เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวินเยวี่ย เวินเฉวียนเซิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะสนใจ สุดท้ายก็จำต้องนำเงินไปยังที่ว่าการซุ่นเทียนใครจะไปรู้ว่าพอไปถึงที่นั่นแล้ว เห็นยอดรวมของทรัพย์สินที่ขโมยที่ผู้ว่าการซุ่นเทียนคิดออกมา มีมูลค่ามากถึงหนึ่งหมื่นกว่าตำลึง“เจ้าคนสารเลวนั่นมันขโมยอะไรไปบ้าง? เหตุใดถึงได้มากมายขนาดนี้?!”ผู้ว่าการซุ่นเทียนมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนสายตานี้ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันทีเป็นจริงดังคาด วินาทีต่อมาก็ได้ยินผู้ว่าการซุ่นเทียนเอ่ยขึ้น “คนผู้นี้ชื่อหวังชาง ก่อนหน้านี้ถูกบุตรสาวคนเล็กของท่านจัดแจงให้ไปเป็นผู้ดูแลร้านที่ร้านเฟิ่งอวิ๋น แต่เมื่อไม่นานมานี้ ร้านเฟิ่งอวิ๋นเปลี่ยนเจ้าของ เจ้าของคนใหม่พบว่าคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีความประพฤติไม่เหมาะสมเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังมีพฤติกรรมทุจริต จึงได้ไล่หวังชางออก ใครจะไปรู้ว่าหวังชางอาศัยความเป็นญาติห่างๆ ของท่านเจิ้นกั๋วกง อาศัยช่วงที่คนของเจ้าของร้านไม่อยู่ ยังคงดื้อด้านอยู่ที่ร้านเฟิ่งอวิ๋นไม่ยอมไป ทั้งยังแอบขโมยเครื่องประดับล้ำค่าไปหลายชิ้น สุดท้ายถูกคนของเจ้าของร้านจับได้ มีทั้งพยานบุ
ในชั่วขณะนั้น เวินอวี้จือเหงื่อกาฬแตกพลั่กแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกยังดีที่น้องหกไม่เป็นอะไรเวินอวี้จือหันกลับไปมองเวินเฉวียนเซิ่ง ฝืนยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อโปรดอภัย เป็นลูกที่ได้กลิ่นคาวเลือด จึงพูดออกไปด้วยความตื่นตระหนก”“ไม่ใช่พูดผิด แต่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเจ้าออกมากระมัง”เวินเฉวียนเซิ่งแค่นเสียงเย็นอย่าคิดว่าเขาไม่รู้ บุตรชายที่อ่อนแอขี้โรคคนนี้ เป็นบุตรชายที่เย็นชาที่สุดในบรรดาบุตรชายทั้งสี่คนไม่ว่าจะเป็นพี่ชายน้องสาวทั้งหลาย รวมถึงบิดาอย่างเขา ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันอะไรมากนักมีเพียงบุตรสาวคนเล็กคนนี้ที่เขาพาตัวกลับมา เวินอวี้จือกลับใส่ใจบุตรสาวคนเล็กคนนี้เป็นอย่างมากแต่ก็ไม่เป็นไร บุตรชายที่มีร่างกายอ่อนแอเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลยผู้สืบทอดที่เขาหมายตาไว้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นอีกสามคนที่เหลือ ขอเพียงอยู่อย่างสงบก็พอแล้วเวินเฉวียนเซิ่งเดินผ่านเวินอวี้จือเข้าไปนั่งลงจากนั้นก็เรียกองครักษ์ลับออกมา จัดการกับศีรษะของหวังชางแต่ภายในห้องนี้ก็ยังมีร่องรอยของเลือดหลงเหลืออยู่ไม่น้อยดูแล้วก็ยังคงน่าขนลุกอยู่บ้างเวินเยวี่ยรู้
และยังมีบางส่วนที่เป็นที่ดินที่ซื้อเพิ่มเติมอีกหลังจากที่เวินอวี้จือดูจบแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมองเวินเฉวียนเซิ่งด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ เวินซื่อซื้อเมล็ดพันธุ์และต้นกล้าสมุนไพรมากมายขนาดนี้ไปทำไม? นางไม่ได้ปลูกสมุนไพรไว้เต็มที่ดินที่กุยอวิ๋นหมดแล้วหรือ? เหตุใดยังต้องปลูกอีก?”เวินเฉวียนเซิ่งหัวเราะเยาะ “เรื่องแค่นี้ยังดูไม่ออกอีกหรือ? สมองพวกเจ้าสู้เวินซื่อไม่ได้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่พ่ายแพ้ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า”เวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างเย็นชา “ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเวินซื่อในตอนนี้ ตำแหน่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางอาจจะอาศัยโชคและเรื่องบังเอิญทำให้รุ่งโรจน์ได้ชั่วคราว แต่ไม่มีทางยั่งยืนแน่นอน เพราะว่านางไม่ได้มีวิชาความสามารถพิเศษอะไรจริงๆ ดังนั้น นางจึงต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อรักษาชื่อเสียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนางไว้”“จากที่ผ่านมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าเวินซื่อเลือกที่จะเดินในเส้นทางการแพทย์ อย่างเช่น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ใช้วิชาแพทย์ช่วยเหลือผู้คนอะไรทำนองนั้น แต่การที่จะให้วิชาแพทย์เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการแพทย์นั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีจึงจะ
“เป็นไปได้อย่างไร?!”เวินอวี้จือยังคงไม่เชื่อเวินเฉวียนเซิ่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ไสหัวไปดูที่ดินที่กุยอวิ๋นเองสิ ตอนนี้แปลงสมุนไพรเหล่านั้นถูกปลูกด้วยสมุนไพรใหม่อีกครั้งจนเต็มไปหมดแล้ว”สีหน้าของเวินอวี้จือย่ำแย่ลงในทันทีเดิมทีคิดว่าอย่างน้อยตนเองน่าจะเอาคืนได้บ้างในเรื่องแปลงสมุนไพร แต่คาดไม่ถึงว่าเขาก็ยังคงพ่ายแพ้อยู่ดีหรือว่าเวินซื่อก็มีตำรายาพิษของหมอปีศาจราชันพิษอยู่ในมือ?สีหน้าของเวินเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ดูย่ำแย่เช่นกันเจ้าคนขี้โรคผู้นี้เหตุใดยังคงไร้ประโยชน์เช่นนี้?ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะเอาใจนาง เวินจื่อเยวี่ยจึงนำคำพูดที่เวินอวี้จือพูดกับเขามาบอกนางด้วยเช่นกันตอนนั้นเวินอวี้จือยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “นอกจากหมอปีศาจราชันพิษจะมาแก้พิษด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถรักษาแปลงสมุนไพรของเวินซื่อได้” แต่ตอนนี้กลับถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย?หรือว่ารอบตัวเวินซื่อจะมีหมอปีศาจราชันพิษซ่อนตัวอยู่?!เวินเยวี่ยชะงักไปครู่หนึ่งนางครุ่นคิดทบทวนดูว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าก็แค่แม่ชีไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเวินซื่อ จะเป็
เมื่อเห็นว่าในที่สุดคนก็เข้าใจแล้ว เวินเฉวียนเซิ่งจึงพยักหน้าช้าๆ “อืม ทำตามที่ข้าบอก ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยั่วยุเวินซื่อ รอจนถึงเวลาที่เหมาะสม เช่นนั้นแล้วจะไม่มีโอกาสให้เจ้าได้ระบายความแค้นหรือ?”“เจ้าค่ะๆ! ขอบคุณท่านพ่อที่ชี้แนะ!”“อวี้จือ ช่วยเหลือน้องสาวของเจ้าให้ดี เรื่องนี้มอบหมายให้พวกเจ้าสองคนทำร่วมกัน นี่เป็นโอกาสสุดท้าย หากพวกเจ้ายังไปก่อเรื่องอื่นอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”“ขอรับ ท่านพ่อ!”“...”หลังจากที่ออกจากเรือนเล็กของเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็เดินกลับไปพลางคิดเรื่องต่างๆ ไปด้วยในตอนนั้นเอง...“ตุบ!”“โอ๊ย!”“เจ็บเหลือเกิน!”เวินอวี้จือชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีโชคดีที่ไม่ได้ล้มแรงนักเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบว่าอีกฝ่ายคือเวินฉางอวิ้น“พี่ใหญ่? ท่านไม่เป็นไรนะ? เมื่อครู่ข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ ไม่ได้มองทาง”เวินอวี้จือลุกขึ้นจากพื้น ยื่นมือไปพยุงเวินฉางอวิ้น“ไม่เป็นไรๆ ข้าก็ไม่ได้สังเกต ไม่ทันระวังจึงชนเจ้าแล้ว น้องสี่ เจ้าไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”เวินฉางอวิ้นส่ายหน้า ลุกขึ้นยืนจากพื้นอย่างยากลำบากเมื่อเวินอวี้จือมอง
เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ น้องหกมอบให้ข้าเมื่อสองวันก่อน”เขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงหันไปถามเวินฉางอวิ้น “พี่ใหญ่ก็ได้รับดอกไม้จากน้องหกเหมือนกันหรือ?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีกเมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเวินฉางอวิ้นที่มีต่อเวินเยวี่ย เวินอวี้จือก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ น้องหกนางทำผิดพลาดไป แต่นางก็สำนึกผิดจริงๆ แล้ว”เวินฉางอวิ้นมองดูกระถางดอกไม้นั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาจจะ”“ไม่ใช่อาจจะ แต่เป็นจริง”เวินอวี้จือหยุดมือที่กำลังทำอยู่ “พี่ใหญ่ น้องหกนางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด ก่อนหน้านี้ก็เติบโตมาจากข้างนอกอีก ไม่รู้ประสีประสา ทำผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา เพียงแค่นางรู้สำนึกผิดและแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ? พี่ใหญ่จะถือสาอะไรนางอีกเล่า?”“จิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดหรือ?”เวินฉางอวิ้นได้ยินคำพูดนี้ ก็หันไปสบตากับเวินอวี้จือ“น้องสี่ เจ้าคิดว่านางมีจิตใจบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิดจริงๆ หรือ?”เวินฉางอวิ้นจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วเอ่ยถามเช่นนี้เวินอวี้จือชะงักไปเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน
เวินอวี้จือกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าแค่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนางเท่านั้น กฎประจำตระกูลของสกุลเวินเรา ก็ไม่ได้มีข้อไหนที่ระบุว่าพวกเราพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวกันมิใช่หรือ?”แน่นอนว่าไม่มีกฎประจำตระกูลเช่นนี้แต่เมื่อก่อนน้องสี่ก็ไม่ได้มีท่าทีเช่นนี้กับน้องห้านี่นา?เวินฉางอวิ้นที่รู้สึกว่าอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างละเอียด “เป็นเพราะน้องห้าทำอะไร? หรือว่าเจ้าได้ยินอะไรมา?”เวินอวี้จือที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หยุดการกระทำในมืออีกครั้ง“ก็ได้ ในเมื่อพี่ใหญ่อยากรู้ เช่นนั้นข้าก็จะบอกท่าน แต่เรื่องนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าข้าอีก”“ได้ เจ้าพูดมา”เวินฉางอวิ้นพยักหน้ารับเวินอวี้จือจึงกล่าวอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนท่าทีที่ข้ามีต่อเวินซื่อนั้นก็ไม่ใช่แบบนี้จริงๆ เพราะตอนนั้นข้าป่วยบ่อย นางก็คอยดูแลข้าอยู่ที่บ้านเป็นประจำ ตามหลักแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนควรจะดีพอสมควร แต่น่าเสียดาย ที่คนบางคนทำเหมือนจริง แต่ใจกลับไม่จริง”“ใจไม่จริงอะไร?”เวินฉางอวิ้นเอ่ยถามด้วยความสงสัยในตอนนั้นเอง เวินอวี้จือเงยหน้าขึ้นมอ
“คำพูดของเจ้าช่างเหลวไหลสิ้นดี!”เวินฉางอวิ้นมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “อะไรคือการมองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? พวกเราพี่น้อง ใครบ้างที่ไม่มองว่าเจ้าเป็นคนปกติ? อีกอย่าง ถ้าน้องห้ารังเกียจเจ้าจริง จะดูแลเจ้ามานานขนาดนั้นได้อย่างไร? นางไม่มีความดีความชอบก็ต้องมีความเหนื่อยยากบ้างกระมัง แต่นี่กลับแลกกับความรู้สึกของเจ้าไม่ได้สักนิดเลยหรือ?”“ข้าบอกแล้วว่า ข้าก็ไม่ได้รังเกียจนาง เพียงแต่มันก็แค่นั้น นี่ก็ถือว่าเห็นแก่ที่นางดูแลข้ามานานขนาดนั้นแล้ว”เวินอวี้จือกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงราวกับเป็นการให้ทานเวินฉางอวิ้นก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว“เจ้ามัน...เจ้ามันเกินเยียวยาจริงๆ !”ด้วยความโกรธ เวินฉางอวิ้นจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป“พี่ใหญ่ ยาของท่าน...”เวินอวี้จือตะโกนเรียกเขาจากด้านหลังน่าเสียดายที่เวินฉางอวิ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับมามองและออกจากเรือนเล็กของเขาไปแล้วเวินอวี้จือถือยาในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาไม่เข้าใจเขาพูดความจริงทั้งหมดแท้ๆ แต่เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องคอยช่วยพูดแทนเวินซื่อนั่น?คนที่ควรจะรู้สึกน้อยใจไม่ควรจะเป็นเขาหรอกหรือ?เวินอวี้จือยืนอยู่ที่เดิม คร
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม