로그인บทที่ 1.1 คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
สิบสามปีก่อน
‘นันทพร’ หญิงสาววัยสามสิบปลาย ๆ เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยง ‘ณัฐนิชา’ ลูกสาววัยเจ็ดขวบสุดรักสุดดวงใจคนนี้ให้อยู่อย่างสุขสบาย หากแต่ชีวิตกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งยังเต็มไปด้วยขวากหนามเสียมากกว่า เธอจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนใช้ชีวิตต่อไป
“แม่จ๋า หนูหิวข้าวแล้ว”
เด็กหญิงเอ่ยบอกพร้อมลูบท้องตนเองป้อย ๆ
หลังเลิกเรียนเธอจะต้องมาอยู่ที่ร้านกับมารดาตลอด แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็พอหยิบจับอะไรที่พอเป็นประโยชน์ได้
นันทพรเปิดร้านขายข้าวแกงเล็ก ๆ เช่าพื้นที่หน้าตลาดเพื่อตั้งร้านประจำ แม้จะมีลูกค้าที่มาอุดหนุนกันตลอด เพราะติดใจในรสมือของเธอ แต่ก็ใช่ว่าจะพอกินพอใช้ในยุคเศรษฐกิจอย่างนี้ บ้านก็ยังต้องเช่า ไหนจะต้องเก็บเงินไว้ส่งเสียณัฐนิชาจนกว่าจะจบปริญญาอีก ลำพังแค่สองมือเล็ก ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง อาจไม่มากพอในการที่จะมอบช่วงชีวิตดี ๆ ให้กับลูกสาวก็เป็นได้
“ได้จ้ะ มากินข้าวกันนะ นิชาของแม่อยากกินอะไรเอ่ย”
“เอาต้มจืด”
เด็กหญิงชี้ไปที่หม้อต้มจืด ผู้เป็นแม่รีบตักขาวใส่จานพร้อมด้วยกับข้าวที่ลูกสาวอยากกินส่งให้ เธอจัดเตรียมปู่เสื่อเอาไว้สำหรับให้ณัฐนิชาได้นั่งเล่นรอระหว่างยังขายไม่หมด มีพัดลมตัวเล็ก ๆ หนึ่งตัว คอยเปิดให้ตลอดเวลา
มรสุมชีวิตของเธอกับลูกไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านี้ ก่อนหน้าที่เด็กหญิงจะกลายเป็นลูกกำพร้าพ่อ ก็เคยเป็นเด็กปกติ ใช้ชีวิตทั่วไปและมีครอบครัวสมบูรณ์อย่างคนอื่น ทว่าอุบัติเหตุกลับพรากชีวิตบิดาของณัฐนิชาไปอย่างไม่มีวันกลับ จนสูญเสียเสาหลักของครอบครัว
สามีเป็นเพียงคนงานก่อสร้าง แต่ก็ขยันอดทนมากกว่าใคร จึงไม่เคยปล่อยให้ลูกเมียต้องลำบาก แม้จะไม่สุขสบายมีชีวิตติดหรู แต่ก็ไม่เคยอดอยากเลยสักครั้ง เป็นครอบครัวเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความสุขจนหลายคนอิจฉา
กระทั่งสูญเสียเทวดาของครอบครัวไป สองแม่ลูกจึงต้องระหกระเหเร่ร่อนไปเรื่อย กว่าจะเจอถิ่นฐานที่สามารถลงหลักปักฐานได้อย่างทุกวันนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะผ่านมานานถึงสองปีแล้ว
นันทพรเลือกกลับมาอยู่บ้านเกิดหลังลองไปอยู่ที่อื่นมาก่อน สุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่ณัฐนิชาต้องขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงตัดสินใจกลับมาในสถานที่ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กจะดีกว่า เกือบหนึ่งปีแล้วที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ทุกอย่างอาจไม่เหมือนเดิมแต่ก็พอจะจำได้บ้างว่าอะไรเป็นอะไรและผู้คนที่นี่นิสัยเป็นแบบไหน
“อร่อยจังเลยจ้ะ”
เด็กหญิงเคี้ยวข้าวไว้เต็มปากจนแก้มตุ่ย มองดูมารดาด้วยสายตาใสซื่อมีความสุขตามประสาเด็กน้อยทั่วไป เธอคือพลังในการใช้ชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ผู้เป็นแม่มีในตอนนี้
“อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะจ๊ะ แม่มีให้นิชากินหม้อใหญ่เลย”
“ถ้ากินหมด หนูจะเป็นน้องหมูไหมคะ”
เด็กหญิงตัวน้อยถามพลางเอามือไปดึงจมูกตนเองขึ้น ทำท่าคล้ายหมูจริง ๆ เล่นเอานันทพรถึงกับหัวเราะขำในท่าทางของลูกสาว ความน่ารักนี้ทำเอามันเขี้ยวจนอดไม่ได้ ต้องก้มลงไปหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่จนณัฐนิชาจักจี้
คิกคิก..
“พร นั่นพรใช่หรือเปล่า”
เสียงหนึ่งขัดจังหวะการฟัดกันของสองแม่ลูก คนถูกเรียกหันกลับไปมองต้นเสียงที่แสนคุ้นเคย ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“จะ...จิตตาหรือ”
“พรจริง ๆ ด้วย นันทพรเพื่อนรักของฉัน!”
เจ้าของเสียงยังคงพูดด้วยความดีใจ ‘คุณนายจิตตา’ เศรษฐินีที่ใครต่อใครก็รู้จัก เพราะเป็นทั้งเจ้าของตลาดที่หญิงสาวเช่าพื้นที่ขายของอยู่ และยังเป็นเจ้าของตึกแถวอีกมากมายให้เช่าไปทั่วทั้งอำเภอ เธอมากับลูกชายวัยสิบห้าปี ‘คิมหันต์’
บทที่ 17 ข้อแลกเปลี่ยนเหตุการณ์เมื่อคืนทำเอาอ่อนแรงจนไม่สามารถตื่นเช้าได้อย่างปกติ ณัฐนิชาลืมตาขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้อง สิ่งแรกที่หล่อนมองหาคือคิมหันต์ ทว่ากลับว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาของอีกฝ่าย มีแค่เธอที่นอนหลับคนเดียวบนเตียงนี้หลงนึกว่าจะได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของเขาเสียอีก...คนตัวเล็กลุกจากที่นอนเพื่อกลับห้องของตนเอง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับคิมหันต์คงเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่ายบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์เท่านั้น ความเศร้าเสียใจกับเรื่องของมารดาทำให้ชายหนุ่มขาดความยับยั้งชั่งใจ เพราะหากเป็นตัวเขาในแบบปกติ หล่อนเชื่อว่าเขาคงรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของเธอณัฐนิชายืนมองเงาะสะท้อนของเธอในกระจก ยังคงหลงเหลือร่องรอยที่คิมหันต์ทิ้งเอาไว้ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน หล่อนล้วนจำทุกสัมผัสได้ดี มันถูกตอกลงในหัวใจและความรู้สึกจนยากจะลืมสำหรับเขาอาจเป็นความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวด้วยความเมา ทว่าสำหรับหญิงสาวแล้ว...มันคือการเต็มใจให้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย
บทที่ 16 ปลอบ NCคิมหันต์ผละอ้อมกอดของคนตัวเล็กออก อาจเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือความอ่อนแอในหัวใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ ดวงตาคมที่มักมองหล่อนอย่างดุดันเสมออ่อนลงกว่าเดิมเยอะ คนถูกมองใจเต้นระส่ำแม้จะรู้ว่าเวลานี้ไม่ควร ทว่าท่าทีที่แปลกไปของเขากลับสร้างความหวามหวั่นในใจไม่น้อย“พี่คิม...ทะ...ทำไมจ้องหนูแบบนั้นล่ะคะ”“เธอ...โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”ถามเสียงเบา เอาแต่จ้องหญิงสาวไม่ละสายตาไปไหน เขาเอาแต่คิดถึงภาพของณัฐนิชาในชุดแต่งงาน ถึงจะพยายามปฏิเสธมาตลอดแต่ดูเหมือนตอนนี้คงได้เวลาต้องยอมรับความจริงเสียทีว่าหล่อนเติบโตมากพอแล้ว...หมับ...“พี่คะ...อื้อ...”มือแกร่งประคองใบหน้าเล็กเข้ามาจูบ คนถูกจู่โจมหลับตาปี๋แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามใจ ปากหยักค่อย ๆ แทะโลมทีละนิด ลิ้นชื้นชอนไชเปิดโพรงปากนุ่ม ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมาในตอนนี้ได้เลย เขารู้แต่เพียงว่าต้องการจะสัมผัสจนอดใจไม่ไหว“อื้อ…”
บทที่ 15 อ้อมกอดร่างของคุณนายจิตตาถูกนำใส่โลงสวยงาม เต็มไปด้วยดอกไม้มาวางไว้ที่สวนของบ้าน เพื่อให้ญาติพี่น้องและผู้คนที่ตั้งใจมาร่วมงานได้จุดธูปเคารพศพ ณัฐนิชาและคิมหันต์อยู่ในชุดสีดำคอยยืนไหว้แขกที่มา ใบหน้าหมองคล้ำเต็มไปด้วยความเศร้าโดยเฉพาะหญิงสาวที่ยังมีน้ำตาไหลนองหน้าตลอดเวลาร่มโพธิ์ร่มไทรของเธอจากไปแล้ว...ตอนรู้ข่าวจากทางโรงพยาบาลก็เหมือนวิญญาณถูกกระชากออกไป ไม่นานมานี้หล่อนยังยิ้มแย้มหัวเราะกับคุณนายจิตตาอยู่เลย ยังได้กินของอร่อยด้วยกัน ไปข้างนอกด้วยกัน อ่านหนังสือด้วยกัน ได้ทำหลาย ๆ อย่างด้วยกันจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว การสูญเสียครั้งนี้หนักหนาพอๆ กับครั้งที่ณัฐนิชาสูญเสียมารดาไป“เสียใจด้วยนะคิมหันต์”ญาติพี่น้องพากันมองเขาด้วยสายตาเวทนา นอกจากจะเสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ก็ต้องมาเสียแม่ต่อทั้งที่ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น ชายหนุ่มไม่พูดคุยกับใครอีกเลยตั้งแต่มารดาจากไปเมื่อวานซืนเขายังปากดีต่อล้อต่อเ
บทที่ 14 แม่รักคิมนะลูก“หนูขอตัวก่อนนะคะ”เมื่อมาถึงบ้าน หญิงสาวก็แยกตัวกลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนทันที คิมหันต์เองก็เช่นกัน เขากลับขึ้นไปบนห้องของตนเอง ถอดสูทตัวนอกออกแล้วนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในหัวคิดถึงคำพูดของณัฐนิชาตอนอยู่บนรถ‘คนเราแค่เป็นหวัดยังรู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวเลยไม่ใช่หรือคะ นับประสาอะไรกับโรคมะเร็ง...’เป็นคำตอบที่ไม่ได้อธิบายชัดเจนแต่กลับทำให้เขาเข้าใจได้ว่าที่ผ่านมามารดาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ภาพตอนเด็ก ๆ เวลาชายหนุ่มไม่สบาย เป็นไข้ที่ถึงแม้จะเพียงน้อยนิด แต่ผู้เป็นแม่ก็คอยดูแลเช็ดตัวเป็นอย่างดีไม่เคยห่าง ทุกครั้งที่ลูกชายไม่สบาย คุณนายจิตตาจะแทบไม่ได้นอนนอกจากต้องคอยวัดไข้ป้อนยาแล้ว ยังต้องเช็ดตัวตลอดเพื่อให้ไข้ลด มันคือสิ่งที่มารดาของเขาทำเป็นประจำตั้งแต่คิมหันต์ยังเด็ก ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ชายหนุ่มควรได้ดูแลเวลาแม่ป่วยไข้บ้างกลับไม่ได้ทำสิ่งนั้น ความคิดที่ว่าท่านคือบ้าน คือคนที่หันมาเมื่อไหร่ก็เจอเป็นความคิดที่ผิดแบบสุด ๆคิมห
บทที่ 13 แม่ของผมณัฐนิชาคอยดูแลปรนนิบัติคุณนายจิตตาเป็นอย่างดีหลังมาถึงโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา คนป่วยปลอดภัยแล้วจึงถูกย้ายมาห้องพักพิเศษ ก่อนหน้านี้ทนายไตรรัตน์โทรมาบอกหล่อนว่าคิมหันต์กำลังนั่งเครื่องบินกลับมาตามไฟลท์ที่เขาจองให้ อีกสักพักก็คงจะถึงโรงพยาบาลแล้ว หญิงสาวยังอยู่ในชุดแต่งงานอยู่เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องผมเผ้าไม่ต้องพูดถึง...เละเทะเหมือนคนไม่ได้แตะหวีมาสามชาติ“คุณแม่อยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ”“ไม่เป็นไรจ้ะ”เจ้าของใบหน้าซีดไร้เลือดฝาดตอบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเพราะยังเจ็บปวดใจกับเรื่องของคิมหันต์ไม่หาย วิกผมที่ใส่มาตลอดถูกนำออกไปแล้ว ตอนนี้บนศีรษะของคุณนายจิตตาจึงไม่มีผมอยู่เลยสักเส้น“พี่คิมกำลังจะกลับมาหาคุณแม่ ทำใจให้สบาย อย่าคิดมากและรอพี่คิมมาหานะคะ”“แม่ต้องขอบคุณหนูนิชามาก ๆ เลยน
บทที่ 12 ดื้อดึง“แม่ขอโทษหนูนะลูก ที่ทำให้หนูต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แม่สัญญา แม่จะทำให้พี่เขากลับมาแต่งงานกับหนูให้ได้”คุณนายจิตตาได้แต่มองดูณัฐนิชาด้วยความสงสาร คิดไม่ถึงเลยว่าคิมหันต์จะกล้าถึงขนาดเทงานแต่ง“อย่าเลยค่ะคุณแม่ หนูไม่อยากให้พี่คิมเกลียดหนูไปมากกว่านี้แล้ว”“เกลียดอะไรกัน แม่เป็นแม่ของตาคิม ไม่ว่าอย่างไรตาคิมก็จะต้องตกหลุมรักหนูอย่างแน่นอน เชื่อแม่สิ”คนฟังได้แต่ทำหน้าเศร้า ทั้งลังเลและไม่คาดหวังด้วย ผู้หญิงจืดชืดไร้เสน่ห์อย่างหล่อนไม่มีวันมัดใจผู้ชายไม้เลื้อยอย่างเขาได้อยู่แล้ว“คุณนายครับ ผมตรวจสอบดูเรียบร้อยแล้วนะครับ ตอนนี้คุณคิมหันต์ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย”“อะไรนะ!”คุณนายจิตตาลมแทบจับ ก่อนนี้คิดว่าอย่างมากคงหนีไปนอนกกผู้หญิงอยู่ไหนสักแห่งในประเทศ ไม่คิดเลยว่าจะถึงขั้นหนีออกนอกประเทศอย่างนี้ สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นลูกของเธอ วางแผนการไว้รอบคอบเพราะรู้ดีว่าถ้าหนีไปไม่ไกลพอคงถูกลากตัวกลับได้ง่าย ๆ“ต่อสายหาคิมหันต์เดี๋ยวนี้ บอกไปเลยว่า







