ภายหลัง เมื่อบุรุษทั้งสามได้รู้ว่าหลี่หลิงเฟิ่งหายดีแล้ว ทั้งนางยังได้รับพรจากสวรรค์ที่มีของดีติดตัวมา ทั้งสามก็เริ่มทำดีกับหลิงเฟิ่ง เพื่อที่ต้องการของจากนาง
หลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า การที่นางเห็นใจความเป็นอยู่ที่ยากไร้ของคนตระกูลหลี่จะนำมาซึ่งคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของนาง
เมื่อนางทำให้ความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่ดีขึ้น จนเรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตงเฉิง
นางถูกผู้เป็นบิดาจับหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยที่เขาไม่ได้ถามความเห็นจากนางเลยสักนิด ได้แต่บอกว่าถึงเวลาที่นางต้องออกเรือน ทั้งยังช่วยให้หลี่เฉียงพี่ชายคนโตสามารถเข้าทำงานในที่ว่าการได้ด้วย
ถึงแม้นางไม่ยอมก็ทำอันใดไม่ได้ เมื่อหลี่กวนรับของหมั้นมาเรียบร้อยแล้ว เสิ่นฉงหาน บุตรชายเจ้าเมืองเสิ่นนับว่าเป็นคนดีไม่น้อย เขามิเคยเอ่ยถามนางเรื่องของวิเศษที่นางมีอยู่ เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหลี่อยู่เป็นประจำ ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษจนหลิงเฟิ่งยอมเปิดใจ
แต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเสิ่นฉงหานไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับหลี่กวน แต่เมื่อหลี่เฉียงพี่ชายคนโตรู้เข้า เขาถึงกับอาละวาดเสียใหญ่โต
“เฟิ่งเออร์ หากเจ้าแต่งไปแล้วก็จะเป็นคนตระกูลเสิ่น เมื่อนั้นเจ้าก็จะทอดทิ้งตระกูลหลี่” เขาคำรามออกมาเมื่อเห็นหลิงเฟิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
“ท่านพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น” หลิงเฟิ่งมองเขาอย่างสับสน
“หยุดได้แล้วอาเฉียง!!! เจ้าอย่าได้สร้างปัญหา” หลี่กวนตวาดกร้าวออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาดึงรั้งหลี่เฉียงที่กำลังเดินเข้ามาหาหลิงเฟิ่ง
“ท่านพ่อ!!! มิใช่ว่าท่านไปรับปากตระกูลเสิ่นไว้แล้วรึ ท่านคิดว่าตำแหน่งเจ้าหน้าที่เล็กๆ ข้าต้องการหรือไร” เขาตะโกนออกมาอย่างไม่ยอม
“แต่ท่านเจ้าเมืองจะช่วยเรื่องสอบอาซวงด้วย อย่างไรเฟิ่งเออร์ นางก็ยังเป็นคนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง”
หลิงเฟิ่งมองไปที่บุรุษสามคนต้องหน้าอย่างไม่เข้าใจ นางไม่เคยคิดจะทอดทิ้งพวกเขา ต่อให้นางแต่งออกไปอยู่จวนตระกูลเสิ่นแล้วก็ตาม อย่างไรทั้งหมดก็ได้ชื่อว่าเป็นบิดาและพี่ชายของนางในภพนี้
“หึ ท่านคิดว่า...ตระกูลเสิ่นจะยอมรึ หากได้คนของเราไปแล้ว” เขายิ้มเยาะมองผู้เป็นบิดา
“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ ท่านพ่อ ท่านทำตามที่พี่ใหญ่ว่าเถิด”
“มีเรื่องอันใดกันแน่ พวกท่านคนใดบอกข้าก่อนได้หรือไม่” หลิงเฟิ่งเดินเข้าไปหาคนทั้งสาม
“เฟิ่งเออร์ เจ้าถอดกำไลของท่านแม่ออกมาให้ข้า ต่อไปเจ้าแต่งออกไปเป็นคนตระกูลเสิ่นแล้ว ของวิเศษที่ติดตัวเจ้ามาต้องอยู่ที่จวนตระกูลหลี่เท่านั้น” เขาเดินเข้ามาหานาง หมายจะถอดกำไรในมือออก
“ท่านบ้าไปแล้วรึ นี่เป็นของของข้า แล้วข้าบอกท่านเมื่อใดว่าจะทอดทิ้งพวกท่าน ของที่ข้าเคยนำออกมาให้ก็ยังนำออกมาได้เช่นเดิม” นางกุมกำไลไว้แน่นอย่างไม่ยินยอม
“เจ้าคิดรึ ว่าเจ้าฉงหานจะรักเจ้าจากใจจริง มันก็ต้องการเพียงของที่เจ้ามีเท่านั้น ในจวนตระกูลเสิ่นสาวใช้ห้องข้างของมันมีไม่น้อยกว่าห้าคน ทั้งยังมีบุตรให้มันแล้วด้วย ที่ทุกคนปิดบังเจ้าก็เพื่อให้เจ้ายอมแต่งให้มันแต่โดยดี แต่ข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าได้ยินมา พวกมันจะยึดครองกำไลของเจ้าเช่นกัน” หลี่เฉียงตะโกนออกมาอย่างคนเสียสติ
หลิงเฟิ่ง ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เมื่อได้รู้ความลับของคู่หมั้นตนเอง เขารับปากนางเรื่องที่จะไม่แต่งสตรีอื่นเข้าจวน จะยอมมีนางเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เรื่องสาวใช้ห้องข้าง และบุตรของเขา นางไม่เคยรู้มาก่อน
แม้แต่ตอนที่เดินทางไปที่จวนตระกูลเสิ่น นางก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ หรือเห็นเด็กน้อยเช่นที่หลี่เฉียงเอ่ยออกมาเลย อีกทั้งคนตระกูลเสิ่นก็ไม่เคยถามเรื่องมิติของนาง ถึงแม้จะมองกำไลที่นางสวมอยู่ก็เพียงแค่เอ่ยชื่นชมออกมาเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อ” หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงสั่นออกมา เวลานับเกือบปีที่เป็นคู่หมั้นเสิ่นฉงหาน เขาดูแลนางดีไม่น้อย นางบอกยังไม่อยากรีบออกเรือน เขาก็มิได้บังคับนาง รอจนกว่านางจะพยักหน้าให้ส่งฤกษ์มงคลมาที่เรือน
“หึ หายจากเสียสติแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะโง่หลงเชื่อลมปากของบุรุษเช่นฉงหาน หลังจากที่มันออกจากจวนตระกูลหลี่ มันก็เดินเข้าออกหอโคมแดงเป็นว่าเล่น เรื่องนี้ผู้ใดในเมืองตงเฉิงล้วนแต่รู้ดี แต่เพราะมันปิดปากชาวเมืองไม่ให้บอกเจ้าอย่างไรเล่า หากมีคนใดที่คิดจะพูดออกมา ตระกูลเสิ่นก็สังหารทิ้งอย่างไร้ค่า เจ้ายังจะไม่เชื่ออีกหรือไม่”
“เช่นนั้น ท่านพ่อก็ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไปเสียก็สิ้นเรื่อง”
“เจ้าไม่แต่งกับตระกูลเสิ่นก็ต้องแต่งผู้อื่นอยู่ดี อาเฉียงเจ้ามองความรุ่งเรืองภายภาคหน้าเถิด อย่าได้คิดตื้นเขินเพียงนี้ เฟิ่งเออร์กำไลที่เจ้าสวมก็เป็นของมารดาเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ถอดออกมามอบให้พี่ใหญ่เจ้าเสียเถิด” หลี่กวน เมื่อพูดกับหลี่เฉียงไม่ได้ เขาก็หันมาสั่งให้หลิงเฟิ่งถอดกำไลออกแทน
“น้องเล็กเจ้าถอดให้พี่ใหญ่ไปเถิด สตรีที่แต่งออกไปแล้วก็มิใช่คนตระกูลหลี่ครึ่งหนึ่ง ของวิเศษควรจะอยู่ที่ตระกูลหลี่ไม่ควรตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น” หลี่ซวงเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“พวกท่าน มิได้บอกว่าเห็นข้าเป็นบุตรหรือน้องสาวที่สำคัญที่สุดของตระกูลหลี่รึ หากข้าไม่มีของวิเศษพวกนี้ เป็นเพียงหลี่หลิงเฟิ่งเสียสติ พวกท่านยังจะดูแลข้าต่อไปหรือไม่” หลิงเฟิ่งมองพวกเขาอย่างเจ็บปวด
“ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่างก็แล้วกัน หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนปกติหลังจากที่ถูกปล่อยให้อดอาหารจนตาย ท่านพ่อก็คงอุ้มเจ้าเข้าไปทิ้งในป่าแล้ว”
“อาเฉียง!!! เจ้าพูดอันใดหยุดเดี๋ยวนี้”
หลิงเฟิ่ง นางไม่มีความทรงจำก่อนหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งเลย จึงเชื่อพวกเขามาตลอดว่าสาเหตุที่หลี่หลิงเฟิ่งล้มป่วยจนตายแล้ววิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ ก็เป็นเพราะนางออกไปเล่นน้ำฝนด้านนอกจนล้มป่วย
ตระกูลหลี่มิอาจหาเงินพานางไปหาหมอในเมืองได้ จึงได้แต่มองดูนางที่กำลังจะหมดล้มหายใจ นางรู้เพียงเท่านี้ ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างเรื่องหลอกลวงนางมาตั้งแต่ที่นางลืมตาขึ้นมาเลย
ยิ่งได้รู้ความจริง ว่าหลี่กวนที่เดินเข้ามาในห้อง มิได้จะเข้ามาดูนาง แต่จะเข้ามาอุ้มนางไปทิ้งในป่าแทน รอยยิ้มเสียงหัวเราะ ตลอดหนึ่งปีที่นางมาอยู่ในร่างของหลี่หลิงเฟิ่งมันเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น
นางคิดมาตลอดว่าการที่ตัวคนเดียว แล้วได้มีครอบครัวช่างเป็นเรื่องดีนัก มีพี่ชายสองคนที่คอยเป็นห่วง ดูแลนาง หลิงเฟิ่งได้แต่หัวเราะเยาะในความโง่เขลาของตนเองออกมา
“พวกท่านว่า...หากข้าทำลายกำไลวงนี้ทิ้ง จะเป็นเช่นใด” หลิงเฟิ่งแววตาของนางแข็งกร้าวมองไปที่กำไลเจ้าปัญหาในมือของนาง
นิยายแนวทะลุมิติ นางเอกมีมิติส่วนตัวติดมาด้วย แต่ละเรื่องที่เคยได้อ่าน ล้วนแต่พบเจอครอบครัวที่อบอุ่น นางเอกล้วนแต่เก่งกาจ ไม่คิดว่าพอเป็นตนเองจะโง่เขลาเช่นนี้
“เจ้า!!! อย่าได้ทำอันใดบ้าๆ นะ” หลี่กวนตะโกนห้ามออกมา เมื่อเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของหลิงเฟิ่งมองมาทางเขา เขาอดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้
นางไม่เคยมองเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าพวกเขาพ่อลูกต้องการสิ่งใด นำข้าว ผักออกไปขายมากแค่ไหน นางล้วนแต่เต็มใจมอบให้ทุกครั้ง
“อย่าได้โทษข้าก็แล้วกันน้องเล็ก” หลี่เฉียงพยักหน้าให้หลี่ซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิงเฟิ่ง
“ร่างกายของเจ้าก็ยังมิฟื้นตัวดี หากล้มป่วยลง ที่เรือนข้าไม่มีเงินพาเจ้าไปหาหมอเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยขู่นางออกมา“ข้ามียาที่ช่วยให้เจ้าหายดีได้ ข้าจะปล่อยให้ตัวเองตายหรืออย่างไร” นางปรือตาขึ้นมามองเขาอย่างไม่พอใจน้ำวิเศษที่กินไปก่อนหน้านี้ คงหมดฤทธิ์ไปเสียแล้ว ด้วยนางมิได้กินเข้าไปเยอะกลัวว่าร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป อีกทั้งนางยังไม่กล้าจะนำออกมากินเพิ่ม กลัวว่าชุยหยุนจะสงสัยถึงที่มาของมันชุยหยุนจ้องมองนางอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะช้อนร่างของนางขึ้นไปนอนบนเตียง แม้หลิงเฟิ่งจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่อาจจะสลัดเขาให้หลุดได้“ตระกูลหลี่ จะปล่อยให้เจ้าอดตายจริงรึ” เขาอุ้มนางจึงได้รู้ว่าน้ำหนักตัวของนางน้อยกว่าที่เห็นมากนัก“ท่านคิดเช่นใดเล่า” หลิงเฟิ่งเขยิบตัวเข้าไปจนติดกำแพงด้านในสุด แต่ตัวของชุยหยุนและนางก็ยังใกล้ชิดกันอยู่ดี“ต่อไปเจ้าไม่ต้องกลัวแล้ว ต่อให้ตระกูลซ่งของข้าจะไม่ได้ร่ำรวย แต่จะไม่ปล่อยให้เจ้าอดตายอย่างแน่นอน” เขาจ้องมองนางอย่างยิ่งจัง“อืม” หลิงเฟิ่งเพียงพยักหน้ารับ ก่อนจะมองสำรวจเตียงว่านางควรล้มตัวนอนเช่นใดดีในเมื่อหมอนก็มีเพียงหนึ่งเดียว และผ้าห่มก็มีผืนเดียวเช่นกัน“นอ
ชุยหยุนเอง เมื่อเห็นว่าหลิงเฟิ่งนางไม่ได้เขย่าประตูห้องแล้ว เขาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน“อย่าหลับ” หลิงเฟิ่งตะโกนออกมา นางลืมไปว่านางไม่ควรพูดสิ่งใดทั้งนั้น แต่นางกลัวว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว“หื้ม...ไม่หลับ ข้าเพียงแค่หลับตาเท่านั้น” เขามองมาที่นางอย่างแปลกใจ เมื่อครู่นางดูเหมือนไม่ใช่คนเสียสติสักนิดหลิงเฟิ่งได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น ด้วยกลัวว่าเขาจะจับพิรุธของนางได้ แต่หูของนางก็ยังฟังอยู่ว่าเขาพูดเช่นใดไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด หลิงเฟิ่งหันหน้าไปมองชุยหยุนอีกครั้ง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง นางรีบคลานเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว“อาหยุน อาหยุน” หลิงเฟิ่งเขย่าเรียกเขาเบาๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ“สวรรค์ ทำเช่นใดดี” นางเริ่มจะสติแตกแล้ว จะร้องเรียกคนข้างนอกก็ไม่ได้หากว่าเขาหยุดหายใจไปแล้วจริงๆ มิใช่ว่านางจะต้องตายตามไปด้วยเลยรึ“น้ำ น้ำ ชะ ใช่ ใช่แล้ว น้ำ” หลิงเฟิ่งเรียกน้ำออกมาใส่แก้วชาที่อยู่ข้างเตียงก่อนจะค่อยๆ ประคองชุยหยุน แล้วเทน้ำลงในปากของเขาช้าๆ“กลืน กลืนเร็วเข้า” หลิงเฟิ่งร้อนใจไม่น้อย เมื่อน้ำที่นางเทใส่ปากของเขา มันไหลออกมาเสียเป็นส่วนมาก“อืม...เจ้าทำ...แค่ก แค่ก” ชุยห
หลิงเฟิ่งที่อยู่ภายในห้อง นางมองหาสิ่งของที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ ก็เห็นจะไม่มีสิ่งใดเลย ตอนที่สายตาของนางกำลังกวาดมองไปรอบๆ ป้าเหลียนก็เดินเข้ามาด้านใน“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง” ป้าเหลียนมองร่างผอมแห้งของหลิงเฟิ่งอย่างเห็นใจ“กรรมของเจ้าจริงๆ อาเฟิ่ง ภพหน้ามีจริง ให้เจ้าเกิดในตระกูลร่ำรวย มีครอบครัวที่รักเจ้าจริงก็แล้วกัน ชาตินี้ทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว อากวนชั่วช้านัก กล้าขายลูกในไส้ของตน ให้เป็นเจ้าสาวร่วมหลุม” นางเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ก็อดที่จะบ่นออกมาไม่ได้หลิงเฟิ่งได้ยินเสียงของคนกลุ่มมากที่กำลังเข้ามาภายในเรือนของนาง ป้าเหลียนก็ประคองร่างของนางขึ้นมา เพื่อให้นางเดินออกไปด้านนอก“เด็กดี เดินไหวหรือไม่ ข้าจะช่วยประคองเจ้าออกไป” หลิงเฟิ่งอยากจะกรีดร้องออกมาเสียให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อเห็นคนจำนวนมากที่มายืนอยู่ที่กลางลานเรือน นางก็เริ่มจะตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ แล้ว สายตาของนางมองไปรอบตัว ก่อนจะพบไม้ฟืนที่ถูกเก็บมาไว้แต่ยังมิได้เอาไปเก็บที่ห้องครัวหลิงเฟิ่งดันมือป้าเหลียนที่กำลังประคองนางออก ก่อนจะพุ่งตัวไปหยิบไม้ด้ามใหญ่มาถือเอาไว้ ทุกคนที่เห็นนางทำเช่นนั้นก็หยุดชะงัก พร้อม
หลิงเฟิ่งยังมิทันได้หันไปมองเลยว่า สองพี่น้องคิดจะทำอันใดกับนาง ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนาง ก็ทำให้นางต้องก้มลงไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นเลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากอกของนางอย่างช้าๆ ดวงตาของหลิงเฟิ่งพร่ามัว มองใบหน้าของทั้งสามไม่ชัด“เป็นเช่นนี้ก็ดี นับจากนี้ข้าให้พวกท่านมีความสุขกับสิ่งที่เลือก แต่คงไม่อาจจะสมหวังได้” เสียงที่หลุดออกมาจากปากของหลิงเฟิ่งแผ่วเบาก็ทั้งสามก็ได้ยินอย่างชัดเจนคนพวกนี้คิดว่ามิติมันจะเปลี่ยนผู้ครอบครองได้ง่ายๆ เลยรึ ต่อให้นางมอบกำไลให้พวกเขา ก็มิใช่ว่าจะเป็นผู้เปิดมิติได้ ในเมื่อมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เข้าออกได้เพียงผู้เดียวหลี่กวนตกใจไม่น้อย ที่บุตรชายทั้งสองสังหารหลิงเฟิ่ง แต่เขามิได้เข้ามาดูนางที่กำลังค่อยๆ หมดลมหายใจอย่างช้าๆ แต่เข้ามาถอดกำไลในมือไปแทน“เอามาให้ข้า” หลี่เฉียงแย่งกำไลมาจากมือของหลี่กวน ก่อนจะสวมใส่เอาไว้“เหตุใดเข้าไม่ได้” เขากำหนดจิตเช่นที่เคยเห็นหลิงเฟิ่งนางทำ แต่ก็มิอาจเข้าไปภายในมิติได้“ให้ข้าลองดู” หลี่ซวงแย่งมาจากมือพี่ชาย ก่อนจะทำตามเช่นเดียวกัน“ไม่ได้!!!” สองพี่น้องเริ่มจะเกิดความกังวลหลิงเฟิ่งที่มองทั้งสามเปลี่ยนกันสวมใส่กำไล ก็
ภายหลัง เมื่อบุรุษทั้งสามได้รู้ว่าหลี่หลิงเฟิ่งหายดีแล้ว ทั้งนางยังได้รับพรจากสวรรค์ที่มีของดีติดตัวมา ทั้งสามก็เริ่มทำดีกับหลิงเฟิ่ง เพื่อที่ต้องการของจากนางหลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า การที่นางเห็นใจความเป็นอยู่ที่ยากไร้ของคนตระกูลหลี่จะนำมาซึ่งคราวเคราะห์ครั้งใหญ่ของนางเมื่อนางทำให้ความเป็นอยู่ของตระกูลหลี่ดีขึ้น จนเรียกได้ว่าร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ตระกูลหลี่จึงได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตงเฉิงนางถูกผู้เป็นบิดาจับหมั้นหมายกับบุตรชายของท่านเจ้าเมือง โดยที่เขาไม่ได้ถามความเห็นจากนางเลยสักนิด ได้แต่บอกว่าถึงเวลาที่นางต้องออกเรือน ทั้งยังช่วยให้หลี่เฉียงพี่ชายคนโตสามารถเข้าทำงานในที่ว่าการได้ด้วยถึงแม้นางไม่ยอมก็ทำอันใดไม่ได้ เมื่อหลี่กวนรับของหมั้นมาเรียบร้อยแล้ว เสิ่นฉงหาน บุตรชายเจ้าเมืองเสิ่นนับว่าเป็นคนดีไม่น้อย เขามิเคยเอ่ยถามนางเรื่องของวิเศษที่นางมีอยู่ เขามักจะแวะเวียนมาเที่ยวหาที่จวนตระกูลหลี่อยู่เป็นประจำ ทั้งยังเป็นสุภาพบุรุษจนหลิงเฟิ่งยอมเปิดใจแต่สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ไม่รู้ว่าเสิ่นฉงหานไปทำข้อตกลงอะไรไว้กับหลี่กวน แต่เมื่อหลี่เฉียงพี่ชายคนโตรู้เข้า เขาถึงกับอาละวาด
หลิงเฟิ่ง ลืมตาขึ้นมามองเพดานห้องอย่างไม่อยากเชื่อว่าตัวนางจะได้ย้อนเวลากลับมาอีกครั้งก่อนที่คนในตระกูลหลี่ จะรู้เรื่องว่านางหายจากอาการเสียสติแล้วนางเป็นวิญญาณหญิงสาวจากยุคปัจจุบัน เป็นเจ้าของสวนผักออร์แกนิกขนาดใหญ่ที่ส่งขายให้ห้างสรรพสินค้าไปทั่วประเทศจีน หลิงเฟิ่งไม่มีพี่น้อง ทั้งยังไร้บิดามารดา นางจึงต่อสู้ทุกสิ่งมาด้วยตนเอง จนมีวันนี้ได้ตอนที่นางกำลังเดินตรวจผลผลิต ที่คนงานในสวนเตรียมจะจัดส่งออกไปให้ห้างสรรพสินค้าอยู่นั่น นางได้เป็นลมหมดสติไป อาจจะเป็นที่หลิงเฟิ่งพักผ่อนน้อย แต่ไม่คิดว่า เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง วิญญาณของนางจะทะลุมิติไปอยู่ในร่างของหลี่หลิงเฟิ่ง หญิงสาวที่ไม่สมประกอบตั้งแต่เกิดตระกูลหลี่ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหู่เซิง เมืองตงเฉิง อยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นต้าเยี่ย จากหมู่บ้านเดินทางเข้าเมืองด้วยเกวียนวัวต้องใช้เวลานานถึงสองชั่วยาม หากต้องเดินก็แทบจะไม่ต้องพูดถึง ต้องเดินถึงสี่ชั่วยาม จะเข้าเมืองแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค้างคืนอยู่ที่วัดร้างนอกเมืองหนึ่งคืน หากต้องเดินเท้าเข้าไปตระกูลหลี่ มีความเป็นอยู่ไม่ต่างชาวบ้านในหมู่บ้านหู่เซิง คือยากจน เรียกได้ว่า ข้าวสารที่จะ