หลิงเฟิ่งยังมิทันได้หันไปมองเลยว่า สองพี่น้องคิดจะทำอันใดกับนาง ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนาง ก็ทำให้นางต้องก้มลงไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น
เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากอกของนางอย่างช้าๆ ดวงตาของหลิงเฟิ่งพร่ามัว มองใบหน้าของทั้งสามไม่ชัด
“เป็นเช่นนี้ก็ดี นับจากนี้ข้าให้พวกท่านมีความสุขกับสิ่งที่เลือก แต่คงไม่อาจจะสมหวังได้” เสียงที่หลุดออกมาจากปากของหลิงเฟิ่งแผ่วเบาก็ทั้งสามก็ได้ยินอย่างชัดเจน
คนพวกนี้คิดว่ามิติมันจะเปลี่ยนผู้ครอบครองได้ง่ายๆ เลยรึ ต่อให้นางมอบกำไลให้พวกเขา ก็มิใช่ว่าจะเป็นผู้เปิดมิติได้ ในเมื่อมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เข้าออกได้เพียงผู้เดียว
หลี่กวนตกใจไม่น้อย ที่บุตรชายทั้งสองสังหารหลิงเฟิ่ง แต่เขามิได้เข้ามาดูนางที่กำลังค่อยๆ หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แต่เข้ามาถอดกำไลในมือไปแทน
“เอามาให้ข้า” หลี่เฉียงแย่งกำไลมาจากมือของหลี่กวน ก่อนจะสวมใส่เอาไว้
“เหตุใดเข้าไม่ได้” เขากำหนดจิตเช่นที่เคยเห็นหลิงเฟิ่งนางทำ แต่ก็มิอาจเข้าไปภายในมิติได้
“ให้ข้าลองดู” หลี่ซวงแย่งมาจากมือพี่ชาย ก่อนจะทำตามเช่นเดียวกัน
“ไม่ได้!!!” สองพี่น้องเริ่มจะเกิดความกังวล
หลิงเฟิ่งที่มองทั้งสามเปลี่ยนกันสวมใส่กำไล ก็ได้แต่ยิ้มเย้ยหยันออกมา
“เฟิ่งเออร์!!!” เสียงของฉงหานดังขึ้น เมื่อเห็นร่างของหลิงเฟิ่งตอนเลือดไหลออกมาเต็มพื้น
“กำไลเล่า กำไลอยู่ที่ใด” นี่คือคำพูดสุดท้ายที่หลิงเฟิ่งนางได้ยินจากปากของฉงหาน ก่อนสติของนางจะค่อยๆ เลือนหายไป พร้อมกับลมหายใจที่หมดลง
“หึ ครั้งนี้ข้าจะบ้าให้สมใจพวกท่านเลย” หลิงเฟิ่งยิ้มเย็นออกมา เมื่อได้รู้ว่านางย้อนกลับมาอีกครั้งแล้ว
เหตุใด เมื่อครั้งที่แล้วนางถึงไม่ได้สำรวจสภาพร่างกายของหลี่หลิงเฟิ่งเลย หากลองใคร่ครวญดูดีๆ จะพบว่าร่างกายนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน
ไม่ใช่ว่าเพียงจะผอมแห้งหลังจากที่นอนป่วยอย่างที่พวกเขาเคยพูด หลิงเฟิ่งลองสำรวจว่านางยังมีมิติอีกหรือไม่ ก็พบว่านางยังมีอยู่เช่นเดิม
หลิงเฟิ่ง ได้ยินเสียงพูดของบุรุษตระกูลหลี่ทั้งสามอยู่หน้าห้องแล้ว แต่ยังมิได้เดินเข้ามา เป็นจริงเช่นที่หลี่เฉียงเคยบอกนางไว้ หลี่กวนผู้เป็นบิดามีความคิดที่ต้องการนำนางไปทิ้งบนภูเขาจริงๆ หากนางยังมิฟื้นขึ้นมา
“เข้าไปดูก่อน หากใกล้ตายจะได้รีบเอาไปทิ้ง หากชาวบ้านถามก็บอกว่านางสิ้นใจไปแล้ว” หลี่กวนเปิดประตูเข้ามาก็ต้องตกใจ เมื่อหลิงเฟิ่งนางลืมตามองเพดานห้องอย่างเลื่อนลอย
“ฟะ ฟื้นแล้ว ฟื้นได้อย่างไรกัน” เสียงร้องอันดังของหลี่กวน ทำให้บุรุษอีกสองคนวิ่งเข้ามาภายในห้อง
“นางยังไม่ตาย ดูท่าคงอีกไม่นาน ดูตาของนางสิท่านพ่อ ไร้ชีวิตเช่นดี” หลี่ซวงชะโงกหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ
หากเมื่อครั้งนี้แล้ว นางนอนนิ่งๆ ไม่ลุกขึ้นมาให้พวกเขาเห็นความเปลี่ยนแปลง คงจะได้ยินคำพูดเลวร้ายออกมาจากปากของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่ดีรึ ตระกูลซ่ง อยากแต่งนางให้บุตรชายที่ใกล้ตายของพวกเขา ในเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านก็ไปพูดคุยกับตระกูลซ่งเสียเถิดท่านพ่อ”
แววตาของหลิงเฟิ่ง แข็งกร้าวขึ้นมาวูบก่อนจะกลับมาเลื่อนลอยเช่นเดิม นางรู้จักคนตระกูลซ่งดี เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านหู่เซิงเช่นกัน ครอบครัวของพวกเขาก็ยากจนไม่ต่างจากตระกูลหลี่ของนาง
นางจำได้ว่า ซ่งชุยหยุนผู้เป็นบุตรชาย หลังจากที่นางมาถึงที่นี่ได้ไม่ถึงเดือน ก็สิ้นใจจากโรคที่เป็นมาตั้งแต่เกิด หากนางแต่งให้เขามิใช่ว่า จะดีกว่าต้องทนอยู่ในตระกูลหลี่รึ แม้ต่อไปจะต้องเป็นหม้ายก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ แต่คำพูดต่อมาของหลี่กวนก็ทำให้หลิงเฟิ่งที่กำลังใคร่ครวญอยู่ตกตะลึงไม่น้อย
“อย่างไรก็ต้องตาย เอานางไปแลกเงินสองตำลึงยังดีเสียกว่า หากอาหยุนตายลง นางก็จะต้องถูกฝังลงไปในหลุมเดียวกับเขาด้วย”
หลิงเฟิ่งเกือบจะกระโดดลุกขึ้นมาด่าทอพวกเขาจากเตียงนอนแล้ว ยังดีที่นางควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ คนพวกนี้เลวได้ใจจริงๆ คิดจะขายนางเพียงสองตำลึงเท่านั้น ทั้งยังส่งให้นางไปลงหลุมเดียวกับเจ้าคนร่างกายอ่อนแออีก
“ข้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว หรือจะหนีไปเลยดี” หลิงเฟิ่งได้แต่คิดหาหนทาง
เมื่อภพที่แล้ว นางเคยคิดที่จะแยกตัวออกไปใช้ชีวิตหลังจากที่ตระกูลหลี่ร่ำรวยแล้ว แต่พวกเขากลับไม่ยอมปล่อยนางไป นางเองก็เพิ่งจะได้รู้ว่าชาวเมืองแคว้นต้าเยี่ย
หากจะตั้งตัวใหม่หรือแยกตัวออกจากตระกูลจะต้องมีหนังสือยินยอม หรือไม่ก็ทะเบียนราษฎร์ ที่ทางที่ว่าการออกให้ หากหลี่กวนไม่มอบให้นาง นางจะมีได้ไง และก็ไม่รู้ว่าเขาเก็บไว้ที่ไหน
“เช่นนั้น พวกเจ้าดูนางให้ดี อย่าเพิ่งให้ตายไปก่อน ไปเอาน้ำกับข้าวต้มมาป้อนนางไว้ ข้าจะไปคุยกับตระกูลซ่งเดี๋ยวนี้” หลี่กวนสั่งความเสร็จเรียบร้อยก็รีบเดินออกไปทันที
“เจ้าทำแล้วกัน” หลี่เฉียงหันไปสั่งผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะมองร่างที่ไร้สติของหลิงเฟิ่งอีกครั้ง แล้วเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
เงินสองตำลึงมีค่ามากนักสำหรับครอบครัวที่ไม่มีอะไรจะกินเช่นตระกูลหลี่ ที่หลี่ซวงยอมทำตามคำพูดของพี่ชาย ก็เพื่อปากท้องของตนเอง เขาไม่อยากขึ้นเขาไปหาของป่าให้เหนื่อยแล้ว สู้นำเงินสองตำลึงไปซื้อข้าวสาร เนื้อ กินดีกว่า
หลิงเฟิ่งนอนนิ่งๆ ปล่อยให้หลี่ซวงป้อนน้ำและข้าวต้มให้นาง อย่าเรียกว่าข้าวต้มเลย ในเมื่อมันแทบจะไม่มีเมล็ดข้าวอยู่ในชาม มีเพียงน้ำข้าวใสๆ เท่านั้น
หลิงเฟิ่งนางมิยอมกลืนลงคอดีๆ ปล่อยให้ไหลเปื้อนเนื้อตัวของนาง จนหลี่ซวงโมโหทุบตีนางไปสองสามที แม้จะเจ็บจนอยากจะเอาคืน แต่หลิงเฟิ่งจำต้องกัดฟันทนไม่ร้องออกมา และไม่มองเขาอย่างอาฆาตด้วย
“หากเจ้ายังไม่ยอมกลืนอีก ข้าจะบีบคอเจ้าเสีย” เขาไม่เพียงแค่พูดขู่ ยังวางมือลงที่คอของนางด้วย
หลิงเฟิ่งจึงยอมกลืนลงไปดีๆ นางอดนึกถึงหลี่หลิงเฟิ่งไม่ได้ ที่ผ่านมานางคงได้ถูกกระทำเช่นนี้ จนอายุสิบห้าหนาวถึงได้สิ้นลมหายใจ หากเป็นนางที่ไม่สมประกอบก็คงอยากจะตายเช่นกัน ถ้าต้องถูกเลี้ยงดูอย่างทารุณเช่นที่ตนเองโดนกระทำอยู่
หลังจากที่หลี่ซวงป้อนน้ำข้าวจนหมดชาม เขาก็ออกไปด้านนอกโดนไม่สนใจสภาพหลิงเฟิ่งที่เปื้อนไปด้วยน้ำข้าวทั้งตัว
นางเองก็อยากลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใจแทบขาด แต่จำต้องแข็งใจนอนต่อไป หลิงเฟิ่งเรียกน้ำวิเศษในมิติออกมาดื่มหนึ่งแก้ว เพื่อให้ร่างกายของนางมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น
เสียงด้านนอกทำให้รู้ว่าหลี่กวนกลับมาแล้ว หลิงเฟิ่งจำต้องล้มตัวลงนอนนิ่งๆ อีกครั้ง
“ได้เรื่องหรือไม่ท่านพ่อ” หลี่เฉียงรีบเอ่ยถามทันที
“เอาเงินมาแล้ว เจ้าไปตามป้าเหลียนมาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เฟิ่งเออร์ก่อน ดูท่าอาหยุนจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน คนตระกูลซ่งกำลังจะมารับนาง”
หลิงเฟิ่งได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่มีเวลาให้นางได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนเลยรึ แล้วเมื่อครู่หากนางได้ยินไม่ผิด อาหยุนกำลังจะตายแล้วใช่หรือไม่ หากให้นางไปตอนนี้ไม่เท่ากับว่าเอานางไปฝังรวมกับเขาเลยรึ
“ได้ ข้าไปเอง” หลี่ซวงรีบวิ่งออกไปจากเรือนทันที
“ร่างกายของเจ้าก็ยังมิฟื้นตัวดี หากล้มป่วยลง ที่เรือนข้าไม่มีเงินพาเจ้าไปหาหมอเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยขู่นางออกมา“ข้ามียาที่ช่วยให้เจ้าหายดีได้ ข้าจะปล่อยให้ตัวเองตายหรืออย่างไร” นางปรือตาขึ้นมามองเขาอย่างไม่พอใจน้ำวิเศษที่กินไปก่อนหน้านี้ คงหมดฤทธิ์ไปเสียแล้ว ด้วยนางมิได้กินเข้าไปเยอะกลัวว่าร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป อีกทั้งนางยังไม่กล้าจะนำออกมากินเพิ่ม กลัวว่าชุยหยุนจะสงสัยถึงที่มาของมันชุยหยุนจ้องมองนางอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะช้อนร่างของนางขึ้นไปนอนบนเตียง แม้หลิงเฟิ่งจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่อาจจะสลัดเขาให้หลุดได้“ตระกูลหลี่ จะปล่อยให้เจ้าอดตายจริงรึ” เขาอุ้มนางจึงได้รู้ว่าน้ำหนักตัวของนางน้อยกว่าที่เห็นมากนัก“ท่านคิดเช่นใดเล่า” หลิงเฟิ่งเขยิบตัวเข้าไปจนติดกำแพงด้านในสุด แต่ตัวของชุยหยุนและนางก็ยังใกล้ชิดกันอยู่ดี“ต่อไปเจ้าไม่ต้องกลัวแล้ว ต่อให้ตระกูลซ่งของข้าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่จะไม่ปล่อยให้เจ้าอดตายอย่างแน่นอน” เขาจ้องมองนางอย่างยิ่งจัง“อืม” หลิงเฟิ่งเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองสำรวจเตียงว่านางควรล้มตัวนอนเช่นใดดีในเมื่อหมอนก็มีเพียงหนึ่งเดียว และผ้าห่มก็มีผืนเดียวเช่นกัน“นอ
ชุยหยุนเอง เมื่อเห็นว่าหลิงเฟิ่งนางไม่ได้เขย่าประตูห้องแล้ว เขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน“อย่าหลับ” หลิงเฟิ่งตะโกนออกมา นางลืมไปว่านางไม่ควรพูดสิ่งใดทั้งนั้น แต่นางกลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว“หื้ม...ไม่หลับ ข้าเพียงแค่หลับตาเท่านั้น” เขามองมาที่นางอย่างแปลกใจ เมื่อครู่นางดูเหมือนไม่ใช่คนเสียสติสักนิดหลิงเฟิ่งได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวว่าเขาจะจับพิรุธของนางได้ แต่หูของนางก็ยังฟังอยู่ว่าเขาพูดเช่นใดไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลิงเฟิ่งหันหน้าไปมองชุยหยุนอีกครั้ง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง นางรีบคลานเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว“อาหยุน อาหยุน” หลิงเฟิ่งเขย่าเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ“สวรรค์ ทำเช่นใดดี” นางเริ่มจะสติแตกแล้ว จะร้องเรียกคนข้างนอกก็ไม่ได้หากว่าเขาหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ มิใช่ว่านางจะต้องตายตามไปด้วยเลยรึ“น้ำ น้ำ ชะ ใช่ ใช่แล้ว น้ำ” หลิงเฟิ่งเรียกน้ำออกมาใส่แก้วชาที่อยู่ข้างเตียงก่อนจะค่อยๆ ประคองชุยหยุน แล้วเทน้ำลงในปากของเขาช้าๆ“กลืน กลืนเร็วเข้า” หลิงเฟิ่งร้อนใจไม่น้อย เมื่อน้ำที่นางเทใส่ปากของเขา มันไหลออกมาเสียเป็นส่วนมาก“อืม...เจ้าทำ...แค่ก แค่ก” ชุยห
หลิงเฟิ่งที่อยู่ภายในห้อง นางมองหาสิ่งของที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ ก็เห็นจะไม่มีสิ่งใดเลย ตอนที่สายตาของนางกำลังกวาดมองไปรอบๆ ป้าเหลียนก็เดินเข้ามาด้านใน“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง” ป้าเหลียนมองร่างผอมแห้งของหลิงเฟิ่งอย่างเห็นใจ“กรรมของเจ้าจริงๆ อาเฟิ่ง ภพหน้ามีจริง ให้เจ้าเกิดในตระกูลร่ำรวย มีครอบครัวที่รักเจ้าจริงก็แล้วกัน ชาตินี้ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว อากวนชั่วช้านัก กล้าขายลูกในไส้ของตน ให้เป็นเจ้าสาวร่วมหลุม” นางเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้หลิงเฟิ่งได้ยินเสียงของคนกลุ่มมากที่กำลังเข้ามาภายในเรือนของนาง ป้าเหลียนก็ประคองร่างของนางขึ้นมา เพื่อให้นางเดินออกไปด้านนอก“เด็กดี เดินไหวหรือไม่ ข้าจะช่วยประคองเจ้าออกไป” หลิงเฟิ่งอยากจะกรีดร้องออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อเห็นคนจำนวนมากที่มายืนอยู่ที่กลางลานเรือน นางก็เริ่มจะตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ แล้ว สายตาของนางมองไปรอบตัว ก่อนจะพบไม้ฟืนที่ถูกเก็บมาไว้แต่ยังมิได้เอาไปเก็บที่ห้องครัวหลิงเฟิ่งดันมือป้าเหลียนที่กำลังประคองนางออก ก่อนจะพุ่งตัวไปหยิบไม้ด้ามใหญ่มาถือเอาไว้ ทุกคนที่เห็นนางทำเช่นนั้นก็หยุดชะงัก พร้อม
หลิงเฟิ่งยังมิทันได้หันไปมองเลยว่า สองพี่น้องคิดจะทำอันใดกับนาง ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนาง ก็ทำให้นางต้องก้มลงไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากอกของนางอย่างช้าๆ ดวงตาของหลิงเฟิ่งพร่ามัว มองใบหน้าของทั้งสามไม่ชัด“เป็นเช่นนี้ก็ดี นับจากนี้ข้าให้พวกท่านมีความสุขกับสิ่งที่เลือก แต่คงไม่อาจจะสมหวังได้” เสียงที่หลุดออกมาจากปากของหลิงเฟิ่งแผ่วเบาก็ทั้งสามก็ได้ยินอย่างชัดเจนคนพวกนี้คิดว่ามิติมันจะเปลี่ยนผู้ครอบครองได้ง่ายๆ เลยรึ ต่อให้นางมอบกำไลให้พวกเขา ก็มิใช่ว่าจะเป็นผู้เปิดมิติได้ ในเมื่อมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เข้าออกได้เพียงผู้เดียวหลี่กวนตกใจไม่น้อย ที่บุตรชายทั้งสองสังหารหลิงเฟิ่ง แต่เขามิได้เข้ามาดูนางที่กำลังค่อยๆ หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แต่เข้ามาถอดกำไลในมือไปแทน“เอามาให้ข้า” หลี่เฉียงแย่งกำไลมาจากมือของหลี่กวน ก่อนจะสวมใส่เอาไว้“เหตุใดเข้าไม่ได้” เขากำหนดจิตเช่นที่เคยเห็นหลิงเฟิ่งนางทำ แต่ก็มิอาจเข้าไปภายในมิติได้“ให้ข้าลองดู” หลี่ซวงแย่งมาจากมือพี่ชาย ก่อนจะทำตามเช่นเดียวกัน“ไม่ได้!!!” สองพี่น้องเริ่มจะเกิดความกังวลหลิงเฟิ่งที่มองทั้งสามเปลี่ยนกันสวมใส่กำไล ก็
ภายหลัง เมื่อบุรุษทั้งสามได้รู้ว่าหลี่หลิงเฟิ่งหายดีแล้ว ทั้งนางยังได้รับพรจากสวรรค์ที่มีของดีติดตัวมา ทั้งสามก็เริ่มทำดีกับหลิงเฟิ่ง เพื่อที่ต้องการของจากนางหลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า การที่นางเห็นใจความเป็นอยู่ที่ยากไร้ของคนตระกูลหลี่จะนำมาซึ่งคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของนางเมื่อนางทำให้ความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่ดีขึ้น จนเรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตงเฉิงนางถูกผู้เป็นบิดาจับหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยที่เขาไม่ได้ถามความเห็นจากนางเลยสักนิด ได้แต่บอกว่าถึงเวลาที่นางต้องออกเรือน ทั้งยังช่วยให้หลี่เฉียงพี่ชายคนโตสามารถเข้าทำงานในที่ว่าการได้ด้วยถึงแม้นางไม่ยอมก็ทำอันใดไม่ได้ เมื่อหลี่กวนรับของหมั้นมาเรียบร้อยแล้ว เสิ่นฉงหาน บุตรชายเจ้าเมืองเสิ่นนับว่าเป็นคนดีไม่น้อย เขามิเคยเอ่ยถามนางเรื่องของวิเศษที่นางมีอยู่ เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหลี่อยู่เป็นประจำ ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษจนหลิงเฟิ่งยอมเปิดใจแต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเสิ่นฉงหานไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับหลี่กวน แต่เมื่อหลี่เฉียงพี่ชายคนโตรู้เข้า เขาถึงกับอาละวาด
หลิงเฟิ่ง ลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องอย่างไม่อยากเชื่อว่าตัวนางจะได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งก่อนที่คนในตระกูลหลี่ จะรู้เรื่องว่านางหายจากอาการเสียสติแล้วนางเป็นวิญญาณหญิงสาวจากยุคปัจจุบัน เป็นเจ้าของสวนผักออร์แกนิกขนาดใหญ่ที่ส่งขายให้ห้างสรรพสินค้าไปทั่วประเทศจีน หลิงเฟิ่งไม่มีพี่น้อง ทั้งยังไร้บิดามารดา นางจึงต่อสู้ทุกสิ่งมาด้วยตนเอง จนมีวันนี้ได้ตอนที่นางกำลังเดินตรวจผลผลิต ที่คนงานในสวนเตรียมจะจัดส่งออกไปให้ห้างสรรพสินค้าอยู่นั่น นางได้เป็นลมหมดสติไป อาจจะเป็นที่หลิงเฟิ่งพักผ่อนน้อย แต่ไม่คิดว่า เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณของนางจะทะลุมิติไปอยู่ในร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง หญิงสาวที่ไม่สมประกอบตั้งแต่เกิดตระกูลหลี่ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหู่เซิง เมืองตงเฉิง อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยี่ย จากหมู่บ้านเดินทางเข้าเมืองด้วยเกวียนวัวต้องใช้เวลานานถึงสองชั่วยาม หากต้องเดินก็แทบจะไม่ต้องพูดถึง ต้องเดินถึงสี่ชั่วยาม จะเข้าเมืองแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค้างคืนอยู่ที่วัดร้างนอกเมืองหนึ่งคืน หากต้องเดินเท้าเข้าไปตระกูลหลี่ มีความเป็นอยู่ไม่ต่างชาวบ้านในหมู่บ้านหู่เซิง คือยากจน เรียกได้ว่า ข้าวสารที่จะ