แชร์

24 : ถูกลอบโจมตี

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-11-26 23:23:38

24 : ถูกลอบโจมตี

          ยามโฉ่ว (01.00-02.59)

          ดวงตาของหลินซือเยว่ลืมพรึบขึ้น นางหันไปปลุกนายกองลู่ ทำให้คนอื่น ๆ ให้ห้องโถงตื่นตามนางไปด้วย

          “คุณหนู เอ่อ คุณชายมีเรื่องอันใดหรือ” นายกองลู่ยังตื่นไม่เต็มตา เขายกมือขยี้ตามองนางอย่างแปลกใจ

          “เก็บของออกเดินทาง !” นางเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาดุดันไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด

          นายกองลู่ผู้ศรัทธานางเต็มเปี่ยม ไม่คิดอันใดให้มากความ รีบลุกขึ้นเก็บของตามที่นางสั่ง

          “ไปบอกคนขับรถม้า ให้ทิ้งม้าไปเสียเราจะเดินขึ้นเขาด้านหลังไป” นางตะโกนตามหลังนายกองลู่ ที่วิ่งออกไปยังเรือนพักม้าด้านข้าง

          “ขอรับ ๆ”

          ท่าทางของนางทำให้คนของเซวียนหมิงยู่ พากันจับอาวุธของตัวเองในทันที แต่คนที่เฝ้ายามอยู่ต่างบอกว่า ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดจากข้างนอก

          เซวียนหมิงยู่ “ไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น”

          สวีวั่งซู “ขอรับนายท่าน”

          สวีวั่งซูมองคนที่สะพายกระเป๋าหน้าตาแปลกประหลาดบนหลัง ในมือยังมีห่อผ้าสองห่อถือไว้ “คุณชายพวกท่านจะรีบร้อนไปไหนกันรึ ค่ำคืนเช่นนี้มิใช่ว่าจะอันตรายหรอกหรือ ข้างนอกพายุหิมะยังตกหนักอยู่เลย”

          หลินซือเยว่ปรายตามองเขาคล้ายเหยียดหยาม “ข้าไม่อยู่รอความตายหรอกนะ หากเจ้าอยากอยู่ก็อยู่ไป”

          นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เดินไปรอนายกองลู่ที่หน้าประตู ที่เขาช้าเพราะว่าคนดูแลม้า ไม่ยอมทิ้งรถกับม้าของตัวเองไป นางจึงบอกไปว่าจะหาซื้อม้าตัวใหม่ และรถม้าคันใหญ่กว่าเดิมให้ เขาถึงได้ยอมตัดใจจากรถม้าได้

          เซวียนหมิงยู่ได้ยินเช่นนั้น “เก็บของ สละม้าตามพวกเขาไป”

          ทุกคนหันไปมองหน้ากันอย่างตกใจ มีคนกำลังจะเอ่ยแย้ง แต่เซวียนหมิงยู่ยกมือห้าม “นางเป็นสตรียังคิดหนีกลางพายุหิมะ แถมไม่เอาม้ากับรถม้าไปด้วย เจ้าว่าทำไมนางถึงทำเช่นนั้น” เขาฟังน้ำเสียงที่แสร้งดัดให้ทุ้มนั้นออกตั้งแต่แรก

          บางคนลอบกลืนน้ำลายเบา ๆ คุณชายผู้นั้นเป็นสตรีหรอกรึ สตรีคิดจะฝ่าพายุหิมะกลางดึก ไม่ใช่ปรารถนาอยากตายหรอกนะ แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดมาก นอกจากทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

          ด้านนอกทางขึ้นเขา หลินซือเยว่กำลังจัดยกหมวกขึ้นคลุมศีรษะ โชคดีที่นางซื้อเสื้อกันหนาวอย่างดีมา ทำให้สามารถป้องกันลมหนาวเย็นเข้าสู่ร่างกายได้

          “คุณหนูหลินท่านรออะไรอยู่รึ” นายกองลู่เห็นนางไม่เดินต่อจึงเอ่ยถาม

          “รอพวกเขาอยู่” นางถือตะเกียงน้ำมันที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอาไว้ในมือ

          ชั่วน้ำชาเดือด บุรุษเก้าคนก็ตามหลังออกมาติด ๆ พวกเขาเห็นแสงไฟจากด้านหน้า จึงรีบเดินไปหาในทันที แต่พอพวกเขาใกล้ถึง นางก็เดินเข้าไปในป่าด้านหลังต่อ

          “ไม่รอกันเลย” ฮู่ตงหยางลอบบ่น เขาช่วยพยุงเซวียนหมิงยู่ให้เดินเร็วขึ้น

          แต่พวกเขากลับพบว่ายามใดที่เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ นางก็จะหยุดเหมือนรอ ไม่ช้าก็สามารถเดินไปพร้อมกันได้

          “นายท่านดูนั่น !” เสียงคนที่อยู่รั้งท้ายตะโกนขึ้น

          ทุกคนรีบหันไปด้านหลัง เห็นพายุธนูไฟฝ่าสายหิมะไปยังบ้านร้างหลังนั้นไม่ขาดสาย ไม่ช้าบ้านร้างทั้งหลังก็ถูกไฟเผาไหม้ กระนั้นพวกนั้นเหมือนยังไม่พอใจ สาดธนูติดไฟตามมาอีกนับไม่ถ้วน

          แววตาของเซวียนหมิงยู่ดำมืดลง ก่อนจะสั่งคนไปจับตัวของหลินซือเยว่เอาไว้

          “บอกมาเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้น” ดาบเล่มยาวของสวีวั่งซูพาดมาที่คอของหลินซือเยว่

          นางยิ้มเล็กน้อย “นี่ไม่เรียกเนรคุณหรอกรึ” นางดีดนิ้วเบา ๆ ดาบเล่มนั้นก็กระเด็นออกจากคอของนางไป

          นายกองลู่เห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปห้ามพวกเขา “นายท่าน ๆ โปรดใจเย็น ๆ กันก่อนนะขอรับ คุณชายของข้ามีความสามารถหยั่งรู้ฟ้าดิน เป็นคนของเสวียนเหมินขอรับ”

          “เหลวไหลนางเป็นสตรี จะเป็นคนของเสวียนเหมินได้อย่างไร” คำพูดนี้สวีวั่งซูเป็นคนเอ่ยออกมา

          หลินซือเยว่หันไปมองเขาแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เจ้าดูออกว่าข้าเป็นสตรี แต่กลับดูไม่ออกว่าข้า เป็นคนของเสวียนเหมินเช่นนั้นหรือ”

          ถูกนางตอกหน้ากลับมาเช่นนี้ สวีวั่งซูเองก็จนใจอยู่เหมือนกัน “ก็ได้ ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นคนของเสวียนเหมิน เช่นนั้นเจ้าพาพวกเรามาที่นี่ คิดจะทำอย่างไรต่อ หรือว่าต้องการฆ่าพวกเราให้ตายในกองหิมะนี่”

          หลินซือเยว่เลิกคิ้วคล้ายเยาะเขา “เป็นข้าที่พาพวกเจ้ามานี่เอง พวกเจ้าหาได้เดินตามหลังข้ามาไม่” นางใช้วาจาเชือดเฉือนได้ฉกรรจ์ยิ่งนัก

          เซวียนหมิงยู่ไม่เคยเห็นสตรีปากร้ายเช่นนี้มาก่อน เขาส่งสายตาให้สวีวั่งซูหยุดพูด มองนางที่เดินนำหน้าไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด “ตามนางไป”

          “นายท่านเมื่อครู่จู่ ๆ ดาบของข้าก็กระเด็นออกมาเอง ข้าไม่รู้ว่าทำไม”

          “นางไม่มีวรยุทธ์” เซวียนหมิงยู่ไม่สัมผัสได้ถึงพลังยุทธ์ของนาง ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวภาพตรงหน้าของเขาก็พร่ามัว

          “นายท่าน !” สวีวั่งซูกับฮู่ตงหยางรีบเข้ามาประคองคนละข้าง

          พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นว่าสามคนด้านหน้าหายตัวไปแล้ว

          “องครักษ์สวีนางเข้าไปในโพรงตรงนั้น” องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยบอก เขามองตามทั้งสามไปจนเห็นว่า พวกเขาแหวกกองหิมะเข้าไปด้านข้าง

          “ตามไป”

          ทั้งหมดรีบตามรอยของนางไป หากช้ากว่านี้เกรงว่าหิมะจะตกหนักจนปิดทางเดิน ยิ่งพวกเขาไม่สามารถจุดคบเพลิงได้ ต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงของนางเท่านั้น เมื่อเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก็พบกับแสงสว่างอยู่ไกล ๆ พอเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นโพรงถ้ำแห่งหนึ่ง

          หลินซือเยว่วางกระเป๋าลงพร้อมกับตั้งตะเกียงไว้กลางถ้ำ นางรอดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อ เห็นทหารสองนายออกไปตัดฟืนมากองหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะจุดอย่างไรไฟก็ไม่ติด เพราะไม้ฟื้นเต็มไปด้วยความชื้น

          “อั่ก !” คนป่วยกระอักเลือดออกมาก้อนหนึ่ง ทุกคนดูวุ่นวายเป็นอย่างมาก

          หลินซือเยว่ “เจ้าไปจุดไฟ” นางบอกนายกองลู่

          “ข้า ?”

          “ใช่” นางส่งสายตาให้เขาไป มีหรือนายกองลู่จะกล้าขัด แต่ก่อนที่เขาจะไป หลินซือเยว่ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เขา “นำกระดาษนี่เป็นเชื้อเพลิง” นี่ไม่ใช่กระดาษทั่วไป แต่ลงคาถาป้องกันไฟดับเอาไว้ด้วย หากจุดไฟด้วยกระดาษแผ่นนี้ ไฟดวงนั้นยากจะดับลงได้ เว้นเสียแต่ผู้ปลุกเสกจะร่ายคาถาดับไฟเอง

          กองไฟถูกจุดด้วยมือของนายกองลู่ อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกประหลาดยิ่งนัก พวกเขากระทั่งใช้กำลังภายในจุดไฟก็ยังไม่ได้ เหตุใดคนธรรมดาคนหนึ่งถึงจุดขึ้นมาได้

          “นายท่านหมดสติไปแล้ว ทำอย่างไรดี” เสียงของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

          องครักษ์คู่ใจของเซวียนหมิงยู่คุกเข่าลงตรงหน้าของผู้เป็นนาย

          สวีวั่งซู “นายท่านข้าควรทำอย่างไรดี”

          ฮู่ตงหยางหันไปทางหลินซือเยว่ เขามองกระเป๋าใบใหญ่ที่นางวางไว้ด้านข้างลำตัว

          “แม่นางเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนของเสวียนเหมิน เจ้าพอจะมีวิธีช่วยนายท่านของข้าหรือไม่”

          หลินซือเยว่มองเขาสลับกับมองผู้ป่วย “ค่ารักษาของข้าราคาแพง เจ้าจ่ายไหวหรือไม่” นางแค่อยากลองหยั่งเชิงดู

          ฮู่ตงหยาง “จ่ายไหวแน่นอน ขอเพียงเจ้ารักษานายท่านของข้าได้” ไหวไม่ไหวไม่รู้ แต่ตอนนี้ต้องก้มหัวขอร้องนางไปก่อน

          “ข้าจะลองดูก็แล้วกัน” นางลุกขึ้นเดินไปหาคนป่วย นำตะเกียงมาวางใกล้ ๆ ยื่นให้คนของอีกฝ่ายถือไว้ “ส่องให้ข้าเห็นบาดแผลชัด ๆ”

          เป็นแผลที่เริ่มเน่าเปื่อยขึ้นมา บริเวณที่ถูกดาบแทงนั้นอยู่เหนือหัวใจเล็กน้อย ช่างโชคดีเสียกระไร พิษที่ได้รับถูกยับยั้งด้วยยาสมุนไพรผงสีขาว ยาตัวนี้ยับยั้งพิษร้ายได้ก็จริง แต่ทำได้เพียงแค่สองสามวันเท่านั้น

          “เจ้าโรยผงยานี่ได้กี่วันแล้ว”

          สวีวั่งซู “สองวัน” นี่คือสิ่งที่เขากังวล ยาตัวนี้โรยซ้ำไม่ได้เพราะเขาใช้หมดไปแล้ว เดิมทีคาดว่าจะสามารถไปถึงจวนได้ทันเวลา ไม่คิดว่าจะถูกพายุหิมะถล่มใส่ จะไม่สามารถเดินทางต่อได้

          “นายกองลู่เอากระเป๋าข้ามาที” นางไม่สนใจปิดบังตำแหน่งของลู่เสี่ยวเฟิงอีกต่อไป ไม่ช้าหรือเร็วพวกเขาก็ต้องรู้อยู่ดี

          นายกองลู่ไม่เคยสงสัยในการกระทำของนาง เขาหยิบกระเป๋าของนางมายื่นให้ และรออยู่บริเวณใกล้ ๆ เผื่อว่านางจะเรียกใช้ตนเอง

          “เจ้าเป็นทหารรึ” ฮู่ตงหยางถามเขาอย่างไม่ไว้วางใจ

          นายกองลู่ “ใช่ข้าเป็นทหารอยู่ที่ค่ายทหารเมืองเหลียง พอดีออกมาทำธุระในตัวเมือง ระหว่างทางกลับค่ายดันเจอพายุหิมะเข้าเสียก่อน เรื่องต่อจากนี้ก็อย่างที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ”

          นายกองลู่เป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อย ไม่เคยมีวาสนาได้พบหน้าคนในจวนเหลียงอ๋องมาก่อน เขาจึงไม่รู้จักกลุ่มคนเหล่านี้

          “นายกองลู่นำยาพวกนี้ไปต้ม” หลินซือเยว่หยิบหม้อใบเล็กออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับยาสมุนไพรแห้งกำหนึ่ง

          “คุณหนูหลินนี่ท่านพกหม้อติดตัวไปไหนมาไหนด้วยรึ”

          “หม้อนี่ไม่ใช่แค่ต้มสมุนไพร เอาไว้ต้มข้าวกินก็ได้ เจ้าก็รู้ว่าข้าเดินทางไกลตลอดหลายวัน เจ้าสิ่งนี้เลยติดอยู่ในกระเป๋า นับว่านายท่านผู้นี้โชคดีที่เจอข้า” นางกล่าวอ้างสรรพคุณตัวเองเกินจริงเล็กน้อย แต่เห็นสายตาจ้องจับผิด ขององครักษ์ทั้งสองแล้วอดยิ้มนิด ๆ ไม่ได้

          “เอาสมุนไพรไปให้พวกเขาดูก่อน”

          สวีวั่งซูกับฮู่ตงหยางไม่คิดว่าจะถูกนางล่วงรู้ความคิด แต่พวกเขาจำเป็นต้องตรวจสอบพิษของสมุนไพรก่อนจริง ๆ ชีวิตของท่านอ๋อง ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

          สวีวั่งซูใช้เข็มเงินตรวจพิษ “ไม่มีพิษเจ้าเอาไปต้มได้”

          นายกองลู่ส่ายหน้าให้พวกเขา “พวกเจ้าโชคดีที่เจอคุณหนูหลิน ไม่เพียงแต่ต้องขอบคุณนาง นี่อะไรยังมาสงสัยนางอีก ใช้ไม่ได้จริง ๆ” เขาต้มยาไปบ่นไปด้วย

          ยามนี้หลินซือเยว่มีความเป็นคนยุคปัจจุบันมากกว่าทุกที นางใช้มีผ่าตัดที่พกติดตัวล้างด้วยสุราต้มสุก แต่เนื่องจากนางพกติดตัวมาน้อย เลยต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้สุราหล่นหายมากเกินไป

          “ข้าต้องเฉือนเนื้อที่ตายออกก่อน ถึงจะใช้ผงห้ามเลือดได้ โชคดีที่พิษไม่กระจายไปไหน กลับถูกกักไว้กับแผลที่เน่าเปื่อย นับว่าโรยยาได้ทันท่วงที เช่นนี้แค่เฉือนเนื้อตายออก แล้วรักษาแผลให้สะอาด กินยาขับพิษภายในช่วยก็น่าจะเพียงพอแล้ว”

          ได้ยินเช่นนี้ความกลัวในใจขององครักษ์ทั้งสองผ่อนคลายลงได้บ้าง

          “แต่การเฉือนเนื้อคนทั้งเป็นนั้น” สวีวั่งซูรู้สึกว่ามันต้องเจ็บเจียนตายแน่ อีกอย่างท่านอ๋องของตนบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ขืนเฉือนเนื้อออกทั้งเป็นเช่นนี้ ไม่โหดร้ายเกินไปหรอกหรือ

          หลินซือเยว่ “ข้าจะฝังเข็มให้รอบ ๆ บาดแผลมีอาการเหน็บชา เขาจะไม่รู้สึกเจ็บตอนเฉือนเนื้อร้ายออก แต่พอถอนเข็มออก อาการเจ็บปวดต้องมีเป็นธรรมดา”

          ฮู่ตงหยาง “หากทำเช่นนั้นได้ย่อมดี เจ้าลงมือเถอะ”

          สตรีที่เฉือนเนื้อตายของบุรุษออกเป็นชิ้น ๆ ตาของนางแทบไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย สีหน้าก็นิ่งเฉยราวกับนางกำลังเฉือนเนื้อเป็ดเนื้อไก่อยู่ก็ไม่ปาน ฮู่ตงหยางลอบส่งสายตาให้สวีวั่งซู คล้ายบอกว่าสตรีนางนี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก อย่าได้ไว้วางใจนางแม้แต่นิดเดียว

          หลินซือเยว่ย่อมล่วงรู้ความคิดของทั้งคู่ นางไม่ได้โกรธเคืองพวกเขา แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาพบเจอกัน ในวันเวลาที่ไม่ค่อยเป็นใจเท่าใดนัก นางทิ้งเศษเนื้อเน่าชิ้นสุดท้าย จากนั้นล้างแผลด้วยสุราต้ม โรยผงห้ามเลือด นำผ้าพันแผลมาพันเอาไว้อย่างหนาแน่น

          “คุณหนูหลินยาต้มเสร็จแล้ว” นายกองลู่เอ่ยบอก

          “เอาให้พวกเขา” นางหันไปทางฮู่ตงหยาง

          นายกองลู่รีบยื่นหม้อยาพร้อมช้อนไปให้ “ไม่มีถ้วยพวกเจ้าใช้ช้อนตักเอาจากหม้อนะ”

          หลินซือเยว่ “ป้อนเขาตอนนี้เลย ให้กินไปราวหนึ่งถ้วย หลังจากนั้นสองชั่วยามค่อยป้อนเขาอีกที” นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็กลับไปทิ้งตัวลงนอนที่เดิม หนนี้นางหลับยาวไปจนถึงเช้าวันใหม่

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   81 : ตอนพิเศษ 10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน (จบตอนพิเศษ)

    10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   80 : ตอนพิเศษ 9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล”

    9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   79 : ตอนพิเศษ 8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !”

    8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   78 : ตอนพิเศษ 7 : วาสนานำพารัก

    7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   77 : ตอนพิเศษ 6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้”

    6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่

  • หลินซือเยว่ผู้นี้มีสามชะตาในคราเดียว   76 : ตอนพิเศษ 5 : แฝดชายหญิง      

    5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status