“จะจ้องหน้าฉันอีกนานไหม ตื่นแล้วก็กลับไปซะ”
เสียงเข้มพูดทั้งที่ตายังไม่ทันลืมขึ้น สมกับเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย สัญชาตญาณเป็นเลิศ รับรู้ทุกอย่างรอบ่ตัวโดยไม่ต้องลืมตาขึ้นมามองเสียด้วยซ้ำ
“ค่ะ หนึ่งกำลังจะไป หวังว่าคุณฌอนจะรักษาสัญญานะคะ”
เป็นประโยคทิ้งท้ายก่อนประตูบานใหญ่จะปิดลง เรียกว่าเสียเชิง
มาเฟียได้หรือเปล่า วางอำนาจเกรงขามต่อหน้าผู้คนใต้ปกครองนับร้อย
นับพัน กลับต้องมาพ่ายแพ้ต่อผู้หญิงตัวกลม ๆ ที่เขาเพิ่งออกคำสั่งลงโทษไปเมื่อคืน แถมยังเป็นคนอุ้มเธอขึ้นมาบนห้องหลังจากหมดสติไปอีก
ให้ตายสิ! เธอมันน่ารำคาญที่สุดในชีวิตแล้ว...
“มิก้า นับหนึ่งอยู่ที่ไหน?”
เสียงแหบพร่าไร้เรี่ยวแรงเอ่ยถามสาวรับใช้ เมื่อเห็นว่าสายมากแล้วแต่ลูกสาวยังไม่ได้เข้ามาหา มิก้าชะงักมือเล็กน้อยหลบสายตาหญิงสูงวัย
กล่าวตอบไม่เต็มเสียง
“มาดาม ปฏิบัติคุณฌอนอยู่ค่ะ”
“ปกติเวลานี้ ยัยหนึ่งก็ลงมาแล้วนี่”
“เออ...คือว่า”
การโกหกเป็นอะไรที่ยุ่งยากเกินไปสำหรับมิก้า หล่อนโกหกไม่ค่อยเก่ง ยิ่งถูกซักไซ้ยิ่งแล้วใหญ่
“หนึ่งอยู่ค่ะแม่ มิก้ามีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ”
เหมือนเสียงสวรรค์มาช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา หากช้าอีกนิดเธอได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้คุณอรนิดฟังแล้ว แต่ถึงเล่าไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายแล้วผู้มีอำนาจสูงสุดก็เป็นคุณฌอนอยู่ดี
“วันนี้ลูกลงมาช้านะ”
“หนึ่งเตรียมมื้อเช้าให้คุณฌอนอยู่ค่ะ วันก่อนไม่ได้เตรียมไว้ มาเรีย
บอกว่าเขาหงุดหงิด หนึ่งไม่อยากให้ทุกคนโดนดุไปด้วย วันนี้เลยเตรียมอาหารไทยเป็นมื้อเช้าให้ค่ะ”
ขณะอธิบายให้แม่ฟังมืออวบก็ขยับผ้าห่มพับเก็บเรียบร้อย แล้วประคองร่างทรุดโทรมลงจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำ เพื่อชำระร่างกายและเตรียมตัวไปโรงพยาบาลตามที่หมอได้นัดเอาไว้
ร่างกำยำเดินออกมาจากตัวบ้านกำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ แต่แล้วต้องหยุดลง เมื่อเหลือบไปเห็นรถตู้ทรงยุโรปจอดอยู่ตรงเรือนหลังเล็กพร้อมด้วยบอดีการ์ดสองนายยืนอยู่เพื่อตามไปดูแล
“วันนี้นับหนึ่งจะออกไปไหนอีก”
มาเฟียหนุ่มหันไปถามมือขวาเสียงเรียบนิ่ง นัยน์ตามีความขุ่นมัว เมื่อนึกว่าเธอจะออกไปหาผู้ชายคนนั้น ไม่เคยคิดจะอยู่ติดบ้านเลยสักวันหรือยังไง
“หมอนัดตรวจโรคคุณอรนิดครับ”
“มะเร็งลำไส้ที่เป็นอยู่นะเหรอ”
“ครับ”
เดฟพยักหน้ารับเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูให้ผู้เป็นนายนั่งเหมือนเดิม มุมปากขยับยิ้มเล็กน้อย ขนาดไม่สนใจหรือเป็นห่วง มาเฟีย
ผู้แสนจะเย็นชายังรู้ทุกอย่างขนาดนี้
“เรื่องคนพวกนั้นถึงไหนแล้ว” ฌอนถามขึ้นเสียงเข้ม
‘คนพวกนั้น’ ที่เขาเอ่ยถึงก็คือลูกน้องของเรย์เดนซึ่งถูกส่งมาปลุกปั่นชาวบ้านเรื่องที่ดินก่อสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่และยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย
“ตอนนี้เราจับมันได้แล้วครับเหลือแต่...”เดฟ ครูซ หยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อให้เจ้านายเป็นคนตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับพวกที่ชอบล้วงคอหูเห่า แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องปกติที่แต่ละแก๊งจะมีเรื่องขัดผลประโยชน์กันบ้าง แต่ต้องไม่ใช่กับแก๊งเดียร์มาส ผู้มีอิทธิพลสูงสุดของประเทศกอเทียร์
“ตัดนิ้วมือพวกมันข้างหนึ่งแล้วส่งกลับไปให้เรย์เดนซะ” เขาบอกเสียงเหี้ยมไม่สะทกสะท้านกับคำสั่งที่เพิ่งบอกกับลูกน้องคนสนิทไป
“จะดีเหรอครับ อย่าลืมว่าเรากำลังใช้คุณเรย์มีนเป็นเครื่องมือในการสืบเรื่องท่านเชน” มือขวาพูดเตือนสติ
“เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงต้องส่งลูกน้องมันกลับไป”
หัวคิ้วเข้มขยับเข้าหากัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่นายเหนือหัวพูด เขาเห็นเพียงมุมปากกระตุกยิ้ม ก่อนเจ้านายจะเอ่ยพูดต่อ
“ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะบอกให้เรย์เดนรับรู้ว่าน้องสาวมันอยู่ใต้อาณัติของฉันเรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าเป็นแบบนั้น มันยิ่งเหมือนเป็นการราดน้ำมันลงเชื้อไฟมากกว่า
นะครับ”
ฌอนพยักหน้ารับ นั่นแหละคือสิ่งที่เขาต้องการ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แม้เขาจะหว่านล้อมถามข้อมูลบางอย่างจากคู่ควงคนสวยเท่าไร แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบอาจเป็นเพราะเลือดมันย่อมข้นกว่าน้ำแล้ว
เรย์มีนยังคงรักษาเลือดของลูกมาเฟียได้เป็นอย่างดี ไม่คายความลับของวงตระกูลให้กับคนอื่นง่าย ๆ ยิ่งคนอื่นแบบเขาที่เป็นถึงหัวหน้าแก๊งอันดับหนึ่งแล้วยิ่งเป็นไปได้ยาก
“ความเชื่อใจ มักทำร้ายความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี”
ฌอนระบายลมหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้มมุมปาก แล้วก้มหน้าทำงานต่อ เดฟพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายพูดและอดชื่นชมในแผนการไม่ได้
...ค่อย ๆ ทำไปช้า ๆ โดยไม่รีบร้อนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ...
เมื่อเข้าใจทุกอย่างแล้วมือขวาคนสนิทก็เดินออกจากห้องไปเพื่อที่ทำในสิ่งที่เจ้านายบอก แน่นอนว่าเขาไม่ใช่ผู้ลงมือกระทำเอง มันจะดูโหดร้ายมากกว่าถ้าพวกมันด้วยกันทำร้ายกันเองจนพิการ...
สิบห้าปีที่แล้ว...“หนึ่งหลับตาลูก อย่าดู” มือเรียวยกขึ้นปิดตาเด็กหญิงตัวป้อมพลางกดหัวลงต่ำราวกับว่ากลัวใครมาเห็น เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นตามไรผมจนไหลหยดลงมาข้างแก้มตกสู่คางเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้น และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ได้แต่ภาวนาว่าอย่าเห็นเธอกับลูกเลย อุตส่าห์หนีมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้ว อรนิดกระชับลูกไว้ในอกแน่น “อรนิด” เสียงเรียกนั้นมาพร้อมกับการเอื้อมมือมาแตะไหล่ เธอสะดุ้งเฮือกใหญ่ “อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลย” ร่างเล็กร้องขอชีวิตออกมาสุดเสียง สองมือพนมไหว้สั่นงก ทั้งที่ดวงตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นเสียด้วยซ้ำ“อรนิด ฟังก่อน! นี่ผมเอง” มือหนาเอื้อมมาจับสองไหล่เขย่าแรง ๆ สติของเธอจึงกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นสามีของเพื่อน“คุณเชน”“คุณกับลูกปลอดภัยดีใช่ไหม” หญิงสาวพยักหน้ารับ ขอบคุณเขาที่มาช่วย แม้จะหอบลูกหนีกลับมาประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าเดลเลอร์จะส่งคนมาตามล่า แค่ชีวิตสามีเธอมันยังไม่พออีกเหรอ“คุณอยู่ประเทศไทยไม่ปลอดภัย ภรรยาผมให้มาตามคุณกลับไปกอเทียร์”“ขนาดหนีมาไกลถึงที่นี่ยังไม่ปลอดภัย คิดเหรอว่ากลับไปที่นั้นแล้วชีวิตฉันกับลูกจะมีความสุข” หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าปอ
เสียงพูดคุยกันของใครบางคนดังอยู่ในรับรองทำให้เรียวขาสวยหยุดลงแล้วถอยกลับไปหลบอยู่มุมหนึ่งของประตูทางเข้า คนหนึ่งเธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นพี่ชายตัวเอง แต่อีกคนเธอไม่คุ้นน้ำเสียงมาก่อนแม้ว่าจะพยายามเอียงหูฟังเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์มาสกรุ๊ปหรือเปล่า เธอแค่อยากรู้เรื่องเดียวก็คือกระดุมเม็ดนั้นเป็นของใคร “คุณเรย์มีนมายืนทำอะไรตรงนี้คะ”เสียงทักนั้นทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปเจอแม่บ้านสาวยืนอยู่ เธอถลึงตาใส่ เรย์เดนได้ยินเสียงพูดคุยอยู่หน้าห้องจึงจบบทสนทนาแล้วเดินไปเปิดประตู“มีอะไรกันแล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”มองสาวรับใช้สลับกับน้องสาว เรย์มีนยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะแก้ตัวว่ามาชวนเขาออกไปกินข้าวด้านนอก เพราะเบื่ออาหารที่แม่บ้านทำแล้ว“อารมณ์ไหนถึงได้มาชวนพี่ไปกินข้าว วันนี้พี่นึกว่าแกจะนอนกอดหมอนร้องไห้ เพราะสุดดวงใจเพิ่งประกาศว่ามีเมียไปเมื่อคืน”รอยยิ้มเย้ยหยันผุดขึ้นมุมปากสองแขนยกขึ้นกอดอก หญิงสาวหันขวับไปมองผู้เป็นพี่ชายด้วยสายตาไม่พอ “อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม ตกลงจะไปหรือไม่ไป”“อ๊ะๆ ไปก็ได้ ... คุณกลับไปก่อนนะ เราค่อยไปคุยกัน
บรรยากาศในรถเงียบเชียบจนได้ยินเครื่องปรับอากาศ คนที่ร้อน ๆ หนาว ๆ คงหนีไม่พ้นคนขับรถ ต่อให้เคยชินกับการนิ่งเงียบใส่กันของผู้เป็นเจ้านาย แต่บรรยากาศก็ไม่มืดครึ้มขนาดนี้“ขะ ...ขอโทษ” เอ่ยเสียงเบาผ่านลำคอ ได้รับเพียงความเงียบกลับคืนมา เธอชำเลืองมองเขาด้วยหางตา ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตรง ๆ คนเป็นมาเฟียยังคงนิ่งเงียบ ... เงียบกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น เธอไม่อยากให้เขาเป็นอย่างนี้ อย่างน้อยส่งสายตาเย็นชามาก็ยังดี “คุณฌอนคะ หนึ่ง...”รถจอดเทียบชานบันไดหน้าคฤหาสน์ ขายาวก้าวลงจากรถโดยไม่สนใจคนเจ้าเนื้อที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา เธอตัดสินใจวิ่งไปดักหน้า สองมือกางออกขวางทางเพื่อไม่ให้เขาเดินผ่านเธอไป มาเฟียหนุ่มตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองคนเจ้าเนื้อ โกรธ โมโห เขาไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำไหน เพราะมีคำว่า ‘เป็นห่วง’ เข้ามาแทนที่ทั้งหมด“หนึ่งขอโทษ ขอโทษจริงๆ หนึ่งแค่...”“แค่เห็นแก่เงิน” เขาสวนขึ้นเสียงเข้มเธอเม้มปากขึ้นเส้นตรงไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว เพราะมันคือความจริง เงินจำนวนนั้นมั่นล่อตาล่อใจ จนเธอตกปากรับคำภายในเสี้ยววินาทีโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อนสองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจ้องหน้าน
“สวัสดีครับทุกท่าน” เสียงแหบพร่ากล่าวทักทายคนในงานดวงตาทุกดวงจับจ้องไปยับนับหนึ่งเป็นตาเดียวเพื่อฟังว่าตาเฒ่าแห่งแก๊งสเตนกำลังจะพูดอะไรต่อกันแน่ก่อนที่เดลเลอร์จะกล่าวอะไรต่อ พนักงานก็เริ่มเดินเสิร์ฟขนมไทยสีเหลืองฉ่ำวาวให้กับทุกโต๊ะ“ก่อนที่ผมจะประกาศเรื่องราวดี ๆ ที่ถูกปิดบังมาอย่างยาวนานให้กับทุกคนได้ทราบ และร่วมยินดี ผม ... อยากให้ทุกคนได้ลองชิมขนมตรงหน้าดูก่อน”เดลเลอร์มองสบตาไปยังฌอน พร้อมกับยิ้มเหยียดมุมปากฌอนรู้ได้ทันทีว่าสเตนต้องการประกาศเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับนับหนึ่งออกไปให้คนอื่นรู้ เพราะคิดว่าเธอเป็นจุดอ่อนของตัวเขา มันอาจจะใช่และก็ไม่ใช่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าตาเฒ่านั้นเล่นถูกจุดอยู่ไม่น้อยบอดีการ์ดนับสิบคนเดินเข้ามาประจำจุดของตัวเองตามที่ได้รับคำสั่ง เขาไม่สนใจกฎระหว่างแก๊งแล้ว หากกล้าหยามหน้ากันขนาดนี้ เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกันร่างสูงลุกขึ้นเต็มสูบราวกับว่าจะประกาศศึกกับอีกฝ่าย ผู้คนในงานต่างเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของงานเลี้ยงในวันนี้ แม้แต่ประธานาธิบดีเองยังเดินทางกลับก่อนเวลา“ขนมที่ทุกท่านได้ทานอร่อยดีใช่ไหมครับ”เป็นคำถา
ดนตรีในงานบรรเลงสบาย ๆ แบบผ่อนคลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับอารมณ์ผู้ทรงอำนาจของผู้นำเดียร์มาสกรุ๊ป เรย์มีนซึ่งนั่งอยู่อีกกลุ่มโต๊ะหนึ่งไม่ไกลเท่าไรสังเกตเห็นสีหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาไม่สู้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าไปหาเพราะมีพี่ชายนั่งคุมอยู่ไม่ห่างมือหนายังคงรัวพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์ เพื่อสั่งงานกับลูกน้อง‘ส่งคนของเราออกตามหาให้ทั่ว ตรวจกล้องวงจรปิดทุกตัวบริเวณนั้น’ผู้รับคำสั่งเปิดอ่านทุกตัวอักษรแล้วพิมพ์ตอบรับคำสั่งด้วยมือสั่นเทา ขนาดบอกผ่านตัวหนังสือยังรู้สึกเสียวไปทั้งสันหลัง หากต้องอยู่ต่อหน้าไม่อยากจะคิดเลยว่าสีหน้าผู้เป็นนายจะเป็นอย่างไร“เฮ้ย! ตรวจดูให้ทั่วทุกตารางนิ้ว” หันกลับไปสั่งบอดีการ์ดที่ถูกตามมาช่วยงานสำคัญ ทุกอย่างต้องทำแบบเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ผู้คนแตกตื่น และสำคัญเลยคือ ... อย่าให้ต่างแก๊งรู้เรื่องนี้ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำไม่ได้กังวลเรื่องการเจรจาเรื่องธุรกิจแล้ว ยามนี้เขาเป็นห่วงคนตัวกลมเสียมากกว่า ก่อนหน้านี้คนของเขารายงานมาว่าบอดี-การ์ดที่คอยติดตามเธอถูกพบหมดสติอยู่ด้านหลัง สอบถามได้ความเพียงว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนรุมทำร้ายเขา และถามหามาดามหญิงของไคโรดวงตาคู่คมกวา
สบถออกมาได้แค่คำนั้น รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลัง เพียงชั่วพริบตา ร่างเธอก็ถูกชายฉกรรจ์ลากไปจากตรงนั้นโดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือแสงไฟสีเหลืองนวลอ่อนถูกเปิดไปทั่วบริเวณ แม้ไม่สว่างมากแต่ก็มองเห็นใบหน้าของผู้มาร่วมงานอย่างชัดเจน ผู้คนที่ถูกเชิญมาร่วมงานมีทั้งชาวกอเทียร์ และชาวต่างชาติการปรากฏตัวของฌอน ไคโร ทำเอาผู้คนต่างหันมามองเป็นตาเดียว รูปร่าง หน้าตา มีสง่า และทรงอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีที่เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ“ผมสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วครับ”เดฟ ซึ่งเดินประกบหลังเมื่อครู่ก้าวเท้าขึ้นมาเดินเทียบข้าง เอ่ยบอกเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปยังอีกด้านหนึ่ง แทนที่จะเป็นโต๊ะเดียวกันกับประธานาธิบดีเหมือนเช่นทุกงานที่ได้ไปเขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปทักทายผู้นำของประเทศตามมารยาท แม้จะถูกเลื่อนเก้าอี้เชิญให้นั่ง ทว่าเขากลับปฏิเสธแล้วเดินไปยังโต๊ะของนักธุรกิจชาวไทย“คนนั้นเหรอที่เดียร์มาสกรุ๊ปอยากร่วมงานด้วย” หนึ่งในผู้มาร่วมงานเอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะ พลางพยักพเยิดหน้าไปยังผู้นำของแก๊งมาเฟียอันดับหนึ่ง“อืม ... ใช่ เห็นว่าคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีอำนาจกว้างขวางในเมืองไ