เมื่อหลี่รั่วหานจากไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงหันมาเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่ทันที
"องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของไป๋ไป๋เช่นกัน อย่างไรข้าคงมิอาจฝืนใจซื่อจื่อให้เขาต้องลำบากมาแต่งงานกับไป๋ไป๋เป็นแน่ หากนางมิสามารถแต่งออกจากจวนได้อีก ตระกูลจ้าวย่อมต้องส่งนางออกบวชเพื่อลบล้างความผิดในครานี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นางมุ่ยหน้าลงราวกับเด็กน้อย ในใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา
ไปอยู่อารามหรือ ออกบวชหรือ!!! ข้าไม่อยากถือศีลกินเจนะ ข้าชอบกินเนื้อที่สุดเลย ฮือออ!!!
แต่จะว่าไปอาหารเจก็รสชาติดีมิใช่หรือ?
แถมไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะด้วย!
องค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยห้ามปรามสหายสนิทของตนทันที
"ไม่ได้เด็ดขาด!!! นางอายุเพียงเท่านี้จะให้ออกบวชได้อย่างไร ข้าน่ะเอ็นดูนางยิ่งนัก นางน่ารักและไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ข้าคงทำใจให้เจ้าพานางออกบวชมิได้ อิ๋งเอ๋อร์ หากเจ้าจะส่งนางออกบวช มิสู้ให้นางแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ข้ามิดีกว่าหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เมื่อได้เห็นสายตาที่องค์หญิงหงลี่มองจ้าวไป๋ลู่ด้วยความเอ็นดู นางก็เริ่มใจอ่อนลง
"อย่างไรข้าคงต้องขอกลับไปปรึกษาหารือกับสามีของข้าเสียก่อน"
"ได้ เช่นนั้นอีกสามวันข้าจะส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลจ้าว"
"เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้เล่า"
"นี่ยังถือว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ"
เมื่อหมดหนทางจะทัดทานวาจาขององค์หญิงหงลี่ ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างปลงมิตก ในใจนึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก การได้พบหน้าว่าที่สามีและยังเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อจ้าวไป๋ลู่เป็นแน่
ด้านหลี่รั่วหานนั้น เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่ เขาก็มุ่งหน้าไปหาหนิงเสวี่ยที่กำลังจะเดินทางกลับจวนตระกูลหนิงทันที เขารีบยื่นมือไปคว้าแขนของนางเอาไว้
หนิงเสวี่ยเสแสร้งทำทีเป็นปัดมือเขาออก ทั้งที่ในใจของนางนึกด่าทอเขาเป็นพันครั้ง
นางรอเขา รอแล้วรอเล่า แต่เขาก็ไม่ยอมออกมาพบนาง!!!
ท่าทีหวงเนื้อหวงตัว ใบหน้าสวยหวานที่มีหยดน้ำตาเอ่อคลอ ชวนให้น่าทะนุถนอม ทำให้หลี่รั่วหานใจอ่อนยวบ
"เสวี่ยเอ๋อร์ข้าทำผิดต่อเจ้ายิ่งนัก"
"ท่านไม่ผิดเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไม่ดีพอ"
"ไม่จริง!!! เจ้าดีทุกอย่าง เจ้าดีทุกอย่างในสายตาของข้า"
หนิงเสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร ก่อนจะเอ่ยกับหลี่รั่วหานด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
"พี่รั่ว ท่านจะต้องแต่งกับนางจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
"ไม่มีทาง ข้าจะแต่งกับเจ้าเพียงเท่านั้น แต่งเพียงแค่เจ้า"
"พี่รั่ว ขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่าน ต่อให้ลำบากข้าก็ยอมเจ้าค่ะ"
"เสวี่ยเอ๋อร์ของข้าดีที่สุด"
หลี่รั่วหานยื่นมือไปลูบไล้แก้มสวยของนาง ก่อนจะประคองนางขึ้นรถม้า เขามองส่งนางจนรถม้าจวนตระกูลหนิงลับสายตา เมื่อเขาหันกายกลับมาก็พบกับจ้าวไป๋ลู่ที่เดินออกมาจากจวนพอดี ท่านแม่ให้นางออกมารอที่รถม้าก่อน เพราะมีเรื่องอยากเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่อีกสักสองสามประโยค
แววตาที่มองเด็กสาวตรงหน้าแฝงแววดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
"หน้าตาเจ้าก็ดูเรียบร้อยดี ไม่น่าเชื่อว่าจะเจ้าแผนการถึงเพียงนี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังหยุดจ้องมองมาที่พวกนาง ก่อนจะสลับมองไปที่หลี่รั่วหานอีกครา
หลี่รั่วหานที่ได้เห็นเช่นนั้นโทสะในใจก็ปะทุทันที
"ถูกด่าแล้วยังหน้าด้านหน้าทนอีก!!!"
"ซื่อจื่อพูดกับข้าหรือเจ้าคะ?"
จ้าวไป๋ลู่เอียงคอมองหลี่รั่วหานด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
"ใช่สิ!!! พูดกับเจ้า จะให้ข้าพูดกับสุนัขหรือ!!!"
"อ้อออ ข้าก็คิดว่าท่านพูดกับสุนัขเสียอีก ข้าเห็นมันมองหน้าท่าน"
"นี่เจ้า!!!"
โฮ่ง ๆ ๆ!!!
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูสิเจ้าคะ มันตอบรับท่านด้วย ไหนเจ้าส่ายหางสิ โอ้ววว!!!"
"เด็กผี!!!"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินกลับเข้าไปในจวนอย่างหัวเสีย จ้าวไป๋ลู่เบ้ปากคราหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ท่านสิผี!!!
เมื่อเดินทางกลับมายังจวนตระกูลจ้าว ฮูหยินหลิวอิ๋งก็ลงโทษจ้าวไป๋ลู่ทันที
เพียะ เพียะ
เสียงไม้เรียวฟาดกระทบกับเรียวขางามของนางอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินหลิวอิ๋งเป็นคนใช้ไม้ตีสั่งสอนบุตรสาวเองกับมือ
"อ๊า ท่านแม่!!!"
"หยุดร้องนะ!!! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าทำให้ตระกูลจ้าวต้องอับอาย ทำให้ข้าเสียหน้า อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นดูแคลนตระกูลเราเช่นไร!!!"
"ฮือ ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่ท่านแม่ อ๊า แสบ ๆ ๆ!!!"
จ้าวไป๋ลู่ส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด จ้าวเยียนผู้เป็นบิดาและจ้าวเฉียนผู้เป็นพี่ชายที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง เมื่อได้ยินเสียงร้องโวยวายของจ้าวไป๋ลู่จึงรีบเร่งมาที่เรือนใหญ่ทันที
"ฮูหยินยั้งมือเถิด เกิดสิ่งใดขึ้น!!!"
"ปล่อยข้านะ ข้าจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ!!!"
จ้าวเยียนรีบรั้งมือของภรรยาตนเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาให้จ้าวเฉียนพาจ้าวไป๋ลู่กลับเรือนนอนไปก่อน
"ฮูหยิน เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อนเถิด ไป๋ไป๋ตัวเล็กบอบบางเพียงนั้น เจ้ามิสงสารนางบ้างเลยหรือ!!!"
"ก็เพราะสงสารอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าจึงต้องสั่งสอนนาง!!!"
"เอาเถิด ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มิใช่ว่าวันนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกไปชมดอกเหมยที่จวนโหวมาหรอกหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งโยนไม้เรียวในมือลงพื้น ก่อนจะสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปให้หมด แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นสามีฟัง
จ้าวเยียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจคราหนึ่ง
"ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว เราคงต้องตอบรับการแต่งงานนี้แล้วละฮูหยิน"
"แต่ท่านพี่ ไป๋ไป๋มิใช่คนฉลาด ข้าเกรงว่าความใสซื่อของนางจะทำให้ถูกรังแกเอาได้นะเจ้าคะ"
"ใครว่าไป๋ไป๋ของข้าโง่ แท้จริงนางฉลาดยิ่งนัก ฮูหยินหากนางแต่งเข้าจวนโหวย่อมดีกว่าแต่งกับตระกูลอื่น ยิ่งมีข่าวลือว่านางตกน้ำไปพร้อมซื่อจื่อเช่นนี้ ยังจะมีบุรุษตระกูลใดอยากจะแต่งนางเข้าไปเป็นภรรยากัน เจ้าวางใจเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถอบรมสั่งสอนไป๋ไป๋ให้เป็นภรรยาที่ดีได้"
ฮูหยินหลิวอิ๋งหมดวาจาจะเอื้อนเอ่ย นางทำได้เพียงสั่งให้สาวรับใช้ไปตามหมอมาตรวจดูบาดแผลของจ้าวไป๋ลู่
เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มใจเย็นลงแล้ว จ้าวเยียนจึงยื่นมือไปสะกิดแขนนาง ฮูหยินหลิวอิ๋งที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
"ท่านจะทำสิ่งใด?"
"ฮูหยิน นานแล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้..."
"ข้าจะไปดูไป๋ไป๋!!!"
"หืม อย่าเลย นางมีท่านหมอดูแลอยู่แล้ว มิสู้เรามาทำลูกกันดีกว่า เผื่อจะได้บุตรสาวที่แสนน่ารักเพิ่มมาอีกสักคน เจ้าว่าดีหรือไม่? วะฮ่า ๆ ๆ ๆ"
"นี่ ท่าน!!!"
จ้าวเยียนจับภรรยากดลงบนเตียงก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นานแล้วที่เขาต้องใช้มือมาตลอด ยามนี้จะได้พุ่งเข้าสู่ถ้ำสวรรค์เสียที
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ