ห้องทรงอักษร
"โอ้วววว ซี้ดดด ได้ยินว่าราษฎรแถบชนบทขาดแคลนอาหาร เจ้าจัดการหรือยังรัชทายาท!"
"อ๊าาา เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!!!'
"หงหลี่หยวน เจ้าอย่าให้มันพุ่งมาทางนี้โอ้ววว มันจะเปื้อนฎีกาของข้า!!!"
"ไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ มันจะพุ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๊าาาา!!!"
"บัดซบ!!! ฎีกาข้า!!! ซี้ดดด!!!"
หลี่รั่วหานที่กำลังเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทรงอักษร เมื่อได้ยินเสียงโหยหวนจากด้านในก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
รีดพิษกันอีกแล้วสินะ!!!
เสด็จลุงมีรับสั่งเรียกเขาเข้าวังเพื่อหารือเรื่องภัยแล้ง เพราะได้รับความโปรดปรานเขาจึงสามารถเข้าออกห้องทรงอักษรได้อย่างตามใจชอบ
"ครื้นเครงกันแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"
"อารั่ว!!!"
"พี่รั่ว!!!"
ฮ่องเต้หงหยวนและองค์รัชทายาทหงหลี่หยวนหันมาส่งยิ้มทักทายให้หลี่รั่วหาน หลี่รั่วหานมองภาพตรงหน้าก่อนจะเผลอขบขันออกมา
ให้ตายเถิด!!! ยุคสมัยของเสด็จลุง ยามหารือราชกิจต้องแก้ผ้าไปด้วยเช่นนี้หรือ?
เฮ้อ!!! คงไม่ดีเท่าใดกระมัง
เขาต้องร่วมแก้ด้วยจึงจะถูก!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่รั่วหานจึงปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกก่อนจะสาวชักลำแท่งเอ็นร้อนอย่างเมามันเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้หงหยวนและองค์รัชทายาทหงหลี่หยวนเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะร่วมกันชักเช่นกัน
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ภารกิจชักสะท้านฟ้าก็สิ้นสุดลง
ฮ่องเต้หงหยวนมองฎีกาฉบับหนึ่งที่เปรอะเปื้อนก่อนจะถอนหายใจออกมา
เฮ้อ!!! บอกว่ามันโดนแป้งข้าวเหนียวหกใส่ก็แล้วกัน
เมื่อจัดการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์กันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามจึงหารือกันทันที
"อารั่ว ข้าจะส่งเจ้ากับหงหลี่หยวนเดินทางออกนอกเมืองหลวงไปยังหมู่บ้านชนบทแถบชานเมืองเพื่อจัดการปัญหาภัยแล้งในครานี้ น่าแปลกสภาพอากาศเหตุใดจึงแปรปรวนเช่นนี้ไปได้"
"อาจเพราะมีการถางที่ดินทำกิน ทำให้ต้นไม้ลดน้อยลงพ่ะย่ะค่ะเสด็จลุง"
"ลูกเห็นด้วยกับพี่รั่วพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ"
"ดี เช่นนั้นเจ้าจงรีบกลับจวน เร่งเตรียมการ ออกเดินทางโดยเร็วเถิด ไปแจ้งบิดาเจ้าด้วย ยามนี้ข้าเห็นบิดาเจ้าวุ่นวายอยู่แต่ในค่ายทหาร ยามว่างให้มาพบข้าบ้าง"
"รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ"
ด้านฮองเฮาในยามนี้นั้น นางกำลังนั่งดื่มนมแพะเพื่อบำรุงผิวพรรณ เมื่อได้ยินว่าภายในห้องทรงอักษรเกิดสิ่งใดขึ้น ก็ลอบถอนหายใจออกมาทันที
สงสัยบ้านเมืองจะสงบสุขมากเกินไป นับวันพระสวามีและพระโอรสของนางจึงมีกิจกรรมพิสดารขึ้นทุกวัน
จ้างโจรมาปล้นวังหลวงดีหรือไม่?
ไม่ดีสิ!!!
หรือจะหาสนมมาเพิ่ม
ก็ไม่ดีอีก!!! ทุกวันนี้เหล่าสนมก็แทบจะวิ่งหนีฝ่าบาทแล้ว เขาเล่นทั้งชักทั้งกระแทกใครจะไปทนไหวกัน!!!
ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว!!!
นางกำนัลอาวุโสที่เห็นว่าฮองเฮาทรงมีพระอาการไม่สู้ดีเท่าใดนัก จึงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
"เหนียงเหนียงทรงมิสบายหรือเพคะ"
"ข้าอยากถูกกระแทก อุ๊ย!!!"
"เอ๋!!!"
เมื่อรู้ว่าตนเองเอ่ยวาจามิน่าฟังออกไป ฮองเฮาจึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนยิ่งนัก นางกำนัลอาวุโสจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปกราบทูลฝ่าบาทดีหรือไม่เพคะ"
"เอ่อ ไม่ต้อง!!!"
"จะดีหรือเพคะ หากไม่ถูกกระแทกพระอาการคงจะมิดีขึ้นนะเพคะ!!!"
"ข้าบอกว่าไม่ต้อง!!!"
"ได้ยินว่าฮองเฮาอยากถูกกระแทกหรือ?"
เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นมาที่ด้านหน้าตำหนัก ทำให้ฮองเฮาต้องหันขวับไปมองทันที
"ฝ่าบาท"
"ฮองเฮา ยอดรัก ข้ามากระแทกเจ้าแล้ว"
ฮองเฮา "..."
จวนโหวตระกูลหลี่
หลี่รั่วหานรีบเร่งกลับมาที่จวน เขานำคำสั่งของฮ่องเต้หงหยวนมาบอกผู้เป็นบิดาว่าการเดินทางไปนอกเมืองหลวงในครานี้ ต้องนำเหล่าทหารติดตามไปด้วย เพื่อช่วยกันขนเสบียงไปให้เหล่าชาวบ้าน แม่ทัพใหญ่หลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบสั่งการเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาทันที เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลี่รั่วหานจึงไปหาองค์หญิงหงลี่ผู้เป็นมารดาที่เรือนใหญ่ เมื่อไปถึงก็พบกับจ้าวไป๋ลู่ที่กำลังนั่งปักหมอนลายนกยวนยางอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับพูดคุยกับมารดาของเขาและส่งเสียงหัวเราะกังวานใส
"ท่านแม่"
"อารั่ว เหตุใดจึงกลับมาเร็วนักเล่า"
"วันพรุ่งนี้ลูกจะต้องออกนอกเมืองหลวงโดยด่วน จึงจะมาแจ้งให้ท่านแม่ทราบก่อนขอรับ"
"มีเรื่องอันใดหรือ?"
"ชาวบ้านแถบชนบทเกิดภัยแล้งขอรับ"
"อ้อ การเดินทางย่อมใช้เวลาไม่น้อย เจ้าเองก็มีแต่เหล่าบุรุษร่วมเดินทาง แม่ว่าให้ไป๋ไป๋ติดตามไปช่วยดูแลเจ้าดีหรือไม่ สามีภรรยาเพิ่งแต่งงานมิควรเหินห่างกันเช่นนี้"
"ไม่ขอรับ หนทางยาวไกล นางเป็นสตรีจะลำบากเอาได้"
หึ!!! จะไปเป็นภาระข้าน่ะสิไม่ว่า ข้าไม่มีทางให้เจ้าติดตามไปด้วยเด็ดขาด
"อารั่ว!!! นางเพิ่งตบแต่งเข้ามาย่อมมิอยากห่างเหินสามี เจ้าพานางไปด้วยเถิด"
"ท่านแม่!!!"
"ท่านแม่เจ้าคะ ไป๋ไป๋อยู่รอท่านพี่ที่จวนดีกว่าเจ้าค่ะ"
นางเองมิอยากจะทะเลาะกับเขาเช่นกัน จึงหาทางบ่ายเบี่ยงเสีย หลี่รั่วหานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ลอบพยักหน้าในใจ
นับว่าไม่โง่!!!
"ไม่ได้!!! หากเจ้าไม่ให้นางไปด้วย แม่ไม่วางใจ แม่เพียงเป็นห่วงเจ้า เจ้าทำเพื่อแม่มิได้หรืออารั่ว"
เมื่อนึกถึงภาพที่มารดาวิ่งชนเสาใจเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก แม้จะอยากเอ่ยโต้แย้งเพียงใดก็ตาม
เมื่อกลับมาถึงเรือน เขาจึงหันมามองจ้าวไป๋ลู่ตาขวาง
"อย่าคิดสร้างปัญหาให้ข้า!!!"
"เจ้าค่ะ"
เดิมทีเขาคิดจะแอบพาหนิงเสวี่ยไปด้วยกัน แต่เพราะมีจ้าวไป๋ลู่คอยขัดขวาง อีกทั้งท่านแม่ยังจับตามอง ท้ายที่สุดเขาจึงมิอาจพาหนิงเสวี่ยไปด้วยได้
เขาทำผิดต่อนางอีกแล้ว!!!
จ้าวไป๋ลู่เองก็มิได้อยากติดตามเขาไปเท่าใดนัก ดูท่าทางที่เขาจะกินหัวนางสิ นี่น่ะหรือเจรจาสงบศึก ท้ายที่สุดเขาก็เกลียดหน้านางอยู่ดี
เช้าวันรุ่งขึ้น จ้าวไป๋ลู่ก็ออกเดินทางไปพร้อมกับหลี่รั่วหาน
ด้านหนิงเสวี่ยในยามนี้นั้น นางขยำจดหมายที่หลี่รั่วหานส่งมาให้ด้วยความเกลียดชัง เดิมทีเขาบอกกับนาง ว่าจะลอบพานางติดตามไปด้วย แล้วหลังจากนั้นก็จะแต่งนางเข้าจวน แต่เพราะมารดาของเขาเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่อง เรื่องราวจึงกลับแปรเปลี่ยนไปเช่นนี้
เห็นที หากนางได้แต่งเข้าจวนโหวเมื่อใด คงจะเก็บแม่สามีผู้นี้เอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว!!!
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ