ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเขาหลินหงเหวินกลับเงียบไปชั่วขณะครึ่งเค่อต่อมาเขาถึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าผู้แซ่หลินไม่ได้ส่งใครไปหากำลังเสริม”หมอผู้เฒ่าชะงักไปชั่วครู่ “หา? แล้ววันนั้นที่ท่านเขียนจดหมายให้คนส่งไปทำอะไรหรือ? ถ้าไม่เรียกคนมาช่วย แล้วต่อไปพวกท่านจะทำอย่างไร?”หลินหงเหวินเผยท่าทีกลัดกลุ้มใจเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะ “ข้าเขียนจดหมายไปให้ลูกสาวของข้า บอกให้นางอย่ามา”เขากล่าวว่า “ข้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะมีท่านผู้เฒ่าทุ่มเทแรงกายช่วยเหลือ แต่ต่อให้หายดีแล้วข้าก็ไม่สามารถออกจากเมืองซื่อสุ่ยแห่งนี้ได้ และปู่ของนางตกน้ำไปจนถึงตอนนี้ เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแล้วเช่นกัน”“พวกเราสองคนตายไปไม่เป็นไร ขอเพียงมีนางอยู่ที่นี่ สกุลหลินจะยังคงอยู่ แต่หากนางมาติดกับแผนการของคนพวกนั้น สกุลหลินก็จะสูญสิ้นอย่างสมบูรณ์”หลินหงเหวินกล่าวเช่นนี้แต่เขาไม่รู้ว่า หลินเนี่ยนฉืออ่านจดหมายที่เขาเขียนไม่จบด้วยซ้ำแค่เห็นเพียงส่วนแรกหลินเนี่ยนฉือก็รีบรุดมาช่วยพวกเขาแทบจะในทันทีโชคดีที่เวินซื่อโน้มน้าวนางไว้ได้ ให้นางอยู่ในเมืองหลวงได้สำเร็จแม้ว่าหลินเนี่ยนฉือจะไม่ได้มา แต่กองกำลังเสริมขอ
วินาทีต่อมา เสียงเคาะประตูก็ดังมาจากด้านนอกประตูครู่หนึ่ง“ก๊อก ๆ”“ท่านทั้งหลาย ข้านำยามาให้”เป็นหมอผู้เฒ่าที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้องครักษ์ก้าวไปเปิดประตูทันที หลังจากให้หมอผู้เฒ่าเข้ามาแล้ว ก็มองออกไปข้างนอกอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็รีบปิดประตู“ขอบคุณท่านผู้เฒ่าที่ช่วยชีวิตข้าผู้แซ่หลินไว้ ตอนนี้ข้างนอกอันตราย ประเดี๋ยวท่านกลับไปก็อย่ามาอีกเด็ดขาด ภัยจะได้ไม่มาถึงตัว”หลินหงเหวินกลัวว่าจะเดือดร้อนไปถึงหมอผู้เฒ่า ดังนั้นหลังจากที่หมอผู้เฒ่าช่วยชีวิตพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ แล้วยังจัดให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ ก็ไม่ให้หมอผู้เฒ่ากลับมาอีกแต่หมอผู้เฒ่าคนนี้ดื้อรั้น “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว เก็บแรงเอาไว้ดีกว่า ชีวิตของท่านข้าเป็นช่วยกลับมา ตอนนี้อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี หากข้าจากไปตอนนี้ ไม่เกินสามวันท่านอาจจะตายอยู่ที่นี่”หมอผู้เฒ่าพูดพลางล้วงยาและเครื่องมือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมาดังที่หลินหงเหวินพูด ตอนนี้ร้านขายยาข้างนอกล้วนมีผู้คนเฝ้าดูอยู่ทุกแห่ง ตอนที่หมอผู้เฒ่าเข้ามาก็ไม่กล้านำกล่องยาของตัวเองติดมาด้วย ทำได้เพียงซ่อนยาและเครื่องมือเอาไว้ในตัวเขา ถึงได้
แต่ดูจากท่าทางของท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว กลับดูกระปรี้กระเปร่ากว่าพวกเขาเสียอีก“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์ ถึงเมืองซื่อสุ่ยแล้ว จะเข้าไปในเมืองทันทีเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เวินซื่อมองเมืองซื่อสุ่ยที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ตอนที่พวกเขามาถึงเป็นเวลารุ่งสาง ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่างดังนั้น เวลานี้ภายในเมืองซื่อสุ่ย จึงยังไม่มีผู้คนเดินขวักไขว่บนถนนมากนัก“ทุกคนลงจากม้า เหลือคนไว้สองคนที่นอกเมืองเพื่อดูแลม้า คนที่เหลือเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าธรรมดา รอจนพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ค่อยแบ่งกลุ่มทยอยกันเข้าเมือง จำไว้ว่าให้ดำเนินการอย่างลับๆ ต้องตามหาเบาะแสของคนสกุลหลินให้พบก่อนตะวันตกดินให้ได้”“ขอรับ”ทันใดนั้น เวินซื่อก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากบนหลังม้า หลังจากเปิดสิ่งที่ใช้สำหรับซ่อนแล้ว ก็เผยให้เห็นเหล่าแมงมุมตัวเล็กๆ ที่นางเพิ่งจะย้ายจากในมิติมาใส่ไว้ในกล่อง“แต่ละคนให้พกแมงมุมไปด้วยตัวหนึ่ง หากพบเบาะแส ให้วางแมงมุมไว้ในจุดที่น่าสงสัย หรือบนตัวของคนที่น่าสงสัย หากพบอันตรายให้รีบถอนตัวทันที หลังจากนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจ ทุกคนเข้าใจหรือไม่?”สำหรับแมงมุมเหล่านี้ เหล่ากองทัพธงดำไม่ได้ถามอะไรมากนัก หลังจากเข้าใ
เพื่อทำเวลา ครั้งนี้เวินซื่อไม่ได้นั่งรถม้า แต่กลับขี่ม้าเช่นเดียวกับกองทัพธงดำเมื่อออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่ไกลนัก ขณะที่ผ่านศาลาปี้เยวี่ย พลันมีเสียงหนึ่งดังออกมาจากในศาลา“เวินซื่อ! เดี๋ยวก่อน!”เพราะเสียงนั้นคุ้นเคยอย่างยิ่ง เวินซื่อจึงหยุดม้าโดยสัญชาตญาณนางหันหน้าไปมองศาลาปี้เยวี่ย ก็เห็นสตรีผู้หนึ่งที่คลุมร่างกายอย่างมิดชิดกำลังซ่อนตัวอยู่ภายในศาลาถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่เวินซื่อก็ยังคงจำนางได้จากเสียงของอีกฝ่าย“อันหลันซิน? เจ้าแต่งกายเช่นนี้...”เวินซื่อสำรวจดูการแต่งกายของนางแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “มาทำอะไรที่นี่?”อันหลันซินในเวลานี้ สวมชุดของคนรับใช้ และยังเป็นชุดของผู้ติดตาม ไม่เพียงแต่ปิดบังใบหน้า แม้กระทั่งเส้นผมก็ซ่อนไว้ในหมวก ดูเหมือนไม่อยากให้ใครพบเห็น ท่าทางลับๆ ล่อๆ เป็นอย่างยิ่ง“อาซื่อ ข้ามาหาเจ้า”คราวนี้ อันหลันซินไม่ได้ปฏิเสธชื่อที่เวินซื่อเรียกนาง“มาหาข้า? มาหาข้าทำไม?”สายตาของเวินซื่อเป็นประกายเล็กน้อย จ้องไปที่นางตรงๆ อันหลันซินซ่อนตัวครึ่งหนึ่งในศาลาปี้เยวี่ย หลังจากมองรอบๆ แล้ว จึงกล่าวกับเวินซื่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าจะไปที่ใด และรู้ว
ที่ว่าล้มลงอยู่ข้างนอกนั้น เป็นคำกล่าวอย่างอ้อมค้อมของศิษย์พี่หญิงอู๋ขู่ในความเป็นจริง คนผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสเกินไป หลังจากที่ฝากจดหมายแก่ศิษย์พี่หญิงอู๋ขู่แล้ว ก็พลันสิ้นใจในทันทีศิษย์พี่หญิงอู๋ขู่พอเห็นก็รู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว นี่จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเป็นแน่!นางจึงถือจดหมายไว้แล้วรีบวิ่งมาจากประตูใหญ่ของอารามสุ่ยเยว่หลินเนี่ยนฉือรีบรับจดหมายมาดู ตราประทับบนซองจดหมายนั้นเป็นของสกุลหลินของพวกเขาจริงๆ!ทันใดนั้น นางก็ไม่สนใจว่ามีใครอยู่ที่นี่บ้างแล้ว รีบเปิดจดหมายอ่านดูทันที“นี่คือลายมือของท่านพ่อข้า! ท่านพ่อกับท่านปู่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว!”ร่างของหลินเนี่ยนฉือโซเซ มือที่ถือกกระดาษจดหมายสั่นเทา ทั้งตัวเกือบจะยืนไม่อยู่เวินซื่อรีบประคองนางไว้ เอ่ยถามอย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้น? พวกเขายังอยู่ระหว่างทางมาเมืองหลวงมิใช่หรือ?”หลินเนี่ยนฉือเพ่งมองเนื้อความในจดหมายโดยไม่กะพริบตา นางกัดฟันกรอดพลางเอ่ยขึ้น “ข่าวที่ข้ากำลังจะได้เป็นฮองเฮารั่วไหลออกไปแล้ว”เวินซื่อเข้าใจในทันที “ดังนั้น จึงมีคนในเมืองหลวงทนไม่ไหว ส่งคนไปดักสังหารท่านปู่หลินพวกเขาหรือ?”หลินเนี่ยนฉือพยักหน้า ดวงตาทั้งสอ
“ช่วงนี้ในเมืองหลวงวุ่นวายนัก สองสามวันนี้ ท่านพยายามอย่าลงจากเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าเข้าไปในเมืองหลวง หากจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็ให้พาคนที่อยู่ที่เชิงเขาไปด้วย”ตอนที่เวินซื่อส่งเป่ยเฉินหยวนกลับไป เป่ยเฉินหยวนก็ให้นางเดินมาส่งถึงหน้าประตูเรือนเล็ก จากนั้นก็หยุดแล้วหันมามองนางพลางเอ่ยขึ้น“เป็น...เพราะคนต่างเผ่าพวกนั้นหรือ?”เวินซื่อเลิกคิ้วถามเป่ยเฉินหยวนพยักหน้า “สถานะของคนต่างเผ่าพวกนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ก่อนหน้านี้ ข้าเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าในเมืองหลวงจะต้องมีสายลับของเผ่าต่างแดนซ่อนตัวอยู่ และเป็นไปตามคาด พอคนต่างเผ่าพวกนั้นมาถึง ในเมืองหลวงก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมากมาย”แม้กระทั่งหออายุวัฒนะที่เขากำลังสืบสวนอยู่ก่อนหน้านี้ ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่เขาก็มีความอดทนมากพอที่จะรับมือกับคนพวกนี้เขาอยากจะดูนักว่า ครั้งนี้จะสามารถล่อคนออกมาได้มากน้อยเพียงใด“ดังนั้นช่วงเวลานี้ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวง คอยจับตาดูคนพวกนั้น ไม่สามารถมาหาท่านได้ แต่ข้าทิ้งกองทัพธงดำไว้ให้ท่านกองหนึ่งที่เชิงเขา หากท่านจะออกไปข้างนอก ต้องพาพวกเขาไปด้วย เข้าใจหรือไม่?”เป่ยเฉินห