นางคิดเช่นนั้น ในวินาทีต่อมา คำพูดของเก๋อเอ่อร์ก็ยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาไว้ในใจ...“ดอกไม้นั่น ตั้งแต่เมล็ดงอกจนเติบโตถึงออกดอก ตลอดทั้งกระบวนการจะปล่อยสารพิษที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นออกมา และสารพิษนี้จะค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของมนุษย์ก็จะค่อยๆ อ่อนแอลง แย่ลงเรื่อยๆ คนทั่วไปจะตายด้วยพิษของดอกไม้นี้ภายในเวลาประมาณสองเดือน และตั้งแต่ได้รับพิษจนถึงตายก็จะไม่รู้สึกตัวใดๆ คิดเพียงว่าตัวเองป่วย แม้กระทั่งตอนตายก็ยังคิดว่าป่วยตาย”“ท่านแม่ของท่านน่าจะได้รับพิษชนิดนี้มานานแล้ว ดังนั้น ตอนที่คลอดท่านจึงคลอดยาก บางทีไป๋ชูโหรวอาจจะตั้งใจให้ตายทั้งแม่ทั้งลูก เพื่อจะได้ตายตามนางไป แต่คาดไม่ถึงว่านางจะรอดพ้นจากช่วงเวลานั้นมาได้”เวินซื่อกำมือแน่น สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับจิกจนเลือดออกเก๋อเอ่อร์ยังคงพูดต่อ “อาจจะเป็นเจิ้นกั๋วกง หรืออาจจะเป็นสกุลหลาน สรุปแล้วน่าจะมีคนพยายามช่วยยื้อชีวิตท่านแม่ของท่านไว้ จึงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง”แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นสุดท้ายท่านแม่ของนางก็ยังถูกผู้หญิงที่ชั่วร้ายอย่างไป๋ชูโหรวคนนั้นทำร
โอกาสดีเช่นนี้ เวินเยวี่ยจะปล่อยไปได้อย่างไร?นางรีบพุ่งเข้าไปขวางเวินจื่อเฉินที่ไม่คิดจะสนใจนาง“พี่รองช้าก่อน เยวี่ยเอ๋อร์มีเรื่องอยากจะพูดกับท่าน”“หลีกไป”เวินจื่อเฉินที่ถูกขวางไว้ขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเวินเยวี่ยส่ายหน้า กัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วมองไปที่เวินจื่อเฉิน “พี่รอง เยวี่ยเอ๋อร์รอท่านกลับมาครั้งนี้อย่างยากลำบาก ท่านฟังเยวี่ยเอ๋อร์พูดสักครู่ได้หรือไม่? แค่ไม่กี่ประโยค เยวี่ยเอ๋อร์พูดจบก็จะไป ไม่ขัดขวางท่านแน่นอน”“ตอนนี้เจ้ากำลังขัดขวางข้าอยู่”ตอนนี้เวินจื่อเฉินมองทะลุถึงธาตุแท้ของเวินเยวี่ยได้อย่างหมดเปลือกแล้ว ย่อมไม่มีท่าทีเอ็นดูต่อนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปเวินเยวี่ยด่าทอในใจ แต่สีหน้ากลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงแสดงสีหน้าเสียใจและเจ็บปวด “แต่พี่รอง ตอนนี้เยวี่ยเอ๋อร์แค่อยากจะขอโทษท่านเท่านั้น”“ข้ารู้ว่าเหตุใดพี่รองถึงมีท่าทีเช่นนี้ต่อเยวี่ยเอ๋อร์ เป็นเพราะเยวี่ยเอ๋อร์ทำผิดไป แต่ตอนนี้เยวี่ยเอ๋อร์รู้ตัวแล้วว่าผิด และได้สำนึกผิดอยู่ในบ้านแล้ว ดังนั้น พี่รองจะให้อภัยเยวี่ยเอ๋อร์สักครั้งได้หรือไม่ เยวี่ยเอ๋อร์สาบานว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นอีก...”“เจ
กระถางดอกไม้พร้อมกับดินและต้นกล้าทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ข้างเท้าของเวินเยวี่ยเมื่อต้นกล้านั้นเกือบจะโดนเวินเยวี่ย นางก็รีบถอยหลังไปสองก้าวตามสัญชาตญาณ หลบเลี่ยงต้นกล้านั้นและเมื่อได้ยินคำพูดของเวินจื่อเฉิน เวินเยวี่ยก็ไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าได้อีกต่อไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างยิ่งทันที“...ในเมื่อพี่รองไม่อยากให้อภัยเยวี่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นก็ช่างเถิด เยวี่ยเอ๋อร์...จะไปเดี๋ยวนี้”“เซียงเหอ!”เวินเยวี่ยขึ้นเสียงสูงทันที พยายามข่มความโกรธไว้อย่างสุดกำลัง กำชับว่า “มัวยืนงงอะไรอยู่ รีบเก็บต้นกล้าของข้าขึ้นมาเร็วเข้า!”เซียงเหอรีบเข้าไปข้างหน้า หยิบต้นกล้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “คุณหนู แล้วกระถางกับดินล่ะเจ้าคะ?”“ของไร้ประโยชน์พวกนั้นจะเอามาทำอะไรอีก? รีบไปกันเถอะ”เวินเยวี่ยถลึงตาใส่เซียงเหอ ไม่มองเวินจื่อเฉินแม้แต่น้อย หันหลังเดินจากไปแม้ว่าเวินจื่อเฉินจะเคยเห็นธาตุแท้ของเวินเยวี่ยมาก่อนแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เวินเยวี่ยเผยธาตุแท้ออกมาต่อหน้าเขาโดยไม่ปิดบังหรือจะพูดว่า ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป และไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไปแล้วเวินจื่อเฉินมองนางเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้ว
แต่กว่าจะได้พบกันช่างยากเย็น เหตุใดถึงต้องรีบจากไปเช่นนี้?หรือว่าลุงหลานไม่อยากเจอเขา?เวินจื่อเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก เขาจ้องพ่อบ้านหลานอย่างไม่วางตา กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างหนักแน่น “ลุงหลาน ท่านลงจากรถก่อน พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ไปหาที่นั่งคุยกันดีๆ ก่อนเถอะ”พ่อบ้านหลานสบตาเขา ในที่สุดก็ถอนหายใจ “ก็ได้”หลังจากนั้นไม่นาน พ่อบ้านหลานก็มานั่งอยู่กับเวินจื่อเฉินในห้องส่วนตัวของร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆจะว่านั่งด้วยกันก็ไม่เชิงหลังจากเข้าไปในห้องส่วนตัว เวินจื่อเฉินก็สั่งอาหารสองสามอย่าง แล้วหันไปมองพ่อบ้านหลานที่ยืนอยู่ไม่ไกล“ลุงหลาน ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นคุณชายรองของสกุลเวินแล้ว ดังนั้น ท่านไม่ต้องยืนแบบนี้ก็ได้ มานั่งด้วยกันเถอะ”“ไม่ขอรับ บ่าวรู้สึกผิดต่อคุณชายพวกท่านมาโดยตลอด เดิมทีก็ไม่มีหน้าจะพบเจออยู่แล้ว ตอนนี้ได้พบแล้ว กลับยิ่งรู้สึกละอายใจที่จะเผชิญหน้ากับคุณชาย ดังนั้นให้บ่าวยืนตอบเถิด”เวินจื่อเฉินอ้าปากค้าง ไม่เข้าใจคำพูดของพ่อบ้านหลาน “ลุงหลาน เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านตาและคนอื่นๆ ในตอนนั้น ล้วนเป็นฝีมือของพวกกบฏ ไม่ได้
“ไม่อาจช่วยอะไร? นี่มันเป็นไปไม่ได้!”เวินจื่อเฉินลุกขึ้นยืนทันทีเขามองพ่อบ้านหลานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านบอกว่าประโยคนี้ท่านพ่อของข้าเป็นคนพูด? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านพ่อของข้าเป็นคนพูดจริงๆ? ไม่ได้ฟังผิดไป?”ท่านพ่อของเขาจะพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?สกุลเวินของพวกเขากับสกุลหลานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ครอบครัวของท่านตาทุ่มเทให้กับพวกเขาอย่างเต็มที่ ให้ความช่วยเหลือท่านพ่อและจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างสุดกำลังเรื่องเหล่านี้เขาไม่จำเป็นต้องจำ เพราะในเมืองหลวงมีคนมากมายที่รู้เรื่องเหล่านี้และท่านพ่อก็มักจะเล่าให้พวกเขาฟังถึงความดีของครอบครัวท่านตาที่มีต่อครอบครัวของพวกเขา ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็พาพวกเขาไปกราบไหว้ท่านตาและคนอื่นๆ ทุกปีไม่เคยขาดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของทั้งสองตระกูลแต่ตอนนี้พ่อบ้านหลานกลับมาบอกเขาว่า ท่านพ่อพูดเช่นนั้นเมื่อหลายปีก่อน!นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?เวินจื่อเฉินไม่อาจเชื่อได้เขาซักถามพ่อบ้านหลานด้วยความตื่นเต้น แต่พ่อบ้านหลานกลับมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยอารมณ์ที่ตื่นเต้นของเวินจื่อเฉินหยุดชะงักทันทีเขามองพ่อบ
ตอนนี้คุณชายรองรู้เรื่องราวในอดีตแล้วคำพูดเหล่านั้น เขาไม่ได้กล่าวเสริมเติมแต่งแม้แต่ประโยคเดียวและแผนการในวันนี้มีเพียง “การพบกันโดยบังเอิญ” เท่านั้นที่จงใจสร้างขึ้นจากนั้นก็เพิ่มการแสดงเข้าไปเล็กน้อยการหลบเลี่ยง ความหวาดกลัว จนกระทั่งการเปิดเผยอย่างจำใจทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของคุณหนู ไม่มีการปิดบังคุณหนูบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณชายรองควรรู้ความจริงบางอย่างแล้วดังนั้น วันนี้คุณชายรองจึงได้รู้ทุกอย่างคิดว่าตอนนี้คนน่าจะกลับไปถึงจวนเจิ้นกั๋วกงแล้วกระมังเพียงแต่เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย ก่อนหน้านี้คุณชายรองมักจะหุนหันพลันแล่นและโมโหง่าย ทั้งยังทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเป็นเช่นนั้นอีกหรือไม่ หากยังเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะทำลายแผนการของคุณหนู ถูกเจิ้นกั๋วกงผู้นั้นจับได้เสียก่อนด้วยเหตุนี้ พ่อบ้านหลานจึงรู้สึกกังวลแต่เขาไม่รู้ว่า หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ มาก่อนหน้านี้ เวินจื่อเฉินในตอนนี้ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วเขาได้รับบทเรียนจากน้องสาวมามากพอแล้วดังนั้น คราวนี้เขาจึงไม่ได้พุ่งไปที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ แล้วถามท่านพ่อโดยตรงแต่
หลังจากนั้นไม่นาน เวินจื่อเฉินก็ถูกพาตัวมาถึงตรงหน้าเป่ยเฉินหยวนเป่ยเฉินหยวนมองไปยังคนที่ถูกตีจนหมดสติอยู่บนพื้น เขาเหลือบมองเกาเย่าอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง “ที่ข้าบอกก็คือให้เจ้าไปพาคนมา ไม่ใช่ให้เจ้าไปตีเขาจนสลบแล้วค่อยพามา”เกาเย่าเอ่ยด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ใจ “ไม่ใช่นะ ท่านอ๋อง กระหม่อมต้องการพาเขามาเลยจริง ๆ แต่พอคุณชายรองสกุลเวินเห็นพวกข้าก็นึกว่าพวกข้าเหมือนกับคนที่ไล่ล่าเขา ตอนนั้นเลยขัดขืนไม่หยุด กระหม่อมไม่มีทางเลือก จึงต้องตีเขาให้สลบ”เป่ยเฉินหยวน “...”เดิมทียังคิดจะทำถามอะไรอีกสักหน่อย แต่เมื่อมองคนที่อยู่บนพื้น เป่ยเฉินหยวนก็เลยปล่อยเลยตามเลย“พาเขาไปพักผ่อน แล้วค่อยส่งข่าวไปถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์”“พ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้ไม่ยุ่งยากเกาเย่าจัดการเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมา แล้วยังนำจดหมายจากเวินซื่อกลับมาให้เป่ยเฉินหยวนด้วย“ท่านอ๋อง นี่คือคำพูดที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝากถึงท่านพ่ะย่ะค่ะ”เป่ยเฉินหยวนที่กลับมาถึงจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ทันทีที่ได้ยินว่ามีคำพูดของเวินซื่อ ก็รีบเงยหน้าขึ้นวางงานในมือลง แล้วรับจดหมายฉบับนั้นจากมือของเกาเย่าหลังจากอ่านทุกคำทุกประโยค
“น้องรอง?!”“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเป็นอะไรไป?”เวินฉางอวิ้นรีบพาเขาเข้ามาในห้องแต่หลังจากเขาวางน้องชายลงบนเตียง แล้วตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง ก็ไม่เห็นตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเป็นห่วงมากในทันทีเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?เขารู้ว่าน้องรองกลับมาแล้ว แต่ต่อมาก็ได้ยินว่าเขาไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วดังนั้นก่อนหน้านี้เวินฉางอวิ้นจึงไม่ได้เห็นเวินจื่อเฉิน ตอนแรกเขานึกว่าน้องชายกลับไปที่กระท่อมที่เขาอาศัยอยู่ที่เชิงภูเขาหนานแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าน้องชายจะยังอยู่ในจวนอีกทั้งในเวลาแบบนี้ยังมาหมดสติอยู่หน้าประตูห้องของเขาอีกหรือว่าท่านพ่อจะทำอะไรกับน้องรอง?เวินฉางอวิ้นที่บัดนี้ไม่อาจไว้ใจเวินเฉวียนเซิ่งอีกแล้ว อดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้อยู่ภายในใจช่างมันเถอะเขาไม่ควรคิดอะไรมากไปกว่านี้แล้วเมื่อพิจารณาจากสภาพของน้องรองก็น่าจะแค่หมดสติไป รอให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วค่อยถามให้รู้เรื่องดีกว่าต่อมาเวินฉางอวิ้นก็พักผ่อนอยู่บนตั่งเล็กกลางห้องทั้งคืนจนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เมื่อเวินฉางอวิ้นเก็บข้าวของเสร็จเตรียมจะออกไปทำงาน เวินจื่อเฉินก็ตื่นขึ้นมาในเวลานี้พอดี“ซี้ด เจ็บชะมัด หัวของข้า...”“องครักษ์ลับ” ท
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม