แต่ตอนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็เหลือเวลาแค่เก้าวันเท่านั้น! เวินซื่อโอดครวญในใจทันทีนางยังมีบทสวดขอพรอีกมากมายที่ต้องท่องจำ เวลาเก้าวันจะเพียงพอได้อย่างไร!“ไม่ได้การ ๆ ข้าต้องกลับไปแล้ว”ไม่กลับไปไม่ได้เมื่อนึกได้ว่ายังมีบทสวดกองเป็นภูเขาที่ต้องท่องจำ นางยังจะสนใจคนสกุลเวินอะไรนั่นที่ไหนกัน!“ท่านอ๋อง รบกวนท่านให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าสักคัน ส่งข้ากลับไปที่อารามได้หรือไม่?”ครั้งนี้เวินซื่อที่มองอะไรไม่เห็นลุกขึ้นมานั่งด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะยื่นมือไปคลำรอบ ๆผลปรากฏว่าคลำโดนต้นแขนที่แข็งแรงข้างหนึ่งโดยไม่ระวังเวินซื่อไม่ได้โง่งม สัมผัสจากมือที่ได้ลูบคลำไปนั้นเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้โดยมีเนื้อผ้ากั้นกลาง นอกจากร่างกายมนุษย์แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?นอกจากนี้ภายในห้องไม่มีบุคคลที่สามเอ่ยวาจามาโดยตลอด นอกจากนางแล้วก็เหลือเพียงเป่ยเฉินหยวนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่ตระหนักได้ว่านางสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย มือของนางก็เหมือนกับถูกลวกขึ้นมาทันที ตกใจจนอยากจะรีบหดมือกลับผลปรากฏว่าเพิ่งจะหดกลับไปได้ครึ่งทางก็ถูกมือใหญ่จับข้อมือไว้ “บอกแล้วว่าอย่าขยับส่งเดช”เสียงของเป่ยเฉินหยวนฟั
แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไร ม่อโฉวซือไท่พลันเดินเข้ามาจากด้านนอกนางหอบคัมภีร์บทสวดกองหนึ่งไว้ในมือ หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเวินซื่อก็รีบเดินไปที่เตียงของเวินซื่อทันที “เกิดอะไรขึ้น? เจ็บตรงไหนหรือ?” ม่อโฉวซือไท่รีบวางคัมภีร์บทสวดลง ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าแล้วกันเป่ยเฉินหยวนออกไป หลังจากนั้นค่อยกอดเวินซื่อที่กำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเข้ามาในอ้อมแขน นางใช้มือที่หยาบกระด้างเล็กน้อยของตนเองเช็ดน้ำตาบนแก้มของเวินซื่ออย่างนุ่มนวล เอ่ยด้วยความปวดใจว่า “ไม่เป็นไร ๆ อาจารย์ตรวจดูอาการของเจ้าแล้ว แผลบนหน้าผากจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แผลบนตัวก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ดวงตาก็ด้วย ผ่านไปสักสองวันก็หายแล้ว ทุกอย่างไม่มีปัญหา” เวินซื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ระมัดระวังข้างนั้น นางจึงเผลอแนบเข้าไปถูไถตามจิตใต้สำนึก เนื่องจากนางนึกถึงตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่นางร้องไห้ก็จะโอบกอดปลอบนางไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้เป่ยเฉินหยวนมองภาพนี้อยู่ทางด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่เงียบไปสักพัก ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าวว่า “ม่อโฉวซือไท่ อู๋โยวกลัวว่าจะเลื่อนพิธีขอพร
บอกว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อสักครู่ เลือกเวลาได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ราวกับจงใจทรมานพวกเขาจริง ๆ เวินฉางอวิ้นที่เหนื่อยล้านิดหน่อยเช่นเดียวกันอดบ่นไม่ได้ “น้องห้าช่างทรมานคนจริง ๆ” ตอนเช้าไม่ฟื้น ตอนเย็นไม่ฟื้น แต่มาฟื้นตอนนี้หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นเวินซื่อที่ถูกเวินจื่อเฉินทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสมาก่อน เกรงว่าเขาคงจะสงสัยว่านางฟื้นมาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่ เวินเฉวียนเซิ่งที่รู้ว่าบุตรชายกำลังคิดอะไรอยู่กลับหัวเราะหยัน “เวินซื่อยังไม่มีความกล้าหาญพอที่จะกล้าต่อต้านข้าหรอก เกรงว่าคงจะมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” เวินฉางอวิ้นตกตะลึง “ความหมายของท่านพ่อคือ?” “นอกจากเป่ยเฉินหยวนแล้ว ยังมีใครในราชสำนักนี้ได้อีก?” เวินเฉวียนเซิ่งทำหน้าเย็นชา แววตาคมกริบ “คนผู้นี้ลงมืออย่างเด็ดขาดฉับไว อาศัยความโปรดปรานของฝ่าบาท กระทำการเผด็จการอย่างยิ่ง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่กดดันจวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขา เป่ยเฉินหยวนไม่มีทางพลาดโอกาสใด ๆ เลย “ครั้งนี้สกุลเวินของเราพลาดท่าอยู่ในเงื้อมมือของเขา หากไม่ใช่เพราะนังเด็กเหลวไหลอย่างเวินซื่อ เรื่องคงไม่บานปลายมาถึ
ตั้งแต่รู้ว่าเวินจื่อเฉินบุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่ และยังทำร้ายเวินซื่อ หลายวันนี้เวินเยวี่ยอารมณ์ดีมากแต่นางคิดไม่ถึงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับเกินความคาดหมายของนางฝ่าบาทสั่งโบยเวินจื่อเฉินแปดสิบไม้เพื่อเวินซื่อและยังสั่งสกุลเวินต้องได้รับการให้อภัยจากเวินซื่อ จึงจะละเว้นเขาหลังจากรู้ข่าวเรื่องนี้ เวินเยวี่ยก็เผลอกล่าวด้วยความโกรธ “ถือสิทธิ์อะไร?!”ฝ่าบาทบ้าไปแล้วหรือ?เพื่อแม่ชีคนหนึ่ง ล่วงเกินทั้งจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างไม่ลังเล?เวินเยวี่ยรู้สึกว่านี่มันบ้ามากนางเวินซื่อถือสิทธิ์อะไรได้รับการปกป้องจากฝ่าบาท?ตอนนี้นางไม่ใช่บุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว แต่เป็นแค่แม่ชีคนหนึ่งที่ไร้ชื่อ นางยังมีอะไรสามารถเข้าตาฝ่าบาทที่อยู่บนจุดสูงสุดอีก?เวินเยวี่ยที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชสำนัก คิดว่ามีเพียงฮ่องเต้น้อยคนเดียวที่ออกหน้าแทนนางแต่หารู้ไม่ ยังมีอีกคนอีกคนที่มีอิทธิพลต่อราชสำนักตอนที่รู้ว่าเวินเฉวียนเซิ่งให้นางไปที่ห้องหนังสือ เวินเยวี่ยก็เดาได้แล้วว่า พวกเขาต้องถามนางเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็ป่าวประกาศ ‘เรื่อง
“นางกำลังทำอะไรที่นั่น?”เวลานี้เวินฉางอวิ้นยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องราวหลังจากเวินเยวี่ยแสร้งลังเล ทำหน้าเหมือนไม่อยากช่วยเวินซื่อปิดบังอีกแล้ว ก็กล่าวทั้งน้ำตา “นางแอบ…แอบพบกับบุรุษคนหนึ่งที่นั่น”“เพล้ง!”จู่ๆ ฝาถ้วยชาที่อยู่ข้างมือของเวินเฉวียนเซิ่งก็แตกกระจายบนพื้นเวินฉางอวิ้นเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “น้องหก เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”เวินซื่อแอบพบกับบุรุษ?!นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!นังเด็กเวินซื่อนั่นจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!เวินเยวี่ยกล่าวทั้งน้ำตา “เยวี่ยเอ๋อร์รู้ว่าท่านพ่อกับท่านพี่ไม่เชื่อ เยวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องจริง แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ เยวี่ยเอ๋อร์เห็นกับตาจริงๆ หลังจากถูกพี่หญิงห้าพบเห็น เดิมทีข้าอยากเกลี้ยกล่อมนางอย่าทำเช่นนี้ แต่นางกลับกดข้าลงน้ำ ขู่ข้าห้ามบอกใคร ไม่เช่นนั้น…นางก็จะกดข้าจมน้ำตาย”หลังจากฟังนางกล่าวจบ เวินเฉวียนเซิ่งกับเวินฉางอวิ้นเงียบไปชั่วขณะสีหน้าเวินเฉวียนเซิ่งเคร่งขรึมมากส่วนเวินฉางอวิ้นอย่างไรก็ไม่เชื่อเขารู้ว่าตอนนี้น้องห้าหัวรั้นมาก ไม่เชื่อฟัง และไม่รู้ความ แต่ถึงนางจะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีทางทำเรื
“อะไรนะ? นางไปแล้ว?”เวินเฉวียนเซิ่งกับเวินฉางอวิ้นไปเสียเที่ยวอีกครั้งตอนที่พ่อลูกคู่นี้คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไปหาเวินซื่อที่วังหลวง แต่กลับรู้มาว่าเวินซื่อกลับอารามสุ่ยเยว่แล้วเสี่ยวเต๋อจื่อยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์กังวลเกี่ยวกับพิธีขอพรในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพิ่งฟื้นก็รีบกลับอารามสุ่ยเยว่เพื่อเตรียมตัวแล้ว”สีหน้าเวินเฉวียนบึ้งตึงเล็กน้อยเดิมทีเขาอยากถามให้ชัดเจนด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เวินซื่อกลับกลับอารามสุ่ยเยว่โดยตรงแล้วถ้าหากอยู่ในวังหลวง เขายังสามารถเจอนางแต่อยู่ในอารามสุ่ยเยว่ เขากลับไม่สามารถเข้าแม้แต่ประตูหรือนี่ก็อยู่ในแผนของเป่ยเฉินหยวน?เวินเฉวียนเซิ่งสงสัยในใจแต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ นี่ไม่ใช่แผนของเป่ยเฉินหยวนเวินซื่อเดาว่าเวินเฉวียนเซิ่งต้องมาหานางด้วยตัวเองแน่นอน ดังนั้นหลังจากที่ดวงตาหายดีแล้ว ก็กลับไปพร้อมกับม่อโฉวซือไท่ทันทีไม่ใช่ว่านางกลัวเวินเฉวียนเซิ่ง แต่เพราะนางจะเตรียมพิธีขอพรก่อน รอหลังจากนี้นางค่อยลงมือทวงคืนทุกอย่างจากคนเหล่านี้แล้วก็ นางไม่อยากให้เวินจื่อเฉินออกจากคุกเร็วเช่นนั้นก่อนที่นางจะอารมณ์ดีขึ้
เมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น แววตาเวินซื่อเผยให้เห็นความประหลาดใจทันทีเพราะรูปร่างของอิ่งชีสูงบาง ประกอบกับชุดที่มิดชิด รูปร่างภายนอกแทบไม่มีลักษณะเด่นใดๆ ดูแล้วย่อมแยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงแต่ตอนนี้เสียงของอิ่งชีดังขึ้น เวินซื่อก็รู้แล้วอิ่งชีเป็นผู้หญิง“ท่านอ๋อง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”เวินซื่อก็เคยเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์มีชาติตระกูล ย่อมรู้ว่าในเรือนของคนชนชั้นสูง และรวมถึงราชวงศ์ จะฝึกองครักษ์ลับส่วนตัวจำนวนหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงก็เช่นกันข้างกายเวินเฉวียนเซิ่งก็มีองครักษ์ลับค่อยปกป้องสมัยเด็กนางเคยเห็นคนเช่นนี้ ความรู้สึกที่อิ่งชีนำมาให้นาง ก็เหมือนกับองครักษ์ลับข้างกายของบิดา “นี่คือองครักษ์ลับที่ฝ่าบาทสั่งให้ข้าส่งมา เดิมทีพวกเขาเป็นคนของราชวงศ์เท่านั้น แต่ท่านเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์เพียงคนเดียว และยังขอพรเพื่อบ้านเมืองในอาราม หลังจากข้ากับฝ่าบาทปรึกษากัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างก่อนหน้านี้ ก็เลยเลือกองครักษ์ลับที่เหมาะสมกับท่านคนหนึ่งส่งมาให้ท่าน”เป่ยเฉินหยวนล้วงป้ายประจำตัวของอิ่งชีออกมาส่งให้เวินซื่อ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านก็คือนายของ
“นี่คือของขวัญตอบแทนที่มอบให้ท่าน อีกชิ้นเป็นของที่ถวายให้ฝ่าบาท รบกวนท่านอ๋องช่วยข้านำไปให้ฝ่าบาทด้วย”เป่ยเฉินหยวนรับกล่องไม้มา ไม่ได้เปิดต่อหน้านางทันที เพียงแค่พยักหน้า “ได้ ข้ารู้แล้ว”รอหลังจากเป่ยเฉินหยวนจากไป เวินซื่อเริ่มคัดพระสูตรต่ออีกครั้ง แต่เพิ่งลงพู่กันได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่าข้างนอกมีคนมาอีกแล้วคือม่อโฉวซือไท่“อู๋โยว”ม่อโฉวซือไท่เห็นเวินซื่อคัดพระสูตรอย่างจริงจังตั้งแต่อยู่ตรงลาน สีหน้าที่แข็งกระด้างตลอด นุ่มนวลลงสองส่วนโดยแทบสังเกตไม่เห็น“อาจารย์?”เมื่อซื่อได้ยินเสียง ก็วางพู่กันลง“ได้ยินมาว่าท่านอ๋องมอบองครักษ์ลับคนหนึ่งให้เจ้า?”“ถูกต้อง ศิษย์รับไว้แล้ว ชื่อจู๋เยวี่ย อาจารย์จะพบนางหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนส่งคนมาอารามสุ่ยเยว่ ย่อมต้องผ่านการเห็นชอบจากม่อโฉวซือไท่ ดังนั้นเวินซื่อไม่แปลกใจที่ม่อโฉวซือไท่รู้เรื่องนี้“ไม่ต้องแล้ว เจ้าเคยพบแล้วก็พอ”ม่อโฉวซือไท่โบกมือ หลังจากเข้าห้องก็รับน้ำชาที่เวินซื่อรินให้นาง แต่ไม่ได้ดื่มทันที “เจ้านั่งลงก่อน อาจารย์มีเรื่องจะถามเจ้า”เวินซื่อวางกาน้ำชา ไปนั่งที่ข้างๆ นางทันที“อาจารย์จะถามอะไรหรือ?”ม่อโฉวซือไท่มองด
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม