“ที่นี่มีบ้านอีกหลังด้วยเหรอ” เรย์มีนหันไปถามมาเรีย
เมื่อเธอเดินออกมานั่งเล่นช่วงเย็น แล้วมองออกไปยังอีกฝั่งเห็นบ้านหลังขนาดกลางตั้งอยู่ริมสุด ด้านหลังเป็นทั้งบึงขนาดใหญ่ และสนามหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา หากให้เดาก็คงเอาไว้ขี่ม้า
“ค่ะ เป็นเรือนรับรอง”
เธอตอบสั้น ๆ แล้ววางถาดแก้วน้ำลง วางเสร็จก็รีบถอยหลังเดินออกไปทันที เรย์มีนหันกลับมาจะถามอะไรเพิ่มเติม แม่บ้านสูงวันก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
ร่างกายเริ่มเหนี่ยวเหนอะหนะ เพราะตั้งแต่เมื่อคืนเธอยังไม่ได้อาบน้ำเลย หญิงสาวสำรวจห้องครู่หนึ่ง คนรับใช้ก็เอาเสื้อผ้าหลายตัวมาส่งให้ โดยบอกว่าคุณฌอนสั่งให้นำมาให้เธอเปลี่ยน
เธอยิ้มหวานกับความเอาใจใส่ผู้นำแก๊งอันดับหนึ่งแล้วเผลอคิดเข้าข้างตัวเองว่าอนาคตอาจได้เป็นมาดามของตระกูลไคโร
“ฉันอยากเดินเล่นแถวนี้หน่อย ไม่ต้องเดินตามมานะ”
เรย์มีนเดินออกมาตรงบริเวณหน้าคฤหาสน์ หันกลับไปเห็นคนของที่นี่เดินตามเธอมาเป็นพรวน
“แต่ว่ามาเรียสั่งไว้ให้ติตตามคุณนะคะ”
“มาเรียเป็นแค่หัวหน้าแม่บ้าน แต่ฉันคือว่าที่มาดามของที่นี่”
น้ำเสียงกล่าวขึ้นด้วยความไม่พอใจ เหล่าคนรับใช้ต่างก้มหน้าแล้วขมวดคิ้ว จะมาเป็นมาดามได้อย่างไรก็ในเมื่อ มาดามของไคโรคือคุณนับหนึ่ง
คฤหาสน์แห่งนี้ใหญ่โต และกว้างขวางสมคำร่ำลือจริงๆ น้อยคนนักที่จะได้เข้ามาเยือน หากคนนั้นไม่สำคัญ เพราะอย่างนี้ไงเธอจึงคิดว่าตัวเองคงได้เลื่อนสถานะจากแค่คู่ควงมาเป็นคู่ชีวิต
หญิงสาวเดินเล่นไปรอบ ๆ และเริ่มรู้สึกเหนื่อย พอมองเห็นว่าเรือนรับรองอยู่ไม่ไกลเธอเลยเดินแวะเข้าไปดู เผื่อว่าจะมีคนรับใช้อยู่แถวนั้นบ้างสักคน ซึ่งก็มีอยู่จริงๆ เธอจึงร้องเรียก
“นี่ หล่อนน่ะ”
เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนเรียก นับหนึ่งชะงักมือแล้วเงยหน้าหันกลับไปมอง เธอจำได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ลงมาจากรถของคุณฌอน
“เธอนั่นแหละ ไปเอาน้ำมาให้ฉันกินหน่อย”
นับหนึ่งได้ยินประโยคคำสั่งจากเจ้าตัว มันมีความเจ้ากี้เจ้าการแสดงความเป็นเจ้านายจนรู้สึกน่าหมั่นไส้ เธอจึงเลือกไม่สนใจแล้วก้มหน้าลงตักมูลสัตว์ใส่แปลงผักสวนครัวต่อ
“นี่ นังอ้วน! ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง” สองมือยกขึ้นเท้าเอว กับการเมินเฉยของอีกฝ่าย
คนเจ้าเนื้อเม้มปากเข้าหากันแน่น ระงับอารมณ์ขุ่นมัวไว้ในใจ หากการที่ผู้นำของเดียร์มาสพาใครสักคนมาที่นี่ นั่นหมายความว่าบุคคลนั้นต้องสำคัญมาก ถ้าเธอผลีผลามทำอะไรไปอาจเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้
“ได้ยินค่ะ ถ้าคุณอยากได้น้ำสักแก้ว ควรกลับไปยังคฤหาสน์ไม่ใช่มาจิกหัวเรียกใช้คนอื่นโดยไม่รู้จักกันอย่างนี้”
ร่างอ้วนลุกขึ้นสะบัดมือ แล้วขยับหมวกที่ปิดบังใบหน้าออก สายตาทั้งคู่สบกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม คนหนึ่งก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของเดียร์มาส ส่วนอีกคนก็คิดว่าเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย
“เป็นแค่คนรับใช้กล้าดียังไงถึงมายอกย้อน เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
เรย์มีนขยับเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น สีหน้าแววตาพร้อมเอาเรื่องอีกฝ่าย ทว่านับหนึ่งกลับยกยิ้มมุมปากเหมือนยียวน
“ไม่ทราบสิคะ ฉันเองก็เพิ่งเห็นคุณวันแรก ไม่เคยเห็นมาก่อนถ้าให้เดาว่าเป็นคนรับใช้ใหม่ก็คงไม่ใช่ เพราะการแต่งตัวดูดีกว่ามาก”
“นี่แกกล้าเปรียบเทียบฉันกับคนรับใช้เหรอ”
“แล้วแกจะทำไม คิดว่าจะเรียกจิกใครยังไงก็ได้อย่างงั้นเหรอ”
“ฉันจะสั่งให้คุณฌอนไล่แกออก”
“เชิญค่ะ ฉันก็อยากรู้ว่าคุณฌอนของคุณจะกล้าไล่ฉันออกไหม”
นับหนึ่งพูดท้าทายแล้วย่อตัวลงถือตะกร้าผักที่เก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินผ่านคนร่างบางออกไป
เดินมาถึงตรงทางเข้าประตูด้านหลัง แขนอวบถูกกระชากอย่างแรงจนตะกร้าผักในมือร่วงลงพื้น
ตุบ!
“เฮ้ย! คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” เธอมองผักสดบนพื้นแล้วเงยหน้ามองบุคคลที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนอย่างไรกับสามีตนเอง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เรย์มีนตีหน้าซื่อ
“ไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง ฉันเห็นอยู่ว่าคุณจงใจกระชากแขนฉัน”
“ก็ใครใช้ให้เธอเดินหนี” ใบหน้าสวยไม่ได้การันตัว่าจะนิสัยดี เห็น ครั้งแรกก็อุตส่าห์นึกชื่นชม
“เดินหนีน่ะถูกต้องแล้ว ฉันกลัวตัวเองจะอดกลั้นได้ไม่มากพอ”
ปกติเธอเป็นคนใจเย็น และมีเหตุผลเสมอ แต่ถ้ามาแสดงกิริยาไม่น่ารักเรียกจิกคนอื่น แล้วถามหาความมีน้ำใจแบบนี้เธอก็สามารถเป็นคนใจร้อนได้เหมือนกัน
เรย์มีนเห็นแววตานับหนึ่งขุ่นเคืองแสดงความไม่เป็นมิตร เริ่มสงสัยขึ้นมาแล้วว่าเธอเป็นใครกันแน่ ทั้งที่ตนเองประกาศชัดเจนว่าเป็นแขกคนสำคัญของเดียร์มาส
“ฉันเรย์มีน ไทสัน”
นับหนึ่งยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง เธอเคยเห็น และเคยได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้อยู่บ้างผ่านทางโลกออนไลน์ แต่ไม่เคยระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเลย
“แกเป็นยังไงบ้างเจ็บมากหรือเปล่า” วิลันดาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเพื่อนทำท่าเหมือนจะร้องไห้“เจ็บมากเลยแก เจ็บทั้งใจเจ็บทั้งตัวเสียทั้งลูก” ปากเรียวฉีกยิ้มให้กับเพื่อนแต่ดวงตากลับคลอไปด้วยหยดน้ำใส“โธ่ ยัยกรีน ทำไมแกต้องมาเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ด้วยฉันไม่คิดเลยว่าคุณชรัณต์เขาจะทำร้ายแกได้ลง” ร่างเล็กของวิลันดาก้มลงกอดเพื่อนแม้จะมีเหล็กกั้นเตียงเป็นอุปสรรคอยู่บ้างแต่มันก็ไม่สามารถกั้นความเป็นห่วงของเพื่อนที่คอยดูแลกันมาตั้งแต่เด็กได้“ฉันขอบใจแกมากนะที่คอยไปดูร้านให้”“ไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้สบายมาก ว่าแต่แกเถอะจะเอายังไงต่อไปเรื่องคุณชรัณต์” ที่ถามแบบนี้เพราะหล่อนรู้ดีว่าเพื่อนเธอรักเขามากแค่ไหนแต่ว่าทำร้ายกันขนาดนี้ถ้าเพื่อนเธอยังให้อภัยได้ก็แกร่งเกินคนแล้ว ส่วนเธอก็เตรียมกินอาหารเม็ดแทนข้าวได้เลย“แกช่วยหาทนายเก่ง ๆ สักคนให้หน่อยได้ไหม”หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามเพื่อนแต่พอวิลันดาได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับและพอเข้าใจความหมายจึงไม่ได้ถามอะไรต่อจนกระทั่งพ่อกับย่าศรีไพรเข้ามาเยี่ยมเธอจึงขอตัวลากลับทางด้านอรจิราซึ่งก็รู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองร่วมก่อจึงเดินทางมาเยี่ยมกวินตาเหมือนกันแต่เธอไม่ยอ
บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินชรัณต์ยังคงมองผ่านช่องกระจกใสเข้าไปด้านใน ทีมแพทย์และพยาบาลต่างวุ่นวายกับการรักษาเสียงร้องจากความเจ็บปวดของคนเป็นเมียดังเล็ดรอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ เสียงที่ได้ยินมันช่างบาดลึกลงไปก้นบึ้งของหัวใจ“ยัยกรีนอยู่ไหน หลานย่าอยู่ที่ไหน”หญิงชราเดินโอนเอนด้วยความเร็วเข้ามาโดยที่มีพ่อของกวินตาประคองเข้ามา ชรัณต์รีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะเอ่ยขอโทษที่ดูแลกวินตาไม่ดีโดยที่คิดว่าพวกท่านไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือแรง ฝ่ามือจากคนเป็นพ่อตา“คุณพ่อ”“ไม่ต้องมาเรียกผมว่าพ่อ คุณทำกับลูกสาวผมแบบนี้ได้ยังไง” สองมือขยุ้มคอเสื้อสรรพนามที่เรียกลูกเขยเปลี่ยนไปเป็นห่างเหินจากที่เมื่อก่อนท่านเคยรักและเอ็นดูยามนี้แทบไม่อยากจะเผาผีผู้ชายตรงหน้าด้วยซ้ำ ใบหน้าคมคายสลดลงดวงตาแดงก่ำร่างสูงสั่นคลอนไปมาตามแรงเขย่า“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่ได้ตั้งใจเหรอคุณกล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ฮะ!” ยิ่งชรัณต์พูดก็เหมือนกับแก้ตัวมันกลับยิ่งเพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นไปอีกจนก้านแก้วต้องรีบเข้ามาห้ามปราม“พอเถอะค่ะคุณ ต้นเหตุเรื่องทุกอย่างมันเป็นเพราะฉันเอง”“ก้านแก้ว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ย
เสถียรรู้ดีว่าในสายตาของลูกชายเมียเก่าของเขานั้นเป็นเหมือนนางฟ้าใจที่มีจิตใจดี แต่ใครจะรู้ว่านั่นมันคือเปลือกนอก“ไม่จริง พ่อโกหกผมเพื่อปกป้องมัน” ดวงตาคมแดงก่ำลำคอแข็งเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่“ถ้าไม่เชื่อแกก็เอานี่ไปอ่าน จดหมายส่งมาจากเรือนจำถ้าอ่านแล้วแกไม่เชื่อก็ไปหาไอ้ภากรได้เลย ที่พ่อปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เพราะไม่อยากเห็นแกต้องเสียใจ คุณก้านแก้วเขายอมรับบทเป็นคนร้ายให้แกทำร้ายมานานเกินไปแล้วตารัณต์”คนเป็นพ่อยื่นจดหมายให้ลูกพร้อมกับเอื้อมมือไปตบไหล่ ชายหนุ่มมองหน้าพ่อตัวเองแล้วไม่อยากจะเชื่อกับความจริงที่ได้รับรู้ก้านแก้วเดินเข้าไปประคองเสถียรด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าช่วงนี้สุขภาพของคนเป็นสามีไม่ค่อยดี เธอได้แต่ยกมือไหว้และยิ้มขอบคุณที่อย่างน้อยสามีเธอก็เป็นคนมีเหตุผล ความผูกพันที่เธอได้อยู่กันมามันหล่อหลอมเป็นความเข้าใจมือสั่นเทาเปิดอ่านจดหมายทีละคำด้วยทุกบรรทัดมันได้เล่ารายละเอียดเรื่องราวที่ทำให้เขาฝั่งใจจนเก็บเป็นความแค้นเอาลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาช้า ๆ เขาร้องไห้มันออกมาโดยที่ไม่อายใครแต่แล้วความแค้นที่เขาได้ก่อไว้มันกำลังจะหวนกลับมาคืนสนองเ
รุ่งเช้าของวันใหม่กวินตาตื่นขึ้นมาภายในห้องนอนของตัวเอง เธอมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งมือบางสัมผัสเตียงนอนที่พวกเขามาเสวยสุขกันบนนี้เธอยิ่งรู้สึกรังเกียจร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงแล้วกระชากผ้าปูที่นอนออกไปกองไว้กับพื้น แค่คิดถึงเรื่องอย่างว่าที่พวกเขาทั้งสองมาเหยียบย้ำหัวใจเธอมันก็เกิดอาการอยากอาเจียนขึ้นมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอ้วกในห้องน้ำบนโต๊ะอาหารเช้าทุกคนต่างลงมานั่งรอทานอาหารด้วยกันเว้นเพียงกวินตาที่ยังไม่ได้ลงมาจากด้านบนเพียงแค่คนเดียว“แล้วนี่กวินตาไปไหน ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ฉันยังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นลงมากินอาหารเช้าร่วมกับคนอื่นเลยนะ”อยู่ ๆ เสถียรก็ถามหากวินตาขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่สนใจเสียด้วยซ้ำและไม่เคยยอมรับว่ากวินตาเป็นลูกสะใภ้“ฉันก็ไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่เห็นเธอลงมาจากบนห้องเลยตั้งแต่เช้า”ก้านแก้วเองก็รู้สึกเป็นห่วงลูกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งได้ยินเรื่องเมื่อวานเย็นที่ป้านวลเห็นเรื่องบัดสีของชรัณต์กับอรจิราแล้วนำมาเล่าให้ฟังเธอยิ่งรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวจับใจบทสนทนาของคนเป็นพ่อกับแม่เลี้ยงอรจิราได้ยินทุกคำแล้วหันไปมองหน้าชรัณต์ที่นั่งกินข้าวเหมือนทองไม่รู้ร้
หายไปไหนมา รู้ไหมนี่มันกี่โมงแล้ว” น้ำเสียงที่ตะโกนถามตั้งแต่กวินตายังเดินไม่พ้นขอบประตูบ้านเสียด้วยซ้ำ ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใครไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินรังแตนจากที่ไหนมาถึงได้มาฉุนเฉียวใส่หน้าเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกของวัน“สองทุ่มค่ะ ยังไม่ได้ดึกด้วย” น้ำเสียงราบเรียบที่ตอบหญิงสาวไม่รู้เลยว่าได้สร้างความเดือดดาลให้กับชรัณต์มากขึ้นไปอีก“แล้ววันนี้ไปไหนมา ผมโทรไปที่ร้านคุณก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่น” มือหน้าคว้าเข้าไปที่ต้นแขนพร้อมกับออกแรงบีบจนขึ้นรอยแดงแม้มันจะเจ็บแต่กวินตาก็ไม่เอ่ยร้องออกมาเหมือนทุกครั้งในเมื่อเขาอยากจะทรมานเธอเพื่อระบายความแค้นเธอก็จะยอมทนแต่เมื่อใดที่เธอหลุดพ้นไปแล้วเธอสัญญาว่าจะไม่หวนกลับมาอย่างแน่นอน“ไปกับวิมาค่ะ เรานัดทานข้าวด้วยกัน”“แล้วทำไมถึงไม่บอกคนที่บ้านไว้ ไปไหนมาไหนทำไมถึงไม่บอก”ชรัณต์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกลายเป็นคนจู้จี้ไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อก่อนหญิงสาวจะไปไหนมาไหนเขาแทบจะไม่เคยเอ่ยปากถามเลยเสียด้วยซ้ำ“จำเป็นด้วยเหรอคะ เพราะยังไงการที่กรีนอยู่บ้านหลังนี้ก็เหมือนวิญญาณที่ไร้ตัวตนอยู่แล้ว จะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกัน”คางเล็กเชิดขึ้นมองตาคนที่สูงกว่าเห
“ป้านวล หนูกรีนยังไม่ลงมาทานข้าวอีกเหรอ” ก้านแก้วหันไปถามแม่บ้านที่กำลังยกทัพพีตักข้าวให้กับเสถียร“คุณกรีนออกไปข้างนอกตั้งแต่รุ่งสางแล้วค่ะ ไม่ได้บอกไว้ว่าไปไหนแต่เห็นบอกว่าคืนนี้จะไม่กลับมานอนที่นี่นะคะ”ชรัณต์ที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าอยู่เมื่อได้ยินอย่างนั้นถึงกับ ขบกรามแน่น เขาไม่พอใจที่เธอไปไหนมาไหนไม่บอกจึงวางช้อนลงพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะอาหาร“คุณอิ่มแล้วเหรอคะรันต์ อรเห็นทานแค่ไม่กี่ช้อนเองนะ” อรจิราเอ่ยทักท้วงเมื่อเห็นเขาลุกขึ้นยืน“กินไม่ลง เห็นหน้าฆาตกรแล้วชวนอ้วก” ไม่ได้แค่เอ่ยประโยคทิ่มแทงออกมาแต่ดวงตาคมยังตวัดมองก้านแก้วซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกด้วยชรัณต์เดินออกมาบริเวณหน้าบ้านโดยที่มีอรจิราเดินตามหลังออกมาพร้อมกับถือกระเป๋าสะพาย“แล้วนี่คุณจะไปไหน” เมื่อเห็นหญิงสาวจะเดินไปยังโรงเก็บรถชรัณต์จึงเอ่ยปากถาม“คุณรันต์อย่าลืมสิคะว่าอรก็มีงานที่จะต้องทำไม่ได้มีหน้าที่เล่นละครรับบทบาทเป็นเมียหลวงอย่างเดียวนะ” รอยยิ้มอ่อนผุดขึ้นบนใบหน้าชรัณต์มองตามหลังรถของอรจิราที่เคลื่อนออกไปแล้วจึงยกโทรศัพท์โทรหากวินตาแต่ทว่าโทรไปเท่าไรเจ้าตัวก็เอาแต่ตัดสายทิ้งแถมสายล่าสุดยังปิดเครื