รัญชิสาชะงักไปนิดๆ เหมือนจะหน้าชาๆ แต่เธอฉลาดพอที่จะนิ่งทำหูทวนลมเสียไม่ต่อปากต่อคำ
ใครกันแน่มือที่สาม เธอกับฉัตรินรักกันมาก่อนจนจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่กลับต้องถูกยัยนั่นเข้ามาแทรกและวางแผนแย่งเขาไปหน้าด้านๆ
“แล้ววันนี้เรียกออกมานอกจากกินเหล้าแล้วมีอะไร”
“ถามไอ้เป้นู่นสิ มันเป็นคนให้นัด” นราธิปโยนกลองให้เพื่อนคู่หูที่ตอนนี้เริ่มกรึ่มได้ที่ สีหน้าอีกฝ่ายดูมีความสุขมากล้น
“กูมีข่าวดีจะบอก แล้วก็มีเรื่องจะขอร้องพวกมึงด้วย”
ฉัตรินขมวดคิ้วแน่น มองเพื่อนรักที่กำลังทำหน้าเหมือนเขินๆ
“อะไรวะ ทำลับลมคมใน มีอะไรก็พูดมา”
“กูกำลังจะแต่งงาน แล้วก็อยากให้พวกมึงมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้”
“หา!”
นราธิปทำตาโต ในขณะที่เพื่อนคนอื่นก็พลอยตกใจไปด้วย เพราะไม่มีวี่แววมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะสละโสด นอกจากฉัตรินที่จับพลัดจับผลูแต่งงานสายฟ้าแลบแล้ว ในกลุ่มก็ไม่มีใครมีวี่แวว
“ใครวะ สาวที่โชคร้ายคนนั้น”
“ลูกสาวเพื่อนแม่กูเอง เห็นมาแต่เด็กแล้ว”
“อย่าบอกนะว่าโดนคลุมถุงอีกราย” คนปากกล้าประจำกลุ่มชิงดักคอ
“ไม่เชิงว่ะ คนนี้กูปิ๊งเขาตั้งแต่แรกพบ รักจริงหวังแต่งเลย” พอขาดคำก็ได้รับเสียงโห่อย่างหมั่นไส้จากเพื่อนๆ ทั้งกลุ่ม
“เป็นอันว่าสามทหารเสือเหลือกูคนเดียวสินะที่ยังโสด ไอ้ซีก็แต่งแล้ว ไอ้เป้ก็กำลังจะแต่งอีกคน” คนหวงความโสดยิ่งชีพแกล้งตัดพ้อ ก่อนหันไปทางสาวคนเดียวในกลุ่ม
“ส่วนรัญไม่ต้องพูดถึง ไม่โสดตั้งนานแล้ว แต่งก่อนเป็นคนแรกของรุ่นเลยด้วยซ้ำ”
คนถูกแซวหน้าเสีย รีบหันไปมองปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้าม แต่เมื่อเห็นสีหน้านิ่งเฉยเมยของเขาก็อดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
“อย่ามาเหมารวมนะนอต นายโสดเพราะเจ้าชู้เลือกมาก อ้อ แล้วฉันก็ขออัปเดตข่าวใหม่หน่อย ตอนนี้ฉันก็โสดแล้วย่ะ”
คำนั้นทำเอาทั้งกลุ่มถึงกับเลิ่กลั่กหันไปมองสาวสวยของกลุ่มเป็นตาเดียว
ฉัตรินเงยหน้ามองอดีตคนรักนิ่งงันเพราะเมื่อวานเธอไม่ได้บอก
“อ้าว โสดยังไง ก็เมื่อกี้ยังบอกว่ากำลังท้องไม่ใช่เหรอ” นราธิปยังสงสัยไม่เลิก
“แล้วไง โสดแล้วท้องไม่ได้เหรอ ซิงเกิ้ลมัมน่ะเคยได้ยินไหม แต่ถ้าเจอคนดีๆ ที่เหมาะจะเป็นพ่อของลูก เราก็ไม่ติดนะ”
ท้ายประโยคทิ้งหางตาไปทางคนที่เธอรอคอยมานานถึงสองปี กระทั่งลองไปมีคนอื่นเพื่อคิดจะลืมเขา แต่สุดท้ายก็มีอันต้องเลิกรา เพราะความที่ไม่ได้รัก แค่อยากประชดก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าใจต้องการอะไร เหลือก็แค่คนที่รอ หากใจตรงกันทุกอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้อีกฝ่ายจะมีภรรยาแล้วก็ตาม แต่เมื่อกี้เขาก็บอกเองว่าอยากหย่า จากที่เห็นเมื่อวานที่โรงพยาบาล ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ใช่ว่าจะดีสักเท่าไหร่
“งั้นก็ยินดีด้วยนะเพื่อน” ฉัตรินตัดบทแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเว้าวอนคู่งามที่มองมา เสยกแก้วขึ้นชนกับว่าที่เจ้าบ่าว อย่างน้อยอีกฝ่ายก็โชคดีกว่าเขาที่ได้แต่งงานกับคนที่รัก
“ขอบใจนะ อ้อ คู่หมั้นกูเขาก็รู้จักกับน้องปูนด้วย เห็นว่าเคยเรียนด้วยกันมาก่อน ฝากให้ชวนเมียมึงมางานด้วย”
ชื่อนั้นทำเอาคนฟังทำหน้าตึง ทำไมไปไหนก็หนียัยนั่นไม่พ้นสักที
บ่นในใจไม่ขาดคำก็มีเสียงโทรศัพท์เข้าทำให้ฉัตรินต้องละสายตามามองแต่พอเห็นชื่อที่โชว์หน้าจอ เลยตัดสายไปเสียเพื่อตัดความรำคาญ พอตัดสายไม่ถึงวินาทีเบอร์เดิมก็โทรเข้ามาอีกหน จนเขาฉุนกึก
ชาติที่แล้วเป็นไก่หรือไง โทรจิกอยู่ได้ อารมณ์เสียเลยกดปิดเครื่องไปเสียเลย
“เป็นอะไรไปเหรอซี” คนที่เฝ้าจับตามองชายหนุ่มมาตลอดถาม เสียดายที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำให้ไม่เห็นว่าใครโทรมา แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็เดาไม่ยาก
“ไม่มีอะไรหรอก” ชายหนุ่มตัดบทพลางกระดกแก้วเหล้าเข้าปากดับความขุ่นมัวในใจ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ใครบางคนบอกเมื่อตอนบ่าย
‘ปูนรู้สึกไม่ค่อยสบายเลยค่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด พี่ซีพาปูนไปหาหมอหน่อยได้ไหมคะ’
หรือเมื่อคืนเขาจะหนักมือไปจนทำเธอจับไข้กันนะ
ฉัตรินรีบสะบัดศีรษะไล่ความใจอ่อนออกไป ยัยนั่นไม่ตายง่ายๆ หรอก ก็แค่สำออยเรียกร้องความสนใจจากเขาก็เท่านั้น หรือถ้าอาการหนักจริง คนที่บ้านก็อยู่ คงช่วยเรียกรถพยาบาลให้ได้ เขาไม่ใช่หมอสักหน่อย กลับไปดูก็ทำอะไรไม่ได้
ชายหนุ่มรีบปัดความสนใจ เมื่อเพื่อนๆ หันมาชวนให้ดื่มฉลองต่อ และพูดคุยกันอย่างออกรส จนพาให้เขาลืมคนที่บ้านไปจากสมอง นั่นทำให้คนที่คอยมองอยู่ลอบยิ้มอย่างพอใจเงียบๆ
จนกระทั่งเวลาผ่านไปดึกดื่นค่อนคืน หลายคนในกลุ่มก็เริ่มจะกรึ่มได้ที่ เดิมฉัตรินไม่ใช่คนคออ่อนอยู่แล้ว ต่อให้ดื่มหนักเขาก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง ยกเว้นก็แค่ครั้งเดียวที่พลาดเมาจนได้เรื่องนั่นแหละ
เขามองนาฬิกาที่ข้อมือที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่ง จึงหันไปบอกกับเพื่อนๆ
“กูกลับก่อนดีกว่า”
“กลับอะไรวะ เหล้ายังไม่หมดเลย พรุ่งนี้ก็วันหยุด” นราธิปรีบโวยวายตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ “หรือว่า...คิดถึงเมียล่ะสิ”
คำแซวนั้นเรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆ รอบข้าง
“คิดถึงกับผีสิ กูง่วงแล้ว ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยจะตายชัก อยากนอน” พอหันไปเห็นหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม เขาก็เลยนึกขึ้นได้
“แล้วนี่รัญจะกลับยังไงล่ะ” คนถูกถามคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายใส่ใจเป็นห่วง เขาเป็นเช่นนี้เสมอ ตั้งแต่ตอนที่คบหากันฉัตรินก็คอยดูแลเธออย่างดี เดี๋ยวนี้เขาก็ยังเป็นห่วงเธอไม่เปลี่ยนสินะ
“ก็คงเรียกแท็กซี่กลับน่ะ พอดีรถรัญเข้าอู่ ซีไม่ต้องห่วงนะ รัญกลับได้ สบายมาก”
“งั้นเดี๋ยวกูไปส่งรัญเองก็ได้ ยังไงเราก็คนโสดเหมือนกันอยู่แล้วนี่ จริงไหม” นราธิปยักคิ้วกวนๆ ให้เพื่อนสาวที่ค้อนตาเขียวปัดตอบกลับมา
“ไม่ต้องหรอกย่ะ บ้านนายกับฉันมันคนละทางกัน ย้อนไปย้อนมาให้เสียเวลาทำไมกัน ว่าแต่ซีจะขับกลับไหวเหรอ ดื่มไปตั้งเยอะ”
“นั่นสิ ทำไมมึงไม่โทรให้คนที่บ้านมารับล่ะ น้องปูนคงยังไม่นอนมั้ง”
“ไม่ต้องหรอก กูกลับเองได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็แค่จอดนอนข้างทาง”
“งั้นให้รัญนั่งรถไปเป็นเพื่อนไหม ยังไงบ้านก็อยู่ทางเดียวกัน ส่งซีก่อนแล้วรัญค่อยเรียกแท็กซี่กลับก็ไม่ไกลแล้ว” รัญชิสารีบเสนอตัวอย่างหวังดี
เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะพิเศษเกินกว่าจะหาคำบรรยายใดๆ มาบอกได้ ในวินาทีที่ผิวกายอ่อนบางได้สัมผัสกับไออุ่นจากอกของพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉัตรินรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวนี่คือลูกของเขา ลูกที่เขาเกือบพลั้งทำลายด้วยทิฐิอย่างร้ายกาจ แต่มาวันนี้เขาสามารถเสียสละทุกสิ่งที่มีเพื่อให้คนในอ้อมอกนี้มีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะให้ได้น่าเสียดายที่แม่ของเจ้าตัวน้อยยังไม่ฟื้น หาไม่เธอคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นลูกน้อยของเราในวันนี้หลังจากครบเวลาที่กำหนด ทารกน้อยก็ถูกอุ้มใส่รถเข็นสำหรับเด็ก เพื่อไปให้นมก่อนจะพาไปหาคุณแม่ที่ห้องพักฟื้นโดยปกติฉัตรินไม่ใช่คนรักเด็กหรืออินอะไรกับเด็กมาก่อน แต่ทว่าหลังจากที่มีลูก ชายหนุ่มกลับกลายเป็นคุณพ่อลูกอ่อนที่ใจบางเสมอเวลาที่ได้เจอหน้าเจ้าตุ๊กตาน้อยๆ ที่ชื่อน้องปูเป้“ไงคะลูกพ่อ ทักทายคุณแม่หน่อยสิลูก”เสียงสองก็มา เขาได้แต่ขำตัวเอง อย่าให้ใครที่บริษัทมาได้ยินเลยว่าท่านประธานทำเสียงแบบนี้ คงสิ้นความยำเกรงกันก็คราวนี้แต่ช่างประไร ใครสน ลูกเขาออกจะน
ท่ามกลางสายตาของครอบครัวทั้งสองฝ่ายรวมถึงเพื่อนสนิทของหญิงสาวอย่างจนิตา ที่คอยมองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของคนที่เคยใจร้ายกับเพื่อนเธอมาสารพัดอย่างสงสารแกมสมน้ำหน้า ที่กว่าเขาจะรู้ว่าตัวว่ารักก็เกือบต้องสูญเสียปรียากรและลูกสาวไปตลอดกาลเสียแล้วยังดีที่เบื้องบนยังให้โอกาสแก้ตัว แต่ก็นับเป็นบทเรียนและบททดสอบชีวิตคู่ที่หนักหนาสาหัสเอาการทีเดียวเย็นวันหนึ่งหลังจากที่เขากลับมาจากบริษัท และเข้าไปเยี่ยมลูกสาวที่ห้อง NICU หรือห้องผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤตเหมือนเช่นทุกวัน พออัดคลิปเสร็จและได้ข่าวดีว่าลูกสาวตัวน้อยจะได้ออกจากตู้อบแล้วในอีกสองวันข้างหน้า ชายหนุ่มจึงเก็บข่าวดีนี้มาบอกแม่ของลูกที่ห้องพักฟื้นของเธอ“ปูนจ๋า...วันนี้พี่มีข่าวดีมาบอกด้วยนะ”เขาชินเสียแล้วกับการต้องพูดเองเออเองคนเดียวให้เธอฟัง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่รับรู้เรื่องราวอะไร นอกจากนอนหลับ“น้องปูเป้ ลูกสาวของเราจะได้ออกจากตู้อบวันมะรืนนี้แล้วนะ ดีใจไหม” ทุกครั้งที่เอ่ยถึงชื่อของลูกรัก ชายหนุ่มต้องมีรอยยิ้มเสมอปูเป้ ที่แปลว่า ตุ๊กตา ในภาษาฝรั่งเศสที่เขาเป็นคน
ความรักเป็นเช่นนี้เอง...ให้ได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิต ขอเพียงคนที่รักปลอดภัยทำไมนะ เขาถึงเพิ่งมาเข้าใจในวันที่เกือบสายเพียงคิดว่าต้องเสียเธอกับลูกไปต่อหน้าต่อตา แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง ให้ตายแทนเสียยังดีกว่า ต้องอยู่ในโลกที่ไม่มีเธอกับลูก!เพียงคิด หัวใจก็ปวดหนึบ มันมึนมันชาไปหมด“ตั้งสติไว้ลูก ไม่ใช่เวลาร้องไห้ เขาไม่ใช่แค่ลูกเมียแก แต่ในนั้นก็ลูกสาวและหลานสาวของพ่อกับแม่เหมือนกัน หายใจลึกๆ เข้าไว้ อะไรจะเกิดเราต้องยอมรับให้ได้” คุณเกรียงไกรเตือนสติจนิตาหน้าเสียในฐานะหมอเธอยอมรู้ดีกว่าใคร แม้จะเคยผ่านความเป็นความตายมานักต่อนักบอกได้คำเดียว เคสนี้ยาก เอาแค่แม่หากผ่าตัดสำเร็จ โชคดีอาจฟื้น แต่โชคร้ายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ไหนจะเด็กที่คลอดอีกล่ะ หกเดือนเศษตัวยังเล็กนัก หากโชคดีรอดก็อาจต้องอยู่ในตู้อบอีกนานเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับจะรอดในสภาพไหน สมบูรณ์ หรือไม่ต่างหากยากเกินไป ยากจริงๆทุกนาทีที่ผ่านไปช่างบีบหัวใจคนที่รอ นานหลายชั่วโมง ก่อนที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง พร้อมกับตู้อบที่มีทารกร่างเล็กน
ปรียากรได้แต่เก็บความสงสัยไว้โดยไม่ถามต่อ ในเมื่อเธอกับ ฉัตรินจบกันไปนานแล้ว เธอก็ไม่อยากยุ่ง เขาจะมีใครใหม่ หรือคบใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของเขา“อุ๊ย!” หญิงสาวเผลออุทาน เมื่อมีแรงเตะเบาๆ จากภายในท้อง ที่พักนี้มักจะมาบ่อย โดยเฉพาะเวลาที่คนเป็นแม่กำลังคิดมาก หรือไม่ก็คิดถึงพ่อของลูก“ตัวแสบของแม่ อย่าเตะแรงนักสิลูก แม่เจ็บนะ” ปรียากรบอกน้ำตาคลอ เธอชอบคุยกับลูกในท้องเสมอ สายใจความรักถูกถักทอในหัวใจเธอพร้อมกับสมานรอยแผลที่พ่อของลูกเคยทำให้เจ็บมาก่อนการดึงดันที่จะแต่งงานกับเขา อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้สูญเปล่า แม้จะต้องหย่ากัน เขาก็ยังอุตส่าห์ให้ลูกน้อยกับเธอมาเป็นรางวัลในความทุ่มเทที่สูญเปล่านั่นวันนี้เธอหันกลับมารักและทุ่มเทให้กับเจ้าตัวน้อยในท้องแทน“คิดถึงพ่อเขาล่ะสิ ไม่เป็นไรนะคะ ถึงหนูไม่มีพ่อ แต่แม่จะดูแลหนูให้ดีที่สุดเลยนะ อยากพบหน้าหนูเร็วๆ จัง”หญิงสาวลูบท้องกลมของตัวเองอย่างมีความสุข ดวงตาคู่งามมองไปด้านหน้าที่สัญญาณไฟจราจรเพิ่งเปลี่ยนเป็นสีเขียว“เอาล่ะ กลับบ้านเรานะลูกนะ”เธอว่าพ
ชีวิตเขามันโดดเดี่ยวอ้างว้างแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะชายหนุ่มนอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ปล่อยใจให้ล่องลอยไปไกล ทั้งๆ ที่เขาเป็นฝ่ายเรียกร้องที่จะหย่ากับเธอด้วยตัวเองมาตลอด แต่พอได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มาสักนิดคิดถึง...คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้ง พร้อมกับใบหน้าหวานของใครคนนั้นที่มักจะมาก่อกวนในใจในยามที่เผลอ ตอนแรกเขาใช้การทำงานให้หนักขึ้นเพื่อหวังให้ความคิดถึงที่มีหายไป แต่มันก็ไม่ค่อยได้ผล พอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวใจก็ลอยกลับไปหาคนที่ไม่สมควรคิดถึงทุกทีอยากรู้นัก เธอจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาหรือเปล่านะความคิดของเขามีอันต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงรถคุ้นหูแล่นผ่านไปทางบ้านใหญ่ของพ่อแม่ ร่างสูงจึงเด้งตัวผึ่งไปที่หน้าต่างห้องทันทีรถเก๋งสีขาวแล่นเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับที่พ่อแม่เขาลงจากรถ แต่แล้วหัวใจที่เคยเฉยชาก็กลับเต้นแรงขึ้นเมื่อเห็นร่างอวบอิ่มที่ตอนนี้สวมชุดคลุมท้องสีฟ้าสดใสเปิดประตูตามลงมา เพื่อช่วยลำเลียงสิ่งของที่ซื้อออกจากท้ายรถให้ฉัตรินสะดุดลมหายใจตัวเองทันใด เมื่อเห็นใบหน้าหวานส่งยิ้มให้พ่อแม
คุณโฉมฉายขมวดคิ้ว ก่อนหันไปสบตากันกับสามีอย่างแปลกใจเมื่อเห็นอดีตแคนดิเดตลูกสะใภ้ ที่วันนี้มาในชุดคลุมท้องแบบสวยทันสมัย“แล้วนี่คุณมาทำอะไรที่นี่คะ หรือมีใครเป็นอะไร เมื่อกี้รัญเห็นคุณปูนเพิ่งเดินออกไป หรือว่า...”“พวกเราพาหนูปูนมาฝากท้องน่ะจ้ะ”คุณโฉมฉายชิงตอบเสียเองด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนตอนที่เคยคบกับลูกชายของเธอเลย ในสายตาอีกฝ่ายมักมองเห็นแต่ลูกชายของเธอคนเดียว โดยไม่สนใจคนรอบข้างกระทั่งผู้ใหญ่ที่ยืนหัวโด่ในฐานะพ่อแม่ของคนที่เธอหมายปอง สวยก็จริงอยู่ แต่จริตมารยาทในการเข้าหาผู้ใหญ่สอบตก เมื่อเทียบกับปรียากรแล้วยังห่างชั้น“อ้าว คุณพ่อคุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ ขอโทษนะคะ หนูไม่ทันเห็น” คนพูดยกมือไหว้แผล็บ ก่อนส่งยิ้มหวานปะเหลาะพ่อแม่ของชายหนุ่ม“จ้ะ แล้วนั่นหนูท้องได้กี่เดือนแล้วจ๊ะ”รัญชิสาหน้าถอดสีเมื่อได้ยินคำถามแสลงหู แต่ก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป“รัญท้องได้สี่เดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่”“แล้วนี่ทำไมมาคนเดียวล่ะ พ่อของเด็กไม่มาด้วยหรือจ๊ะ&