ณ โรงพยาบาลเดียร์มาสอินเตอร์เนชั่นแนล
รถเข็นของอรนิดถูกเคลื่อนออกมาจอดด้านหน้าห้องตรวจโดยมี
นับหนึ่งเป็นคนเข็นออกมา บอดีการ์ดนายหนึ่งวิ่งมารับช่วงต่อในการเข็นรถ
“นายช่วยพาคุณแม่กลับไปรอที่รถก่อนนะ ฉันจะไปรอรับยา”
นับหนึ่งบอกเสร็จกำลังจะหมุนตัวเดินผละไป รู้สึกได้ถึงมือข้างหนึ่งของผู้เป็นแม่กระตุกชายเสื้อ
“แม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” ย่อตัวนั่งยองยอ จับที่พักแขนรถเข็น
“ทำไมต้องไปรับยาเองด้วยล่ะ ให้ทางโรงพยาบาลส่งไปให้ก็ได้นี่นา ลูกเป็นถึงมาดามเดียร์มาสทำไมต้องไปนั่งรอ”
“แม่อย่าพูดเรื่องนี้ค่ะ...” หญิงสาวหันมองซ้ายมองขวา เกรงว่าจะมีคนแถวนั้นผ่านมาได้ยิน ก่อนเอ่ยพูดต่อ
“รอรับแค่แป๊บเดียวค่ะ ดีกว่ารอให้คนเอาไปส่ง ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง”
อรนิดพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกให้บอดีการ์ดเข็นรถกลับยังรถตู้ที่จอดตออยู่ด้านหน้า หล่อนรู้ดีว่าลูกสาวจงใจเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะมาเฟียหนุ่มสั่งห้ามเอาไปบอกใครว่ามีนับหนึ่งเป็นเมีย
คล้อยหลังผู้เป็นแม่ลับตาไปแล้ว นับหนึ่งหนึ่งผลักประตูห้องตรวจเดิมเข้าไปด้านในอีกครั้ง ไม่ได้เดินไปรับยาอย่างที่บอก แต่เลือกสั่งพยาบาลให้เอามาให้แทน
แผ่นเอ็กซ์เรย์บนหน้าจอมอนิเตอร์ถูกขยายกว้างขึ้น เธอเห็นฝ้าสีขาวกระจายไปทั่ว และคลิปวิดีโอของลำไส้เปิดให้เห็นว่าด้านในถูกทำลายไปหมดแล้ว
ใช่ ... แม่เธอไม่ได้อาการดีขึ้น แต่มันกลับแย่ลงกว่าเดิม
“หมอเกรงว่า...”
คุณหมอหนุ่มหยุดคำพูดเอาไว้ลอบกลืนน้ำลายลงคอ เพราะกลัวว่าหากพูดอะไรให้ไม่พอใจ ชีวิตเขาอาจะดับดิ้นลงตรงนี้ภายในหนึ่งชั่วโมงเลยก็เป็นได้ เพราะทั้งโรงพยาบาลมีเขาและพยาบาลในวอร์ดคนเมื่อครู่เท่านั้นที่รู้ว่าเธอเป็นใคร
“เกรงว่าอะไรคะ?”
“อาการของคนไข้ไม่ดีขึ้นเลย เชื้อของมะเร็งกระจายไปบริเวณอื่น ตัวยาที่ให้ไปเป็นชนิดรุนแรงที่สุดแล้ว หมอว่าญาติคนไข้ต้องทำใจไว้บ้าง”
หญิงสาวเม้มปากเข้าหากันแน่นนิ้วมือจิกลงหน้าขา เธอรู้ดีว่าเวลานี้ต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้
คุณหมอรักษาและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด การรักษาทุกอย่างถูกทำมาหมกแล้วแต่มันก็ได้ผลชั่วคราว สุดท้ายแล้วเชื้อก็กลับมาใหม่เหมือนเดิม
“เหลือเวลาอีกเท่าไรคะ” เงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงสั่นเครือ
เธอได้แต่ภาวนาขอเวลาให้ได้อยู่กับแม่เพิ่มอีหน่อย เพราะตัวเธอเองไม่ได้มีญาติที่ไหน แม่จึงเป็นสิ่งเดียวที่คอยยึดเหนี่ยวหัวใจของเธอ
“3 เดือนครับ”
ประโยคนั้นดังวิ่งอยู่ในหู ร่างกายชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าดวงตาแดงก่ำ ร่างอ้วนเดินเลื่อนลอยไร้สติ ทุกอย่างตีกันในหัวไปหมด สติลอยออกไปไกลจึงทำให้ไม่ทันได้ระวังชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเข้า
ตุบ!
ถุงยาในมือร่วงหล่นลงพื้นคราวนี้สติเธอกลับมาอย่างไว คนเจ้าเนื้อรีบยกมือไหว้ขอโทษแบบคนไทยพร้อมก้มลงเก็บซองยา โดยมีชายสูงอายุที่เธอเพิ่งเดินชนไปเมื่อครู่ย่อตัวนั่งเก็บช่วย
“ขอบคุณมากนะคะ แล้วหนูก็ต้องขอโทษด้วยที่เดินไม่ทันระวัง”
“ไม่เป็นไร คงช็อกจากผลตรวจมาสินะ มะเร็งก็แบบนี้แหละรักษายากเมื่อรู้ว่าเป็นแล้วก็ระมัดระวังการกินให้ดี”
“หนูไม่ได้ป่วยเองหรอกค่ะ ... ว่าแต่ทราบได้ยีงไงคะว่ายาพวกนี้เอาวรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง” นับหนึ่งยกถุงยาขึ้น ชายแก่ยิ้มมุมปากแต่ท่าทีกลับดูสุขุม และเย็นยะเยือกจนดูน่าเกรงขาม
ปลายเท้าขยับถอยหลังเล็กน้อยจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า มีชายชุดดำสองคนยืนอยู่ด้านหลังสองมือประสานอยู่ด้านหน้าอย่างนอบน้อม
“ตัวยาเหมือนกับคนรู้จักฉันที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งค่ะ”
“ออค่ะ” เธอยิ้มรับ กำลังจะเอ่ยขอตัว ชายแก่ตรงหน้ารรีบยิงคำถามขึ้นมาใหม่อีกรอบ
“เป็นคนไทยเหรอ”
นับหนึ่งย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรเพราะวัฒนธรรมไทย การไหว้เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติที่ทั่วโลกต่างรู้จักเป็นอย่างดี
เธอเพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ และส่งยิ้มมุมปากให้ ขณะนั้นสายตาเหลือบไปเห็นบอดีการ์ดของตนเองกำลังเดินตรงมาทางนี้เธอจึงรีบเอ่ยลาและเดินจ้ำอ้าวจากไป
ชายสูงวัยหันมองตาม สีหน้ามีความสงสัย และรู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวเหลือเกิน ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณเดลเลอร์ ผมเห็นท่านอยากคุยกับผู้หญิงเมื่อครู่ต่อ”
“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเธอย่างบอกไม่ถูก”
“แต่เธอเดินไปกับคนของเดียร์มาส รู้สึกว่าผู้ชายที่เดินตามหลังน่าจะเป็นบอดีการ์ดฝีมือดี” เดลเลอร์มองตามหลังจนสุดสายตา และสั่งให้คนของตัวเองไปสืบมา อย่างน้อยถ้าเธอเป็นคนสำคัญของไคโรก็ยังหาวิธีเอาไปต่อรองธุรกิจในไทยกับฌอน ไคโร ได้อยู่บ้าง
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ