หลินซือเยว่ในอดีตกาลนั้น มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้คน เปิดดวงเนตรทิพย์สื่อสารกับเหล่าดวงวิญญาณ ตรงกันข้ามกับนางในตอนนี้ ใช้ชีวิตด้วยความระแวดระวัง ไม่ยื่นมือช่วยเหลือผู้อื่นเกินความจำเป็น นั่นเพราะนางมาอยู่ในร่างนี้ในวัยเด็ก ที่มีอายุเพียงห้าปีเท่านั้น แต่ละวันจึงผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไร้คนมีฝีมือข้างกายทรัพย์สินเงินทองนั้นยิ่งไม่มี กว่านางจะรอให้ตัวเองเติบโต มีกำลังพอจะลงจากเขาไปรักษาผู้คนได้ ก็ยามเมื่ออายุสิบปีเสียก่อน
ยามนี้นางอายุสิบหกปี เคยไปไกลสุดแค่อำเภอฝู การเดินทางกลับตระกูลหลินคราวนี้ นับว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของนางในโลกนี้ก็ว่าได้ จะว่าไปแล้วพ่อแม่พี่ชายหรือคนตระกูลหลินหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น นางนึกไม่ออกเลยจริง ๆ
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อใดที่หลินซือเยว่บอกให้หยุด เส้นทางข้างหน้ามักจะมีปัญหาอยู่เสมอ ในคราแรกหลินอ้ายก็โต้แย้งอยู่บ้าง ต่อมาถึงรู้สิ่งใดที่คุณหนูรองผู้นี้เอ่ยออกมา มักกลายเป็นเรื่องจริงในภายหลัง โดยเฉพาะหลังออกจากอำเภอฝูได้วันเดียว ลมหนาวมาเยือนอย่างกะทันหัน ตกดึกหิมะตกหนักในทันที เรียกได้ว่าปีนี้อาจเกิดภัยพิบัติจากความหนาวตามมา
“ป้าเผิงเอาเสื้อกันหนาวไปให้หลินอ้ายด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เผิงฉือรีบไปรื้อกล่องที่อยู่ด้านหลังรถม้า นำชุดกันหนาวของบุรุษออกมามอบให้หลินอ้าย พร้อมทั้งอุปกรณ์กันหนาวต่าง ๆ
หลินอ้ายรู้สึกซาบซึ้งในความมีเมตตาของหลินซือเยว่มาก ถึงกับมาคุกเข่าก้มกราบด้วยคราบน้ำตา ยามอยู่ในตระกูลหลินเขาได้รับแต่เสื้อผ้าเก่า ๆ ของผู้อื่น เนื่องจากไม่กล้าใช้เงินซื้อสวมใส่ ทางบ้านยากไร้ถึงขั้นขายลูกชายมาเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่น นี่นับเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาได้รับเลยก็ว่าได้
“ข้าขอบคุณคุณหนูรองที่เมตตาขอรับ” ไม่เพียงแค่เสื้อผ้าหน้าหนาว อาหารการกินของเขาก็ดีขึ้นด้วย ไหนเลยหลินอ้ายจะเคยได้รับสิ่งดี ๆ เช่นนี้มาก่อน
เผิงฉือเห็นน้ำตาของหลินอ้ายก็อดใจอ่อนไม่ได้ “รู้ความเช่นนี้ก็ดีแล้ว เจ้าก็อย่าได้เนรคุณภายหลังก็แล้วกัน”
“ข้าไม่กล้า ๆ”
“ลุกขึ้นเถอะ” หลินซือเยว่เอ่ยทั้งที่ดวงตา ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพัก หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ขอทานหลายคนเริ่มก่อไฟบรรเทาความหนาว ผู้คนเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนไม่ออกมา ช่างเป็นความงามที่เต็มไปด้วยความยากลำบากเหลือเกิน
“ไป ๆ กลับไปห้องพักของเจ้าได้แล้ว คุณหนูของข้าจะพักผ่อน”
“ขอรับท่านป้าเผิง” หลินอ้ายหอบเอาเสื้อผ้าหน้าหนาวพร้อมกับผ้าห่มนวมผืนใหญ่ อีกทั้งยังมีเตาอุ่นมือ กลับไปยังห้องพักของตัวเอง
“ตระกูลหลินคิดอย่างไร ถึงส่งคนขับรถม้าอายุสิบเจ็ดปีมารับคุณหนู ยังไม่รู้ประสาอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่รถม้าพังยังแก้ไขไม่ได้” เผิงฉือส่ายหน้าไปบ่นไปด้วย “หากเกิดเจอโจรผู้ร้ายระหว่างทาง ใครจะช่วยเหลือใครก็ยังไม่รู้ อย่างน้อยก็ควรจะส่งคนคุ้มกันมาด้วยสักคนสองคนก็ยังดี” นางบ่นไปมือก็จัดที่นอนเตรียมให้หลินซือเยว่ไปด้วย
“พวกเขาทิ้งข้าไว้ที่อารามไท่ผิงกวนถึงสิบปีเต็ม ท่านหวังสิ่งใดจากคนเหล่านั้นได้ด้วยรึ”
น้ำเสียงกึ่งเยาะของหลินซือเยว่ ทำให้ผิงฉือถึงกับอดรู้สึกสงสารนางไม่ได้ คุณหนูของนางทั้งงดงามและมากฝีมือ เหตุใดถึงไม่มาเยี่ยมหาเลยสักครั้ง นางมีใบหน้าเดียวคือความเฉยชา มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความว่างเปล่า คล้ายกับว่าชีวิตนี้เกิดมาได้ไร้จุดหมาย
“คุณหนูท่านปิดหน้าต่างแล้วมานอนเถอะเจ้าค่ะ ลมหนาวเข้ามาในห้องแล้ว”
“ได้” หลินซือเยว่ลุกขึ้น เดินไปนอนบนเตียง มุมปากยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นเผิงฉือรีบร้อนปิดหน้าต่าง บานที่นางนั่งชมวิวเมื่อครู่นี้
“อันที่จริงคุณหนูควรเปลี่ยนชุดแต่งกายใหม่ จะใส่เพียงเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีเรียบ ๆ แบบเดิมไม่ได้แล้ว”
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่” นางเอ่ยสั้น ๆ แล้วพลิกตัวหันหลังให้เผิงฉือ
เผิงฉือนอนบนตั่งสำรองอยู่ในห้อง นางเคยคิดจะเลี้ยงดูคุณหนูเหมือนลูกสาว แต่ว่ารูปลักษณ์และความสูงส่งของหลินซือเยว่ ทำให้นางนั้นไม่อาจเอื้อมถึงได้จริง ๆ พึงพอใจที่จะเป็นคนสนิทข้างกายเช่นดังเดิม นางมองคนบนเตียงครู่หนึ่ง ก่อนดับตะเกียงแล้วเอนตัวลงนอน
การเดินทางในสามวันต่อมากลับต้องพบเจอปัญหา เมื่อไม่อาจไปถึงโรงเตี๊ยมได้ก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จำเป็นต้องแวะที่ศาลาพักม้าไปก่อน
“ท่านป้าเผิงคนที่ศาลาพักม้าบอกว่าห้องส่วนตัวเต็มแล้วขอรับ เหลือแค่ห้องโถงส่วนรวม แต่ข้าไปดูมาแล้วมีแต่ชาวบ้านเนื้อตัวสกปรก นั่งเบียด ๆ กันเต็มไปหมด เกรงว่าคุณหนูรองจะอยู่ไม่สะดวก” หลินอ้ายเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา เขาบังคับม้าไปไม่ถึงโรงเตี๊ยมข้างหน้า ทำให้หลินซือเยว่ต้องได้รับความลำบากเช่นนี้
“ป้าเผิงตั้งกระโจม”
หลินอ้าย “...?”
เผิงฉือ “เจ้าค่ะคุณหนู มาเร็วหลินอ้ายมาช่วยข้าตั้งกระโจมกัน ว่าแต่ตั้งตรงไหนเจ้าคะคุณหนู”
หลินซือเยว่กวาดตามองไปรอบ ๆ นางชี้นิ้วไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งบริเวณนั้นสามารถมองเห็นศาลาพักม้าได้อย่างชัดเจน
“ไปเร็วหลินอ้ายใต้ต้นไม้นั่น”
หลินอ้ายเริ่มจะคุ้นชินกับการตัดสินใจของหลินซือเยว่ เขารีบจูงม้าไปยังใต้ต้นไม้ และช่วยเผิงฉือจัดการตั้งกระโจม
“ถึงว่าทำไมรถม้ามันถึงหนักเพียงนี้ ที่แท้พวกท่านก็ขนมาสารพัดอย่างเลย”
“เจ้าโง่ หากคุณหนูของข้าไม่รอบคอบ ป่านนี้เจ้าได้หนาวตายอยู่ข้างนอกนั่นแล้ว”
ไม่เพียงแค่กระโจมของหลินซือเยว่ กระโจมเล็กของหลินอ้ายก็ยังมีอีกด้วย
หลินอ้ายมองเห็นกระโจมเล็กของตนเองก็รู้สึกพิศวงยิ่งนัก เดินเข้าไปหาเผิงฉือใกล้ ๆ “ท่านป้าเผิงข้าถามจริง ๆ เถอะ คุณหนูรองล่วงรู้ดินฟ้าอากาศใช่ไหม ถึงได้รู้ว่าหิมะจะตกอากาศจะหนาวเหน็บ”
“คุณหนูของข้าเติบโตในอารามเต๋า เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” เผิงฉือไม่ยอมตอบตามตรง เพราะนางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าเรื่องที่หลินซือเยว่ล่วงรู้นั้นมาจากไหนกันแน่ เพราะดูจากความสามารถแล้ว เหมือนจะเหนือเจ้าอาวาสชุนอยู่หลายขุม
ตั้งกระโจมเสร็จแล้วเผิงฉือก็ทำอาหารที่เตรียมมาด้วย นางทำข้าวต้มร้อน ๆ มีของว่างเป็นขนมที่แวะซื้อระหว่างทาง หลินอ้ายได้กินอาหารร้อน ๆ ท้องอิ่มหนังตาเริ่มหย่อน หลินซือเยว่ให้เขาเข้าไปนอนหลับให้เต็มที่ เพราะเขาทำงานหนักมาตลอดทั้งวันแล้ว พอหัวถึงพื้นกระโจมเขาก็ส่งเสียงกรนในทันที
เผิงฉือคอยดูกองไฟไม่ให้ดับ หลินซือเยว่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวน้อย ดวงตามองไปยังศาลาพักม้าอยู่เป็นระยะ เหมือนมีบางเรื่องราวในใจที่ไม่อาจปล่อยผ่านได้
“คุณหนูเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ ทางนี้ข้าจะคอยดูกองไฟให้เอง”
“ไม่ต้องหรอกป้าเผิงท่านดับไฟเข้านอนพร้อมข้าได้เลย ค่อยตื่นอีกทียามโฉ่ว(01.00-02.59)ก็แล้วกัน” สีหน้าของหลินซือเยว่ดูมีกังวล “เก็บของที่เหลือขึ้นรถม้าไว้ก่อน”
เมื่อหลินซือเยว่เอ่ยเช่นนี้ย่อมมีที่มาที่ไป เผิงฉือไม่รอช้าเก็บหม้อไหทุกอย่างขึ้นไว้บนรถม้าอย่างรวดเร็ว กลับมาเข้านอนตามที่คุณหนูของตนสั่ง “ยามโฉ่วจะมีเรื่องใช่ไหมเจ้าคะ”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เตรียมตัวไว้เถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ยาวโฉ่ว
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องในยามราตรี หลินอ้ายกับเผิงฉือวิ่งออกมาจากกระโจมพร้อม ๆ กัน กลับเห็นแผ่นหลังของหลินซือเยว่ที่ยืนตัวตรง สายตาจ้องไปยังศาลาพักม้าเงียบ ๆ
“คุณหนูรองทำอย่างไรดีขอรับ พวกเราควรเก็บกระโจมไปจากที่นี่ดีหรือไม่” หลินอ้ายไม่เคยเจอเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน เสียงกรีดร้องของผู้คนดังโหยหวนไปหมด
“ออกไปตอนนี้ได้ตายเพราะความหนาวแน่นอน” หลินซือเยว่คำนวณดูแล้ว การเดินทางยามนี้โอกาสรอดมีน้อยยิ่งนัก ไม่เพียงแค่นางที่รู้ คนในศาลาพักม้าเองก็รู้เช่นเดียวกัน พวกเขาหนีออกมาแต่ก็รั้งรออยู่รอบ ๆ ไม่ได้เดินทางไปไหนในทันที
ร่างกายของเจ้าจะรับรู้ศิลปะการต่อสู้ได้ ยามเมื่อผ่านพ้นวัยปักปิ่นไปแล้ว
เสียงตัวตนในอดีตกาลเอ่ยย้ำเตือนนางเช่นนี้ ในวันที่นางต้องการฝึกวรยุทธ์ แต่นี่นางผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาได้หนึ่งปีแล้ว เหตุใดนางถึงไม่รับรู้ได้ถึงวรยุทธ์ที่เคยมีในอดีต ติดขัดที่ตรงไหนกัน
เสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้ามาทางที่พวกเขาตั้งกระโจมอยู่
“ฮูหยินทางนี้เจ้าค่ะ !”
“พวกเจ้าเป็นใครอย่าเข้ามาใกล้คุณหนูรองของข้านะ !” หลินอ้ายส่ายไม้ฟืนในมือไปยังคนแปลกหน้า เพื่อปกป้องหลินซือเยว่กับเผิงฉือ
คนทั้งกลุ่มถึงกับชะงัก พวกเขาแค่เห็นแสงไฟจากตะเกียง จึงรีบวิ่งมาทางนี้ ไหนเลยจะคิดว่ามีคนตั้งกระโจมท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้
“แม่นางฮูหยินของข้าเพิ่งหนีออกมาจากศาลาพักม้า พวกเราไม่ใช่คนร้ายแน่นอน ขอพักอยู่ตรงนี้สักครู่ได้หรือไม่ พวกเราไม่มีที่อื่นให้ไปอีกแล้ว” บ่าวสูงวัยผู้หนึ่งไม่สนใจหลินอ้าย แต่หันไปเอ่ยกับหลินซือเยว่ที่อยู่ด้านหลัง
“แม่นมฉีข้าว่าไปต่ออีกสักหน่อยดีหรือไม่” คนผู้นี้ดูไม่เหมือนบ่าว มองไปแล้วเหมือนทหารหรือไม่ก็องครักษ์เสียมากกว่า
“มะไม่ ข้าไม่ไป ข้าจะรอท่านพี่ โอ๊ย !” เจินซูเหวินหรือต่งฮูหยิน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา นางถูกคลุมด้วยผ้าขนสัตว์อย่างหนาแน่น
“ฮูหยิน !” แม่นมหนึ่งคนกับสาวใช้อีกสอง ต่างกรูเข้าไปดูฮูหยินของพวกนาง คนคุ้มกันอีกสองคนต่างตระหนักถึงความยากลำบากนี้ พวกเขาคนหนึ่งมองไปทางซ้ายอีกคนมองไปทางขวา จากนั้นมองกลับไปที่โรงพักหน้าอยู่ตลอดเวลา
หลินซือเยว่หันไปมองเผิงฉือเล็กน้อย “ป้าเผิงไปดู”
“ฮูหยินพวกเจ้าเป็นอะไรไป” เผิงฉือเข้าไปดูอีกคน ทว่าความมืดทำให้มองเห็นไม่ชัด ว่าฮูหยินผู้นี้เกิดอันตรายอันใดขึ้น
“มีน้ำเจ้าค่ะ ! แม่นมฉี !” สาวใช้นางหนึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขณะที่ฮูหยินของนางสีหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
“นางกำลังจะคลอดลูก” น้ำเสียงเย็นเยียบของหลินซือเยว่ ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนี้ถึงกับสูดลมหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอด “พานางเข้าไปในกระโจม หลินอ้ายก่อไฟต้มน้ำร้อน ป้าเผิงย่ามยา ส่วนเจ้าสองคนคุ้มกันบริเวณนี้อย่าให้มีผู้ใดเข้ามา”
นางเอ่ยจบทุกคนก็ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ “ไป !” กระทั่งคำนี้ถูกเอ่ยออกมา พวกเขาถึงกระจายตัวกันไปทำงานตามคำสั่ง ไม่เว้นกระทั่งคนคุ้มกันก็ยังฟังคำสั่งของนาง
“เจ้ากับป้าเผิงอยู่ในกระโจมกับข้า ส่วนเจ้าสองคนคอยอยู่ด้านนอก” นางหันไปทางแม่นมฉี ก่อนหันไปทางสาวใช้ทั้งสองคน
“ทำตามคำสั่งแม่นางผู้นี้เถอะ” แม่นมฉีเหมือนว่าไม่มีทางเลือก ลอบมองไปที่ศาลาพักม้ายังได้ยินเสียงต่อสู้กันอยู่ อีกทั้งบางแห่งยังมีไฟไหม้ลุกลามขึ้น ชาวบ้านคนอื่น ๆ กระจายไปอยู่บริเวณอื่นที่ลับสายตาผู้คน มีเพียงกระโจมแห่งนี้ที่เดียวที่อยู่ใกล้ที่สุด
10 : พวกเขาเกิดมาคู่กัน หลินซือเยว่ชวนน้องสาวมาเยือนที่เรือน เพื่อเปิดโอกาสให้ฮู่ตงหยางได้พูดคุยกับนางบ้าง อย่างน้อยได้ทำความรู้จักพูดคุยกันก่อน ยามออกเรือนไปแล้วจะได้ไม่เขินอายกันจนเกินไป แต่นางได้เอ่ยกับบิดามารดาไปแล้ว ว่าให้หมั้นหมายกันไปก่อนหนึ่งปี เพราะยามนี้น้องสาวของนางเพิ่งอายุสิบหกย่างสิบเจ็ดปีเอง แต่มารดาของนางกลับแย้ง ว่าอายุช่วงนี้กำลังเหมาะสม หากรอไปอีกหนึ่งปีฮู่ตงหยางก็สามสิบปีพอดี ในสายตาของผู้อื่นอาจคิดว่าอายุของทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน เพราะห่างกันร่วมสิบสองปี แต่ในสายตาของหลินซือเยว่ ฮู่ตงหยางอยู่ในวัยกำลังสร้างครอบครัวได้ มีแต่น้องสาวของนางนี่แหละที่เด็กน้อยเกินไป “น้องรอง” “เจ้าคะ” “เจ้าไม่คิดว่าองครักษ์ฮู่แก่ไปหรอกหรือ” หลินซูฮวาอมยิ้มเล็กน้อย “ไม่เจ้าค่ะ เขาดูแข็งแรงดี” “อ้อ เป็นข้าที่คิดมากไปเอง เจ้าดูเด็ก ๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้ามีงานไปคุยกับท่านอ๋องก่อน” “ได้เจ้าค่ะ” หลินซูฮวาชอบที่ได้เล่นกับหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาเลี้ยงง่าย แค่ได้วิ่งเล่นไปมาก็มีความสุขแล้ว นางเองได้นั่งมองเด
9 : “เป็นเจ้านี่เองที่ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล” หลินซูฮวาไม่ได้โง่ นางมองปราดเดียวก็รู้ ว่าคนตรงหน้าได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ แต่ช่วยด้วยวิธีไหนนั้นนางไม่แน่ใจ ภายในรถม้าที่นั่งกลับเรือนด้วยกันสองต่อสอง นางจึงได้ใจกล้าเอ่ยถามเขา “ท่านผายปอดให้ข้ารึ” ฮู่ตงหยางตัวแข็งทื่อหลังได้ยิน “คุณหนูหลินท่านรู้จักการผายปอดด้วยรึ” เขาถามเสียงค่อยคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “รู้จักสิ พระชายามาสอนคนที่จวนอยู่เหมือนกัน ข้าก็ได้เรียนรู้ด้วย” นางเม้มปากแน่น พวงแก้มค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้นมา การที่เขาไม่ปฏิเสธย่อมหมายความว่าเป็นเรื่องจริง “คุณหนูหลินข้าล่วงเกินท่านแล้ว” ฮู่ตงหยางยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี “หมายความว่าอย่างไร พระชายาบอกว่าเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้คน ข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยสิ” หลินซูฮวาบิดปลายนิ้วใต้แขนเสื้อสุดแรง “ตอนข้า เอ่อ ผายปอดท่าน มีชาวบ้านอยู่แถวนั้นกันหลายคน เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้ท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว” “องครักษ์ฮู่ท่านหมายความว่า มีคนเห็นท่าน” หลินซูฮวาหยุดพูด แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ๆ “เป่าลมเข้าปากข้ารึ” ถาม
8 : “เท้า ไม่ใช่มือ !” หลินซือเยว่จัดการเรื่องออกเรือน ให้สาวใช้สินเดิมทั้งสองเรียบร้อยแล้ว นางมอบของขวัญเป็นเรือนให้คนละหลัง พร้อมมอบกิจการร้านค้าให้อีกด้วย กระทั่งหนังสือขายตัวก็ฉีกทิ้งไป ปล่อยให้ทั้งคู่ได้เป็นอิสระในภายภาคหน้า “ข้าไม่เคยรู้ว่าเจ้าใจดีถึงเพียงนี้” เซวียนหมิงยู่โอบกอดนางจากด้านหลัง พร้อมหอมแก้มนุ่ม ๆ ของนางฟอดหนึ่ง “ยามเป็นโหย่วซิงเยียนพวกนางดีกับข้ามาก พอเป็นหลินซือเยว่ก็ตั้งใจเรียนรู้เรื่องยาสมุนไพร ยามนี้เลยได้ใช้ประโยชน์บ้าง ต่อไปภายภาคหน้าหากเกิดการบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนางก็สามารถรักษาตัวเองหรือคนในครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องหาหมออย่างเดียว” หลินซือเยว่ได้วางแผนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น ให้แก่คนในจวนไว้แล้ว เพียงแต่นางยังไม่มีเวลาได้ลงมือทำ “ข้าถึงได้ว่าเจ้าจิตใจดีอย่างไร” ไม่เพียงแต่กับบ่าวไพร่ในจวน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปหลินซือเยว่ก็ใจดีต่อพวกเขา เซวียนหมิงยู่ได้รู้จากท่านหมอหลี่ ว่าพระชายาของตนได้ให้คนจากโรงสมุนไพร ออกไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพรพื้นฐานให้แก่ชาวบ้าน และสอนเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บเบื
7 : วาสนานำพารัก หลินเต๋อให้คนไปเชิญพระชายามายังจวนของตน เพื่อหารือเรื่องสำคัญ ครั้นหลินซือเยว่ไปถึงก็ได้รู้ว่าพี่ชายของตนเอง กำลังจะมีข่าวดีเรื่องมงคล “ซีฮันสวมกวานมาหลายปีแล้ว สมควรคิดเรื่องออกเรือนได้เสียที” เถียนฮูหยินเป็นผู้เอ่ยเรื่องนี้ หลินซือเยว่รีบหันไปทางพี่ชายในทันที เห็นเขาใบหน้าแดงเถือกขึ้นอย่างชัดเจน นี่หมายความว่าไม่ปฏิเสธเป็นแน่แท้ “ท่านแม่หมายปองสตรีนางใดให้พี่ใหญ่หรือเจ้าคะ” “เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวง ทำการค้าเหมือนกัน” “ท่านพ่อเห็นชอบว่าอย่างไรเจ้าคะ” นางหันไปทางบิดาบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักคุณหนูผู้นี้มาก่อน “อืม คุณหนูใหญ่ผู้นี้ใช้ได้เหมือนกัน” หลินเต๋อย่อมเชื่อใจการมองคนของภรรยา หลินซือเยว่มองน้องสาวของตัวเองบ้าง เห็นนางพยักหน้าลงคล้ายพึงพอใจอยู่เหมือนกัน ทุกคนในบ้านล้วนพึงพอใจสตรีนางนี้ กระทั่งหลินซีฮันยังไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ “พี่ใหญ่ ท่านไปแอบดูนางมาแล้วใช่ไหม” ทุกคนต่างอ้าปากค้างหลังได้ยิน โดยเฉพาะเถียนฮูหยิน นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรชาย ไปแอบดูคุณหนูใหญ่ตระกูลหวงตอนไหน “ซีฮันนี่เจ้า
6 : “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” ยามนี้คุณชายกับคุณหนูทั้งสองอายุครบสองปี ทั้งคู่เริ่มเรียกชื่อบิดามารดาได้แล้ว อีกทั้งยังพูดคุยประโยคสั้น ๆ ได้บ้าง หลินซือเยว่ได้จัดงานแต่งให้สวีวั่งซูอย่างสมเกียรติไปเมื่อปีที่แล้ว ยามนี้ฮู่ตงหยางจึงกลายเป็นคนขี้อิจฉา ยามได้เห็นสหายรัก รีบร้อนกลับเรือนทุกครั้งหลังออกเวร พอหันกลับมาทางท่านอ๋องของตน แทบนึกช่วงเวลาเหลียงอ๋องผู้เกรียงไกรแทบไม่ออก เพราะยามนี้นั้น “บิน ๆ สูง ๆ” เป็นเสียงเล็ก ๆ ของคุณชายตัวน้อย ท่านอ๋องของตนกำลังให้คุณชายขี่คอแล้วพาวิ่งไปรอบ ๆ ลานหญ้า ส่วนพระชายานั้นกำลังนั่งถักเปียให้คุณหนูด้านข้างมีเผิงฉือกับสองสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ “อี้เอ๋อร์อยากขี่ม้าใช่ไหม ได้ ๆ ตงหยางมานี่เร็ว !” “ท่านอ๋องคุณชายยังไม่ได้เอ่ยสักคำ” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่เข่ากลับคุกคลานลงบนพื้น ไม่ช้าคุณชายตัวน้อย ก็ปีนขึ้นมานั่งอยู่บนหลังของเขา “คลานดี ๆ อย่าให้ลูกชายข้าหล่นได้” “พ่ะย่ะค่ะ” ฮู่ตงหยางก้มหน้าคลานไป ประคองคุณชายน้อยไปด้วย เขากลับมีความสุขเหลือเกินในยามนี้ คุณชายน้อยส่
5 : แฝดชายหญิง หนึ่งเดือนต่อมา เผิงฉือนั่งมองพระชายาของนาง ที่กำลังจ้องที่ข้อมือของตัวเองอย่างเงียบ ๆ บางครั้งพระนางก็เอานิ้วไปแตะ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นก็แตะข้อมืออีกครั้ง เป็นอยู่เช่นนี้จนน่าสงสัย “พระชายาเพคะ ท่านอ๋องให้แม่ครัวเคี่ยวน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้เพคะ” ลี่ถิงเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับถาดน้ำแกง หลินซือเยว่หันไปค้อนนางแรง ๆ อย่างไร้สาเหตุ “พระชายาเป็นอันใดเพคะ” เผิงฉือเห็นแล้วก็ไม่เข้าใจ โบกมือให้ลี่ถิงรีบวางถ้วยน้ำแกงลง แล้วให้รีบออกไปให้เร็วที่สุด “ป้าเผิงข้าไม่สบายใจเล็กน้อย” นางถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา แววตามีความสับสนเล็กน้อย “มีเรื่องอันใดที่ทำให้พระชายาไม่สบายใจหรือเพคะ หากบอกได้ก็เอ่ยออกมาเถอะ” เผิงฉือเข้าไปยืนอยู่ใกล้ ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองนางเล็กน้อย ดันถ้วยน้ำแกงออกไปให้ไกลตัว “ต่อไปข้าคงกินน้ำแกงบำรุงนี่ไม่ได้อีกแล้ว ฤทธิ์มันแรงเกินไป ไม่ดีต่อเด็กในท้อง” “เช่นนั้นหรือเพคะ” เผิงฉือค้างชะงักไปหลังตัวเองเอ่ยจบ