...” มีคำถามมากหมาย
‘อ่า...นี่คงเพราะซุนหลวนคุนบอกจางหยินเซ่อว่าความจำเสื่อมสินิ คนแซ่จางเลยแต่งเรื่องว่านางมอบผ้าเช็ดหน้าให้ และสามีของนางก็อยากได้บ้าง อันที่จริงนั้นเป็นผ้าปักฝีมือนางก็จริง แต่ที่มอบให้เพราะเขาสัญญาว่าจะพานางไปพบซุนหลวนคุนต่างหาก’หรูซื่อหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาแล้วคลุมร่างของตน วูบหนึ่งนางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นอายที่คุ้นเคยดั่งวงแขนโอบกอดนางแนบแน่น ภาพความทรงจำต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาดุจสายฝนสาดซัดจนกายหนาวสั่น แม้ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ปะติปะต่อกันนัก แต่สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า นางไม่เคยคิดปันใจไปจากเขา แม้เขาจะละเลยไม่ใส่ใจนางเท่าที่ควร นางต้องได้ยินเขาสารภาพความจริงจากปากของเขาเอง. เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว กลางคืนคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว อากาศในหุบเขาเย็นเยียบ กระนั้นทหารกลับมีเหงื่อไหลโทรมกาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดได้ ต้องรีบถอยกลับไปถึงเขตแดนของตน “หวงอี้ เจ้านำทหารที่เหลือล่วงหน้าไปก่อน” “ไม่ได้นะขอรับ ท่านแม่ทัพนำหน้าไปก่อน พวกข้าจะอยู่รั้งท้ายเอง” “พวกเจ้านั้นแหละเป็นตัวถ่วงข้า จึงรีบรุดหน้าไปให้เร็วที่สุด”