ณ จวนตระกูลเซี่ย แห่งเมืองหนานจง
เซี่ยเฟยอวี่ หรือนายท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย กำลังนั่งอ่านจดหมายตอบรับจากตระกูลจ้าวที่อยู่ในมือ ในใจพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดี แต่ทว่ายามนี้บุตรชายกับหลานชาย เพิ่งจะเดินทางออกไปสู้รบกับทหารแคว้นจิ้นที่ชายแดนเมืองหนานตง เขาจึงไม่อาจตอบรับคำร้องขอ ที่ตระกูลจ้าวกล่าวมาในจดหมาย ว่าขอให้คุณชายใหญ่เซี่ยเฟยหลง เดินทางไปพบหน้าคุณหนูตระกูลจ้าว ก่อนที่จะตอบรับการหมั้นหมายกัน “ทางนั้นเขาตอบกลับมาว่าอย่างไรบ้างหรือเจ้าคะท่านพี่” เหลียงลี่จู ผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามสามีออกมา “เขาบอกว่าอยากจะให้หลงเอ๋อร์ของเรา เดินทางไปพบหน้าหลานสาวของเขาก่อน ก่อนที่เด็กทั้งสองจะหมั้นหมายกัน” เหลียงเหล่าฮูหยินพยักหน้าขึ้นลง นางพอจะเข้าใจความรู้สึกของทางฝั่งตระกูลจ้าว เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงตระกูลคหบดี ร่ำรวยมาจากการค้าขาย หาใช่ตระกูลขุนนางเช่นตระกูลเซี่ยไม่ หากจะให้ลูกหลานออกเรือนมา ก็ต้องทำให้นางรู้สึกยินยอมพร้อมใจด้วยเช่นกัน “ยามนี้เหตุการณ์ชายแดนเมืองหนานตงก็ไม่สงบเสียด้วย ข้าก็หวังเพียงแต่ว่า ฉีเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์จะสามารถร่วมมือกัน จัดการกองทัพแคว้นจิ้นให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้โดยเร็ว” เซี่ยเฟยอวี่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้นั้นช่างมีบรรยากาศที่หม่นหมองยิ่งนัก ลูกสะใภ้ก็เอาแต่จมอยู่กับความเศร้า จนไม่มีจิตใจที่จะดูแลเรื่องราวภายในจวนให้ดี หากว่าเขาได้หลานสะใภ้มาสักคน คงจะช่วยให้จวนตระกูลเซี่ยมีบรรยากาศที่ดีขึ้นไม่มากก็น้อย ที่สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ก็เพราะเมื่อสองเดือนก่อน หลานชายคนเล็กได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลานชายผู้ที่ชื่นชอบในบทกวี ดนตรีและการวาดภาพ หลานชายที่ไม่ชอบคมหอกคมดาบหรือการฝึกวรยุทธ์ ไม่คิดเลยว่าผู้ที่ไม่ชอบจับดาบเช่นนั้น กลับเลือกที่จะปลิดชีพตนเองด้วยดาบของผู้เป็นบิดา “ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ก็ส่งจดหมายตอบกลับ ไปบอกกล่าวให้แก่ตระกูลจ้าวทราบก่อนเถิดเจ้าค่ะ บอกพวกเขาว่ายามนี้หลงเอ๋อร์ยังไม่สะดวก หากสถานการณ์ชายแดนสงบแล้ว พวกเราจะให้เขาเดินทางไปเยือนเมืองหนานจางทันที” เหลียงเหล่าฮูหยินแนะนำสามี ท่านผู้เฒ่าเซี่ยเฟยอวี่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา ภรรยาของเขานั้นเป็นทั้งคู่ชีวิต และคู่คิดของเขาเสมอมา ชีวิตที่มีนางเคียงข้าง ไม่ว่าจะมีปัญหาใดเข้ามา ทุกสิ่งล้วนคลี่คลาย และไม่ถึงสามวัน จดหมายตอบกลับจากตระกูลเซี่ยก็เดินทางมาถึงตระกูลจ้าว ครั้นได้อ่านเนื้อหาในจดหมายจบ สีหน้าของท่านผู้เฒ่าจ้าวหยวนจงก็ไม่ค่อยจะดีนัก ชายแดนเมืองหนานตงยามนี้มีทหารแคว้นจิ้นบุกมาเช่นนั้นรึ แล้วถ้าหากหลานสาวของตนแต่งออกไปอยู่ตระกูลเซี่ยแล้ว จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้อย่างสงบสุขหรือไม่ “ยามนี้ที่ชายแดนเมืองหนานตงมีพวกข้าศึกเข้ามารุกราน ทำให้ท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ย กับรองแม่ทัพเล็กเซี่ยเดินทางไปจัดการกับพวกข้าศึกที่นั่น” นายท่านผู้เฒ่าจ้าวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าซิ่วเหล่าฮูหยินกลับรู้ดีว่าในน้ำเสียงของผู้เป็นสามีนั้นแฝงไปด้วยความเป็นกังวล “ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ หรูเอ๋อร์จะได้มีเวลาเตรียมใจมากขึ้น กว่าศึกชายแดนจะสงบก็ไม่น่าจะต่ำกว่าสองสามเดือน” ซิ่วเหล่าฮูหยินกล่าวออกมา พลางยื่นมือไปตบลงหลังมือของสามีเบาๆ เพื่อให้เขาได้คลายความเป็นกังวลลง “นี่ข้าไม่ได้กำลังทำผิดต่อพวกลูกหลานตระกูลจ้าวอยู่ใช่หรือไม่” ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าไปมา “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ หากไม่มีนายท่านสักคน ลูกหลานจะเกิดมาจากผู้ใดกัน” ชีวิตก็ต้องตอบแทนด้วยชีวิตนั้นถูกต้องแล้ว อีกทั้งการแต่งงานกับอีกฝ่าย ก็ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดให้ลำบากใจไม่ ถือเป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ที่ตระกูลเซี่ยซึ่งเป็นตระกูลของขุนนางใหญ่ อยากจะมาเกี่ยวดองกับตระกูลคหบดีเช่นตระกูลจ้าว หนทางการเป็นขุนนางของจ้าวฟางฉีและจ้าวหวังหยวนในภายภาคหน้าก็จะได้ราบรื่นอีกด้วย จ้าวหวังเหล่ยเดินออกมาจากเรือนใหญ่ หลังจากบิดาเรียกเขาไปพบ สีหน้าของเขานั้นมีแต่ความเป็นกังวล เพราะว่าที่ลูกเขยของเขานั้น ยามนี้ออกไปสู้รบกับพวกทหารแคว้นจิ้น ไม่รู้สถานการณ์จะเป็นเช่นไรบ้าง เขาหวังเพียงแค่ให้สองพ่อลูกสกุลเซี่ย แคล้วคลาดปลอดภัยจากคมหอกคมดาบ ได้กลับจวนกันอย่างพร้อมหน้า “คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” เสียงหวานของบุตรสาวคนเล็กทักทายจ้าวหวังเหล่ย ที่กำลังเดินกลับเรือนด้วยสติเลื่อนลอย เขาจึงได้สติคืนมาก่อนที่จะหยุดเดินและยิ้มให้จ้าวฟางเซียน “เซียนเอ๋อร์… นี่เจ้ากำลังจะไปที่ใดรึ” “ลูกกำลังจะไปพบท่านย่าเจ้าค่ะ ท่านย่าให้ลูกเย็บผ้าคลุมไหล่ให้นาง” จ้าวฟางเซียนตอบบิดา ใบหน้างามมีรอยยิ้มประดับอยู่ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปพบท่านย่าเถิด พ่อจะรีบกลับเรือนเช่นกัน" จ้าวฟางเซียนย่อกายส่งบิดา จ้าวหวังเหล่ยจึงรีบเดินจากไป มุ่งหน้ากลับเรือนฟางเฟย จ้าวฟางเซียนมองตามบิดาไปจนลับสายตา ที่บิดามีท่าทีเหม่อลอยและแสดงออกเหมือนมีเรื่องร้อนใจ นั่นก็เป็นเพราะเรื่องที่ท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ย กับรองแม่ทัพเล็กเซี่ยเดินทางไปสู้รบกับพวกข้าศึก ที่ชายแดนเมืองหนานตงนั่นเอง นอกจากนางแล้ว หามีผู้ใดรู้ไม่ ว่าการสู้รบกับแคว้นจิ้นในครานี้ กองทัพตระกูลเซี่ยจะได้ชัยชนะกลับมา แต่ทว่ากองทัพต้องสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างแม่ทัพใหญ่เซี่ยเฟยฉีไป “คุณหนูรองเจ้าคะ พวกเรารีบไปพบเหล่าฮูหยินกันเถิดเจ้าค่ะ” ซู่เอ๋อเตือนจ้าวฟางเซียนที่ยังคงหยุดนิ่ง มองนายท่านใหญ่มุ่งหน้าเดินกลับเรือนฟางเฟยไป แม้ร่างสูงของนายท่านใหญ่ จะลับสายตาไปแล้ว ทว่าคุณหนูรองก็ยังคงมองไปยังบิดาไม่ยอมเลิกลาเสียที “อ่า…อือ” จ้าวฟางเซียนขานรับ นางถอนหายใจหนักๆ ออกมาหนึ่งครา แล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปยังเรือนรับรอง ที่ผู้เป็นย่ากำลังรอคอยนางอยู่ กับคนบางคน…ก็มิอาจฝืนโชคชะตา จ้าวฟางเซียนรู้สึกเศร้าอยู่ภายในใจไม่น้อย ในชีวิตก่อนนางไม่มีโอกาสได้พบหน้าพ่อของสามีด้วยซ้ำ นั่นก็เป็นเพราะเขาจากไปในสนามรบ ที่ชายแดนเมืองหนานตงนั่นเอง ครั้นกลับไปถึงเรือนฟางเฟย จ้าวหวังเหล่ยให้บ่าวรับใช้คนสนิท ไปเชิญคุณหนูใหญ่ให้มาพบตนที่ห้องเก็บตำรา จ้าวฟางหรูมาพบบิดาตามคำสั่งของเขา ก่อนที่นางจะได้รับรู้ถึงข่าวที่น่ายินดี ว่าคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยมิอาจเดินทางมาพบหน้านางในยามนี้ได้ เรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนาง เพราะจะทำให้นางสามารถสานความสัมพันธ์กับเถียนซ่ง ทั่นฮวาหนุ่มอนาคตไกลผู้นั้นได้อย่างราบรื่น การมีเขาเป็นตัวเลือกในการเป็นว่าที่สามีย่อมดีกว่า เพราะเขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๊น ถนัดเรื่องตำรา บทกวี ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งความสงบสุข หาใช่เป็นพวกที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงอยู่ในสนามรบ เช่นคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยไม่ “ระหว่างนี้เจ้าก็ประพฤติตนให้ดี เพราะเจ้าหาใช่สตรีที่ไร้คู่หมายอีกแล้ว จะพบหน้าหรือพูดคุยกับบุรุษใดก็ขอให้สงวนท่าทีเอาไว้เสียบ้าง เพื่อเป็นการให้เกียรติคุณชายใหญ่สกุลเซี่ย” จ้าวหวังเหล่ยบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้จ้าวฟางหรูได้ฟังแล้วจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่บิดากล่าวออกมา แต่ทว่านางก็ยอมปิดบังความไม่พอใจที่เกิดขึ้นเอาไว้ เพื่อให้แผนการของตนเองสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ยามนี้นางต้องทำตัวว่านอนสอนง่าย ไม่ทำให้เขาผิดสังเกต “เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางรับคำบิดาอย่างว่าง่าย ทำให้จ้าวหวังเหล่ยเผยสีหน้าโล่งใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นเจ้ามีสิ่งใดให้ทำก็ไปทำเถิด พ่อไม่กวนเจ้าแล้ว” จ้าวหวังเหล่ยบอกบุตรสาวคนโต พลางส่งยิ้มให้แก่นาง จ้าวฟางหรูจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วคำนับบิดา ก่อนที่นางจะเดินออกจากห้องตำราภายในเรือนฟางเฟยไปหลังจากพูดคุยกันอยู่นานเกือบสองเค่อ เสียงของทารกน้อยที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ก็ดังขึ้นมา จ้าวฟางเซียนรีบบอกกล่าวมารดา แล้วรีบเดินออกไปหาบุตรชาย หลังฟื้นมาจากฝันร่้ายในวันนั้น จ้าวฟางเซียนก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมาก ที่สองวันแรก นางไม่อาจให้นมบุตรชายเองได้ ดีที่แม่สามีมองการณ์ไกล เตรียมแม่นมเอาไว้ให้ เผื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและสองวันแรกที่นางคลอดลู่หมิงออกมา ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา ก็พยายามดูแลร่างกายตนเอง และกินอาหารบำรุงน้ำนม ไม่ถึงเจ็ดวัน นางก็ขออนุญาตแม่สามี ให้นางป้อนนมลูกด้วยตัวเอง จางซื่อก็ไม่ได้ห้ามปรามอันใด เพราะน้ำนมจากมารดาย่อมดีกว่านมจากผู้อื่นอยู่แล้ว นับตั้งแต่นั้นมา จ้าวฟางเซียนก็ให้นมเซี่ยลู่หมิงเองเรื่อยมา ทว่ามีแม่นมฉินอยู่คอยช่วยดูแลบุตรชาย ในเวลาที่นางไม่ต้องให้นมหวงซื่อเดินตามบุตรสาวเข้ามาในห้องของหลานชาย นางมองไปยังบุตรสาว ที่ออกเรือนมาได้ไม่ถึงสามปี ทว่ายามนี้ได้มาเห็น ว่านางนั้นมีครอบครัวที่สมบูรณ์พูนสุขเพียงใด ก็พลอยให้รู้สึกโล่งใจ จากที่เคยคิดเป็นกังวล ว่านางจะได้พบเจอกับความยากลำบาก ในการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลขุนนางใหญ่ ก็ทำให้นางวางใจล
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากฤดูที่หนาวเย็นยะเยือก แปรเปลี่ยนมาเป็นฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลลี่ชุนก็ได้เวียนมาถึงอีกหน อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเริ่มงอกงาม หลายครอบครัวที่ทำการเกษตร เริ่มต้นการเพาะปลูก สรรพสัตว์เริ่มออกจากการจำศีล เพื่อออกหากิน เหล่านายพรานกลับมาทำอาชีพของตนบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ชาวเมืองยิ้มแย้มแจ่มใส เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่น ส่งเสียงหัวเราะออกมา จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ได้ยิน ต่างก็พากันยิ้มได้ จวนตระกูลเซี่ยยามนี้ ก็ไม่ต่างไปจากสถานที่อื่น หรือจวนอื่นนัก ทว่าวันนี้ที่จวนสกุลเซี่ย ได้จัดงานครบเดือนให้แก่คุณชายน้อย ที่มีอายุครบหนึ่งเดือนพอดี บรรยากาศภายในจวน จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่นมีความสุขตระกูลจ้าวถือโอกาสที่เหลนน้อยอายุครบเดือน พากันเดินทางมาจากเมืองหนานจาง เพื่อมาเยี่ยมเยือนจ้าวฟางเซียน และบุตรชายของนางที่จวนสกุลเซี่ย เมืองหนานจง จ้าวฟางเซียนมองไปยังผู้คนจากตระกูลเดิมของตน ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ นางไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า ชีวิตของนางจะมีโอกาส ได้มาเห็นภาพแห่งความสุขเช่นในวันนี้ท่านปู่ท่านย่าที่อายุมากแล้ว ก็ยังอุตส่าเดินทางมาถึงที่นี่ เพื่อมาอวยพรให้เ
“หลงเอ๋อร์…จ้าวซื่อกับเจ้า ได้ตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วใช่หรือไม่”จางซื่อถามบุตรชายออกมาขณะที่ส่งทารกในห่อผ้าไปให้เขา เซี่ยเฟยหลงหัดอุ้มเด็กกับภรรยามาบ้างแล้ว แม้จะมีท่าทีเงอะงะงุ่มง่าม ทว่ากลับดูไม่ขัดตาเท่าใดนัก เซี่ยเฟยหลงก้มมองดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของบุตรชาย ก่อนที่จะเอ่ยนามของเขาออกมา“เซี่ย…ลี่หมิง”เพราะเขาคือแสงสว่างอันงดงาม ส่องลงมายังบนโลกมนุษย์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน จ้าวฟางเซียนเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนตัวเขาเป็นผู้ที่ตั้งชื่อบุตรสาวเอาไว้ ทว่ากลับไม่ได้ใช้ ช่างเป็นวาสนาของเจ้าตัวน้อยเสียจริง ที่ได้ชื่อที่มารดาเป็นผู้ที่ตั้งให้“นามไพเราะ ความหมายดี…หมิงเอ๋อร์หลานย่า” จางซื่อยื่นมือไปรับหลานชายกลับมา เซี่ยเฟยหลงไม่ดื้อดึง ส่งทารกในห่อผ้ากลับคืนให้แก่มารดาทันที“จ้าวซื่อเป็นคนตั้งชื่อให้เขาใช่หรือไม่” นายท่านผู้เฒ่าเซี่ยเอ่ยถามหลานชายออกมา ก่อนที่จะกวักมือเรียกลูกสะใภ้ให้พาเหลนตัวน้อยมาให้เขาได้เชยชมบ้าง“ขอรับท่านปู่…นางตั้งชื่อบุตรชาย ส่วนข้าตั้งชื่อบ
หลังจากที่ตรวจพบว่า จ้าวฟางเซียนตั้งครรภ์ จางซื่อก็ได้ส่งแม่นมฉิน ให้มาทำหน้าที่คอยดูแลฮูหยินน้อยอย่างใกล้ชิด แม้เซี่ยเฟยหลงจะรับปากกับมารดาว่า เขาจะไม่ล่วงเกินภรรยา ขอเพียงแค่ให้เขาได้นอนกอดนางก็พอคราแรกจางซื่อก็ไม่ยินยอม ทว่าจ้าวฟางเซียนกลับช่วยพูดให้แม่สามีเข้าใจ จางซื่อจึงยอมอ่อนข้อให้แก่บุตรชาย ทว่ากลับให้แม่นมฉิน มานอนเฝ้าอยู่ที่หน้าฉากกั้นแทน เช่นนั้นแล้วหากเซี่ยเฟยหลงมีความคิดเหลวไหล ย่อมถูกแม่นมฉินจับได้“โหวเหย…ท่านต้องเห็นใจบ่าวด้วยสิเจ้าคะ บ่าวก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อนายหญิงท่านสั่งมา บ่าวจะกล้าขัดได้อย่างไรกัน”เซี่ยเฟยหลงจ้องหน้าแม่นมตาเขม็ง แม่นมฉินฉีกยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่จะสั่งให้คนนำตั่งตัวยาวมาวางไว้ ด้านหน้าฉากกั้น จ้าวฟางเซียนนึกขัน ให้กับใบหน้าของสามีที่กำลังบูดบึ้ง พลางมองไปยังแม่นมฉินด้วยแววตาอบอุ่นแม่นมฉินแคล้วคลาดจากความตายในความทรงจำของนาง หรืออาจจะเป็นเพราะนางมีครรภ์ ถึงได้ทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนไป นางเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เพราะถ้าหากเหตุการณ์ดำเนินไปตามที่นางเคยพบเจอแม่นมฉินจะต้องจากไปตั้งแต่ต้น
แสงทิวากำลังจะลาลับ พร้อมกับท้องฟ้าสีน้ำหมึกกำลังเปลี่ยนเข้ามาแทนที่ สองอาชาสองชายหนุ่ม ยังคงเร่งรีบฝ่าความมืดกลับเมืองหนานจงด้วยความคะนึงหา เซี่ยเฟยหลงไม่แม้แต่คิดที่จะหยุดพัก ในเมื่อเจ้านายไม่ยินยอมที่จะพัก ทั้งคนทั้งม้าจึงได้พากันอดทนจนถึงประตูเมืองหนานจงในเวลาดึกดื่นหากเป็นชาวบ้านธรรมดา มีหรือจะสามารถผ่านทหารเวรยาม ที่ทำหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมืองเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเซี่ยเฟยหลงคือผู้ใด ทหารเหล่านี้ย่อมรู้ดี ครั้นได้เห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยกลับมา ต่างก็พากันกล่าวต้อนรับการกลับมา ของผู้เป็นผู้บังคับบัญชาท่านแม่ทัพหนุ่มยามนี้ปลดชุดเกราะที่น่าเกรงขามออก เหลือเพียงอาภรณ์เยี่ยงคุณชายทั่วไปสวมใส่เท่านั้น เขาไม่พูดจากับทหารเหล่านี้ให้มากความ รีบกลับเข้าเมืองอย่างเร็วรี่ มุ่งหน้าไปยังจวนแม่ทัพของตน“พวกเจ้าอย่าคิดรั้งท่านแม่ทัพไว้นาน เขาเร่งรีบกลับมาย่อมคิดถึงภรรยา” นายทหารที่เป็นหัวหน้ากล่าวกับลูกน้องที่กำลังมองตามท่านแม่ทัพผู้องอาจ ควบอาชาหายไปในความมืดมิดครั้นมาถึงหน้าประตูจวน เซี่ยเฟยหลงสั่งห้ามมิให้ผู้ใด ไปรายงานให้คนด้านในทราบ เพราะเข
ณ ตำหนักไท่เหอ ราชสำนัก แคว้นจิ้นองค์รัชทายาทวัยสามสิบต้นๆ กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทน เพราะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ยังคงนอนป่วยรักษาตัวอยู่ ทำให้หน้าที่ดูแลบ้านเมือง ตกอยู่ในมือของเขาชั่วคราว อย่างชอบธรรม สีหน้าของเขายามนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก เป็นเพราะความต้องการของเขา ถูกเหล่าขุนนางเก่าแก่เหล่านี้ พากันกล่าวคัดค้านเขาย่อมรู้ดีว่ายามนี้ บ้านเมืองยังขาดความมั่นคง ยิ่งกับตัวเขาหากไม่สร้างผลงาน ไหนเลยจะขึ้นมานั่งบัลลังก์มังกรนี้อย่างภาคภูมิ เขาจึงอยากใช้การยึดเมืองหนานตงของแคว้นเจิ้ง มาเป็นผลงานเพื่อขึ้นครองราชย์ของตน ถึงอย่างไรบิดา ผู้เป็นกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว“จะทำเช่นนั้นมิได้พ่ะย่ะค่ะ ผู้สำเร็จราชการน่าจะรู้ดี ว่ายามนี้สถานการณ์ภายในของแคว้นจิ้นเรา ยังไม่เหมาะแก่การทำศึก อีกทั้งพวกเราเพิ่งจะสูญเสียแม่ทัพใหญ่อย่างท่านอู่ผา และกำลังทหารจำนวนหลายพันคนไป บ้านเมืองเรายังคงบอบช้ำอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ให้ดีด้วยเถิด”“ขอพระองค์ทรงโปรดคิดทบทวน และพิจารณาเรื่องนี้ใ