“คุณเรย์เดน กลับไปแล้วครับ”
เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ยืนทอดมองวิวเบื้องหน้าผ่านผนังกระจก ค่อยๆ หันกลับไปมองเจ้าของเสียง ที่เดินเข้ามารายงานด้วยความเย็นกระด้าง
“แล้วให้คนไปส่งเรย์มีนหรือยัง”
“ไปส่งแล้วครับ...”
คำรายงานกล่าวเรียบนิ่ง เปรยตามองเจ้านายวูบหนึ่งแล้วก้มมองต่ำ ฌอนเห็นถึงสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขาก้าวเท้าไปย่อตัวนั่งลงเก้าอี้ทำงาน
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาทำหน้าเป็นหินปั้นแบบนั้น”
ฌอนก้มมองแฟ้มในมือ จับปากกาขึ้นมาตวัดลายเส้นลงบนกระดาษ เมื่อยังเห็นบอดีการ์ดยืนนิ่งเงียบอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมอง
สายตาเย็นเยียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเขม็ง เดฟพ่นลมหายใจหนักออกมาจนไหล่ไหว ถึงได้ยอมอ้าปากพูด
“เจ้านายคิดยังไง ถึงได้พาคุณเรย์มีนย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์”
“ก็ไม่ได้คิดอะไร การให้ความสำคัญกับผู้หญิงหลงทางมันจะสร้างความประทับใจ จนกลายเป็นที่พักพิง เวลาอยากได้ข้อมูลอะไรก็คายออกมาอย่างง่ายดาย...”
“แล้วคุณนับหนึ่งล่ะครับ เธอก็เป็นผู้หญิงที่ต้องการความสำคัญเหมือนกัน เพราะเธอเป็นภรรยา ถ้าคุณเรย์มีนเข้าไปอยู่เกรงว่า...”
เดฟ ครูซ หยุดพูดเหลือบไปเห็นสายตาของผู้เป็นเจ้านายจับจ้องมา ฌอนไม่ได้โต้แย้ง หรือออกความคิดเห็นกับประโยคของลูกน้อง แล้ววาง
สีหน้าเรียบเฉย
ใช่ ... เรื่องนี้เขาลืมนึกถึงความรู้สึกของนับหนึ่ง
แต่ ... ใครจะไปสนกัน
ความคิด และความรู้สึกสับสนตีกันภายในใจ แต่ก็เก็บซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง...
ความวุ่นวายของคฤหาสน์หลังใหญ่เริ่มขึ้น หลังจากมาเรียวางสายจากลูกน้องมือขวาเดียร์มาสกรุ๊ป หลังจากนั้นเหล่าแม่บ้านก็ยุ่งกับการจัดเตรียมห้องให้คนสำคัญของไคโร
นับหนึ่งพาอรนิดออกมานั่งรับลมศาลาริมบึง เห็นบอดีการ์ดรักษาความปลอดภัยดูหนาขึ้นผิดหูผิดตา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่รถหรูสองคันเคลื่อนเข้ามาจอด นับหนึ่งย่นคิ้วเข้าหากัน เพิ่งจะเที่ยงวันทำไมวันนี้เขากลับมาเร็วนักล่ะ ความสงสัยได้หยุดเอาไว้แค่นั้น เมื่อผู้ที่ก้าวเท้าลงมาจากบนรถเป็นผู้หญิง
“ใครกันน่ะหนึ่ง เขามาหาใคร แต่ปกติแล้วคุณฌอนไม่เคยพาใครมาที่นี่เลยนะ นับตั้งแต่ผู้นำคนเก่าตาย”
อรนิดเอ่ยถามด้วยความสงสัย เธอรู้ดีว่าทำไมมาเฟียหนุ่มถึงไม่ให้ใครย่างกายมาที่นี่เลย เพราะต้องการเก็บซ่อนลูกสาวของตนเองเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ แน่นอนว่าอรนิดไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของนับหนึ่งเท่านั้น
หากวันหนึ่งคนเหล่านั้นตามหาเธอเจอ เท่ากับว่านับหนึ่งต้องไม่ปลอดภัย และผู้ที่จะคุ้มครองได้ตอนนี้ก็มีแค่แก๊งเดียร์มาสเท่านั้น
“หนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ แต่เธอสวยมากเลยนะคะ”
นึกชื่นชมผู้หญิงคนนั้น เธอสวมชุดเดรสสีสด วงหน้ารูปไข่ ผมสีน้ำตาลยาวถูกดัดเป็นลอน นับหนึ่งชะเง้อคอมองเรย์มีนจนลับสายตา
“เดี๋ยวค่ะคุณมาเรีย”
หัวหน้าแม่บ้านเดินผ่านมาทางนั้นพอดี นับหนึ่งจึงเรียกเอาไว้ หญิง
สูงวัยหันกลับมาหาช้า ๆ รอยยิ้มประดับบนหน้าอย่างไม่เต็มใจ เหมือนกับเธอกำลังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้
“มะ ... มีอะไรเหรอคะ คุณนับหนึ่ง”
น้ำเสียงอ้อมแอ้มทำให้คนเจ้าเนื้อย่นหัวคิ้วเข้าหากัน มันมีบางอย่างสะดุดใจเธอขึ้นมาอย่างประหลาด
“เมื่อกี้หนึ่งเห็นรถคุณฌอนพาผู้หญิงคนนั้นมาที่คฤหาสน์ แขกคุณฌอนเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ”
“แปลกนะคะ หนึ่งไม่เคยเห็นเขาพาใครมาที่นี่เลย คงเป็นแขกที่ต้องสำคัญมากๆ”
“ไม่ทราบสิคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอไปเตรียมของว่างนะคะ”
“ค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหนึ่งจะเข้าไปเตรียมมื้อเย็นให้คุณฌอนนะคะ”
มาเรียชะงักสีหน้าไปชั่วขณะ เท้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม นับหนึ่งเอียงคอมองด้วยความสงสัย ไหนบอกว่ารีบไปเตรียมอาหารว่าง
มาเรียยกสองมือกุมเข้าหากันแล้วบีบแน่นโดยไม่ให้ มาดามของตระกูลเห็น ใบหน้าเหี่ยวย่นหันกลับไปมองกลบเกลื่อนความกังวลด้วยการคลี่ยิ้ม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ เหมือนคุณมาเรียมีอะไรจะพูด”
“คือว่า ... คุณฌอนสั่งเอาไว้ว่าเย็นนี้ไม่ต้องให้คุณหนึ่งเตรียมอาหารค่ะ ท่านจะสั่งอาหารยุโรปจากโรงแรมมาทาน”
หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ทว่าความแคลงใจบางอย่างกลับผุดขึ้นมา ว่ากันว่าสัญชาตญาณของผู้หญิงมักจะแม่นอยู่เสมอ นับหนึ่งได้แต่มองตามหลังของหัวหน้าแม่บ้าน
“หนึ่งเป็นอะไรหรือเปล่าลูก แม่เห็นเงียบไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
อรนิดเห็นลูกสาวยืนปอกผลไม้ด้วยอาการเหม่อลอย นับหนึ่งหันไปหาแม่ด้วยรอยยิ้มบางเบา ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี่อย่างไร
“คิดมากเรื่องผู้หญิงที่มาวันนี้เหรอลูก”
“ค่ะ หนึ่งรู้สึกแปลก ๆ”
“ไม่รู้สึกสิแปลก หนึ่งกำลังคิดมากเพราะหึงคุณฌอน”
“หึงเหรอคะ?”
“ใช่ ... หึง ที่ลูกหึงเพราะลูกรักคุณฌอน”
“แต่เขาไม่เคยรักหนึ่ง...”
คำว่าไม่รักเจือปนไปด้วยความเศร้าในน้ำเสียง อรนิดรู้ดีว่าลูกสาวหลงรักมาเฟียหนุ่มมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เพราะความเข้าใจผิดบางอย่างจึงทำให้ความรักของลูกสาวไม่สมหวัง และเธอก็ยังไม่สามารถบอกความจริงได้
“แม่คะ หนึ่งสัญญานะ ถ้าหนึ่งมีเงินมากพอที่จะรักษาแม่ เราจะไปจากที่นี่กัน” หญิงสาวย่อตัวลงจับมือแม่ขึ้นมากุม อรนิดรีบสายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ได้! หนึ่งกับแม่จะไปจากที่นี่ไม่ได้ ต่อให้แม่ตายไปแล้ว หนึ่งก็อย่าไปจากที่นี่เด็ดขาด สัญญากับแม่สิ”
หญิงสูงวัยแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เธอเอ่ยเรื่องย้ายออกมจากที่นี่มา หรือแม้แต่เรื่องหย่ากับผู้นำของเดียร์มาส
ผู้เป็นมารดาก็เอาแต่ปฏิเสธ
“รับปากกับแม่ หนึ่งจะไม่ไปจากที่นี่เด็ดขาด มีแค่เดียร์มาสเท่านั้นที่จะคุ้มครองลูกได้ ลูกต้องเป็นมาดามของไคโรต่อไป”
อรนิดเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกุมมือลูกสาวบ้าง ออกแรงบีบเบา ๆ เมื่อ
ลูกสาวยังคงเงียบ หากถึงเวลาที่เหมาะสมเธอจะเป็นคนบอกเหตุผลเอง
“ค่ะ หนึ่งรับปาก”
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ