Masuk4
เขา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ! หนูนิด? ทำไมหนูนิดไม่บอกแม่”คุณขวัญฤดีและคุณเลอสรร ผู้เป็นแม่แท้ ๆ และพ่อเลี้ยงรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่ได้รับเรื่องจากจอมพลและธานีว่าตอนนี้ลูกชายกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล
“จอมพลกับธานีโทรไปบอกคุณลุงกับแม่เหรอคะ”
“ใช่ แต่ไม่ต้องไปว่าสองคนนั้นหรอก ไม่บอกน่ะสิจะเป็นเรื่องใหญ่”คุณเลอสรรบอก
“คุณลุงกับแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ ตอนนี้นนท์ดีขึ้นแล้ว ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนี้กันก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูนิดจะไปเบิกค่ารักษาพยาบาลก่อน”
“ของหนูนิดไม่ต้องเบิกหรอก เดี๋ยวใช้ของลุงดีกว่า”
“แต่ว่า..”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรนะ”เขาว่าขึ้นอีก แม้ว่ามารดาของเธอและท่านจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้ว ส่วนเธอและธนนท์ก็จดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรมของคุณเลอสรรแล้วก็ตาม แต่ณิชชยาก็ยังรู้สึกเกรงใจท่านอยู่ดี
“เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นจริง ๆ ดีกว่าค่ะคุณลุง หนูนิดไหวค่ะ”เธอยิ้มให้และยืนยันว่าไม่เป็นไรจริง ๆ เลอสรรจึงยอมให้ลูกบุญธรรมไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
....
“ค่ารักษาพยาบาลของคุณธนนท์มีคนจ่ายแทนไปแล้วนะคะ”เสียงของพยาบาลเอ่ยบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์
“ใครเป็นคนจ่ายคะ ฉันเป็นผู้ปกครองของคุณธนนท์ ต้องเป็นฉันที่เบิกค่ารักษาพยาบาลสิคะ?”เธอขมวดคิ้วมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้าของเธอ
“มีคนบอกว่าเป็นผู้ปกครองเหมือนกันค่ะ คุณแน่ใจนะคะว่าไม่มีคนอื่นแล้วนอกจากคุณคนเดียว”พยาบาลกล่าวกับเธอ ทำให้ณิชชยาต้องขมวดคิ้วหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะนอกจากเธอแล้ว.. “พ่อ?”
“พ่อน่ะเหรอ? ไม่มีทาง”เธอส่ายหน้าตัดทางเลือกนี้ออกไป ไม่มีทางที่จะเป็นภวัต พ่อแท้ ๆ ของเธอและธนนท์ได้แน่ เพราะคนอย่างเขาไม่มีทางรักใครจริงนอกจากตัวเอง..เธอเห็นมากับตาและรับรู้แล้วในวันนั้น “ขอบคุณนะคะ”
เธอตัดสินใจไม่ถามอะไรพยาบาลต่อ แต่ในหัวก็ยังคิดถึงเรื่องนี้ไม่หยุด ว่าใครกันที่เป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลของธนนท์ในราคาเต็มจนกว่าธนนท์จะออกจากโรงพยาบาล...โรงพยาบาลเอกชนที่ราคาแพงขนาดนี้ แค่วันสองวันก็รวมไปเป็นแสนแล้ว นี่ธนนท์ต้องอยู่เป็นเดือนจนกว่าจะหายดี ลำพังเธอเองก็ยังจ่ายทั้งหมดแทบไม่ไหว คนที่จ่ายได้ทั้งหมดขนาดนี้ก็คงไม่ใช่คนธรรมดา
“หรือว่า..ผู้ชายคนนั้นเหรอ?!”เธอเกือบจะลืมผู้ชายปริศนาคนนั้นไปเสียแล้ว ถ้าให้เธอเดาเขาต้องเป็นคนที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ธนนท์แน่ ๆ
“เป็นผู้หวังดีที่ประสงค์ร้ายน่ะสิไม่ว่า”เธอว่าก่อนจะพิมพ์ลงในช่องข้อความของชายปริศนาทันทีอย่างไม่กลัวว่าเขาจะทำร้ายเธอหรือไม่
“คุณเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้องชายฉันใช่ไหม?”
“ไม่มีหางเสียงเลยนะคุณ”
“คุณไม่ใช่คนที่ฉันเคารพ เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีหางเสียง”
“เมื่อก่อนยังน่ารักกว่านี้เลย”
“เมื่อก่อน?”
“หมายความว่ายังไง? คุณรู้จักฉันมาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“ว้า หลุดซะได้ เพราะคุณทำตัวไม่น่ารักใส่ผมแท้ ๆ เลย”
“หนูนิด”
“คุณ!”
“วันนี้ผมคุยกับคุณซะเยอะจนหายคิดถึงเลย เพราะงั้นวันนี้พอแค่นี้ดีกว่า..วันเจอกันวันต่อไปนะครับ..ฝันดี”
“เดี๋ยวสิ!”
“เดี๋ยวก่อน”
หลังจากนั้นบทสนทนาก็ได้จบลง เขาหายไปดื้อ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก “ไม่รู้สักทีว่าเขาเป็นใคร”
“รู้จักเรามาก่อนอย่างนั้นเหรอ?”
“เรียกเราว่าหนูนิดด้วย”พอลองทวนดู เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่เธอรู้จักก็ยังคงติดต่อกันอยู่ ไม่ได้หนีหายไปไหน และไม่น่าที่จะทำเรื่องแบบนี้กับเธอด้วย
“นึกให้ออกสิหนูนิด นึกให้ออกว่าเขาเป็นใคร นึกสิ!”ในเมื่อนึกถึงคำพูดของเขาไม่ได้ เธอก็ต้องลองนึกถึงน้ำเสียงของเขาที่พูดสายกับเธอดู มันต้องช่วยอะไรเธอได้สักอย่างนั้นแหละ ..เสียงทุ้มนิ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก..
“ผมรักหนูนิดนะ”
เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาในโสตประสาทของณิชชยา ทำให้เธอทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้ “ไม่จริง..”
ถึงจะบอกว่าไม่จริงแต่เสียงที่ซ้อนเข้ามาสลับกับเสียงที่เธอได้ยินจากปลายสายปริศนาช่างคล้ายกันเหลือเกิน
“ไม่จริง..จะเป็นได้ยังไง..เขารู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่ไหน”หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก้อนสะอึกตีขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคออีกครั้งหนึ่ง เพราะถ้าเป็นเขาจริง ๆ เธอจะทำยังไงต่อดีล่ะ? “อุตส่าห์หนีมาไกลขนาดนี้แล้วแท้ ๆ ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาเจอกันได้ล่ะ? ทำไมกันล่ะ?”
“หนูนิด!”
เสียงของพาทิศดังมาก่อนตัว เขารีบวิ่งเข้ามาเพราะเห็นว่าณิชชยากำลังนั่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ เสียงของคนรักทำให้ณิชชยาออกมาจากภวังค์และหันหน้าไปหาเขา “พี่พีท”
“นนท์ล่ะ?”
“นนท์อยู่อีกห้องค่ะ ตอนแรกหนูนิดอยากจะย้ายโรงพยาบาลไปอยู่ใกล้ ๆ บ้าน แต่ว่า..”
“แต่ว่า? แต่ว่าอะไรคะหนูนิด”
“ไม่มีอะไรค่ะ คุณลุงกับแม่อยู่หน้าห้อง พี่พีทเข้าไปก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูนิดขอไปเข้าห้องน้ำก่อน จะตามไปทีหลังค่ะ”เธอว่าเองเสร็จสรรพ พาทิศเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่พยักหน้าให้ หญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำและมองหน้าตัวเองที่กระจกในห้องน้ำอย่างเงียบ ๆ
แต่ยิ่งเงียบ ทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เธอนึกถึงเรื่องในอดีตที่เคยทำไว้กับคน ๆ นั้น..หรือว่าเขาจะกลับมาเพื่อเอาคืนเธอกัน?
“ปฐวี”
“ต้องเป็นปฐวีแน่ ๆ ”
“หนูนิดแน่ใจเหรอว่าจะไป”รัดเกล้าเพื่อนสนิทสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยของณิชชยาเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล เพราะข่าวจากเพื่อนสนิทเมื่อคืนจึงทำให้เธอรีบมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ “อืม หนูนิดจะลองไปคุยกับเขาดู”
“แต่เรื่องของหนูนิดกับนายปฐวีมันผ่านมานานมากแล้วนะ เกือบ..สิบปีได้แล้วมั้ง นายนั่นจะยังจำกันได้อยู่อีกเหรอ”
“ไม่รู้สิ แต่หนูนิดมั่นใจว่ายังไงก็เป็นเขา นิสัยของวี..เขาไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ ถ้าตัวเองไม่ชนะ ต้องชนะเท่านั้นถึงจะยอมเลิกทำอะไรแบบนี้”
“แต่วันนั้นหนูนิดก็บอกเขาไปแล้วนี่ว่าให้เลิกยุ่ง นี่หายไปเป็นสิบปีแล้วก็คิดว่าจะเลิกยุ่งแล้วซะอีก หมอนั่นทำตัวน่ารำคาญชะมัดเลย”
“ยังไงก็เถอะ หนูนิดฝากเกล้าดูแลนนท์อยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวหนูนิดจะรีบกลับมา”หญิงสาวบอกพร้อมกับรีบออกไปทันทีโดยที่ไม่ฟังเสียงของรัดเกล้าอีก ส่วนรัดเกล้าก็ทำอะไรไม่ได้
จะห้ามก็ห้ามไม่ได้ เพราะเป็นการตัดสินใจของเพื่อนสนิทที่ต้องการจะไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
....
“ไม่ทราบว่ามาพบใครคะ”
“คุณปฐวีค่ะ”
“ท่านรองหรือคะ?”หญิงสาวพนักงานต้อนรับเอ่ยถาม และมองณิชชยาตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะเสื้อผ้าหน้าผมของเธอเป็นเดรสสีขาวธรรมดา แต่งหน้าเบาเหมือนกับว่าไม่แต่ง กระเป๋าก็ธรรมดา รองเท้าก็ธรรมดา ทรงผมก็ธรรมดา ธรรมดาเกินกว่าที่จะรู้จักกับปฐวี รองประธานบริษัทแห่งนี้
“ใช่ค่ะ ถ้าคุณไม่เชื่อว่าฉันรู้จักกับเขาก็ลองเอาชื่อของฉันแจ้งขึ้นไปให้รองประธานของคุณเขาทราบก็ได้นะคะ”
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอชื่อของคุณด้วยค่ะ”พนักงานสาวถอนหายใจออกมาประหนึ่งว่าไม่ได้อยากจะทำงานตามหน้าที่ของตนเองนัก แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่โดนไล่ออกจะดีกว่า เพราะถึงณิชชยาจะดูธรรมดา แต่พอมองไปแล้ว รวม ๆ ก็ถือว่าสวยใช่ได้เหมือนกัน “ณิชชยาค่ะ”
“หรือจะบอกเขาว่าฉันชื่อหนูนิดก็ได้..เขารู้จักฉันดี”
“ท่านรองคะ มีแขกมาขอพบท่านรองคะ”
ในขณะเดียวกัน ปฐวีที่เพิ่งจะประชุมเสร็จ เขาออกมาจากห้องประชุมด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด และตอนนั้นเองก็ถูกขัดเวลาพักผ่อนจากเสียงของเลขาสาว ทำให้เขาหันไปถามด้วยความหงุดหงิด
“ถ้าจีมาก็ไล่ไปเลยนะ ผมไม่อยากคุยกับใครตอนนี้”
“ม..ไม่ใช่คุณจีค่ะ แต่เป็นแขกคนอื่น”
“ใคร?”
“แขกบอกว่าชื่อหนูนิด..เอ่อ คุณณิชชยาค่ะ เธอให้แจ้งว่าต้องการพบท่านรองเดี๋ยวนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
พอได้ยินชื่อของแขกคนใหม่ที่มาเยือนถึงบริษัทจากที่หงุดหงิดอยู่ก็กลับมายิ้มที่มุมปากก่อนจะสั่งให้พาณิชชยาเข้ามาที่ห้องรับรอง ‘ส่วนตัว’ ของเขาเอง
“สวัสดีค่ะ คุณปฐวี”เสียงห้วนของณิชชยาดังขึ้นตรงหน้าของชายหนุ่มในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาหรู
“พูดห้วนจัง พูดหวาน ๆ เหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”เขาว่าพร้อมยิ้มให้เธอ หากคนอื่นเห็นก็คงจะหลงใหลในรอยยิ้มอันแสนหวานของเขาไปแล้ว แต่สำหรับณิชชยานี่มันเป็นรอยยิ้มที่ออกจะกวนประสาทชวนตีเสียมากกว่า
“คุณเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดใช่ไหม”
“คุณพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ?”
“คุณเป็นคนโทรมาหาฉันว่านนท์อยู่ที่โรงพยาบาล แถมยังมากวนประสาทแล้วยังมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของนนท์แทนฉันอีก คุณต้องการอะไร บอกฉันมา ฉันจะได้หามาให้”
“คุณนี่ยังฉลาดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
“คุณอยากรู้จริง ๆ เหรอว่าผมต้องการอะไร ผมเชื่อเลยว่าถ้าคุณรู้ความต้องการของผม คุณทำไม่ได้แน่ ๆ ”
“.....”
“ผมต้องการตัวคุณ”
“และต้องการให้คุณเลิกกับนายพาทิศนั่นซะ”พอเห็นณิชชยาเงียบฟัง เขาก็ปรับน้ำเสียงให้จริงจังมากขึ้น..เขาต้องการให้เธอเจ็บที่สุด เจ็บมากกว่าที่เขาเจ็บ
“ว่ายังไง? คุณทำได้ไหมล่ะ?”
“ฉันทำให้คุณไม่ได้”
“เพราะฉันกำลังจะแต่งงาน”
“ผมรู้ว่าคุณกำลังจะแต่งงาน”
“แต่ผมไม่สน ในเมื่อคนรักของคุณยังไม่สนใจเลยว่าตัวเองกำลังจะแต่งงาน”เขาลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าของหญิงสาว ทั้งสองคนต่างคนต่างเงียบจนทำให้บรรยากาศภายในเหมือนสงครามเย็นที่ไม่สามารถหยุดได้ และยิ่งณิชชยายึดมั่นในความรักครั้งนี้ของเธอเท่าไร เขาก็ยิ่งหงุดหงิดอยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น
“เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้วนะวี”
“มันยังไม่จบ”
“ไปเจอคนที่ดีกว่านี้เถอะนะ หนูนิดขอร้อง”
.....
“ไม่”
“ที่ผ่านมาผมยอมคุณเพราะผมรักคุณ แต่ตอนนี้ที่ผมอยากได้คือความสะใจและความเจ็บปวดของคุณ เพราะฉะนั้นคุณเตรียมตัวรับมือกับความเจ็บปวดที่ผมมอบให้ได้เลย ผมไม่ออมมือให้คุณแน่”แววตาของปฐวีในตอนนี้แสดงออกมาแค่ความโกรธและความเกลียดที่มีให้แก่ณิชชยาเท่านั้น..แต่ความเกลียดนั้นจะเป็นความเกลียดจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ความเกลียดที่ต้องการทำให้คนที่เกลียดได้รับความเจ็บปวดเหมือนอย่างที่ตนเองได้รับ คนที่เคยรักมาก ๆ กลับเกลียดได้มากขนาดนี้จริง ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?
“คุณจะว่ายังไง จะเกลียด จะโกรธฉันยังไงก็เชิญเถอะค่ะ แต่อย่ามายุ่งกับครอบครัวของฉัน เพราะความแค้นของคุณมันเกิดที่ฉันคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”หญิงสาวยังคงนิ่ง ไม่แสดงความโกรธหรือสิ่งอื่นใดออกมาทั้งนั้น
เพราะเธอรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากอะไร
และสิ่งที่เธอทำมันก็เลวร้ายกับจิตใจของคนตรงหน้านี้จริง ๆ
6เด็กหนอเด็กแต่พอปาลิตาออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงแค่เขาและเธออยู่สองคน ต่างคนก็ต่างเงียบ ความกังวลของณิชชยายังคงอยู่จนปฐวีรู้สึกได้“คุณนั่งสิ เดินไปเดินมาก็ไม่ได้ทำให้คุณหมอออกมาตอนนี้หรอก”“คุณไม่ห่วงหลานชายคุณบ้างหรือไงคะ”“ห่วงสิ”“แต่มันก็เป็นเหตุสุดวิสัยอย่างที่คุณว่าจริง ๆ ”“ทำไมทีเรื่องนี้ถึงมีเหตุผลได้ แต่กลับเรื่องของเรา..”“ผมไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลกับเรื่องแบบนั้น เพราะคุณก็ไปโดยไม่มีเหตุผลอะไรให้ผมเหมือนกัน เพราะงั้นมันคนละอย่าง ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”เขาสวนกลับไปอย่างดื้อรั้นและหันหน้ากลับไปเหมือนเดิม ยังคงมีเพียงแค่หญิงสาวที่ยังคงมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด เมื่อก่อนเป็นยังไง ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม..ชอบเอาชนะเหมือนเดิม เอาแต่ใจเหมือนเดิม เธอคิดแค่นั้นก็เลิกคิด หันหน้าไปมองที่ห้องฉุกเฉินในใจก็ยังนึกกังวลเพราะคนป่วยเป็นแค่เด็กอายุไม่กี่ขวบทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างกันโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา เขาไม่ชวนเธอทะเลาะและเธอก็ไม่ชวนเขาคุย เวลาผ่านไปนานจนทำให้เขาและเธอเริ่มกลับมาเครียดอีกครั้งและหลังจากนั้นไม่นานนัก หมอและพยาบาลก็พากันออกมา“ตอนนี้น้องปลอด
5ฉุกเฉิน“แต่คุณคงจะลืมไปว่าก่อนที่ผมจะจัดการกับคุณ ผมต้องจัดการไอ้ตัวปัญหาให้พ้นก่อน..แต่ว่า..ไอ้ตัวปัญหาของคุณเนี่ย..”“คงเริ่มจัดการตัวเองไปแล้วเรียบร้อย”“พี่พีท..”หลังจากที่กลับมาถึงโรงพยาบาลเธอก็นึกถึงคำพูดของปฐวีไม่หยุด เพราะสายตาของเขามันบ่งบอกว่าเขากำลังอยู่เหนือเธอ“ปฐวีว่ายังไงบ้างหนูนิด”รัดเกล้าเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง ตอนแรกทั้งถามทั้งบ่นไปด้วยแต่ณิชชยาก็ยังคงเงียบและอยู่ ๆ ก็พูดชื่อคนรักขึ้นมา“เขาไม่ยอม หนูนิดว่าเขาต้องไปรู้เรื่องอะไรมาแน่ ๆ หนูนิดรู้สึกว่าเขาทำเหมือนว่าเขาอยู่เหนือหนูนิดทุกอย่าง”“จริง ๆ หมอนั่นก็อยู่เหนือหนูนิดมาตลอด..เกล้าหมายถึงว่า..”“ไม่เป็นไร เขาอยู่เหนือหนูนิดมาตลอดจริง ๆ เขาแค่อาจจะรู้สึกแพ้ที่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนที่โดนทิ้งไว้คนเดียว..โดยที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด”ณิชชยาว่าและยิ้มน้อย ๆ ให้เพื่อนสนิท รัดเกล้ามองเพื่อนสาวที่กลับเข้าไปในห้วงภวังค์ของตนเอง เธอปล่อยให้ณิชชยาตกอยู่ในห้วงความคิดนั้นไปจนกว่าจะดีขึ้น ส่วนเธอก็ทำได้แค่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่พูดอะไร“นึกสมัยมหา’ลัยเหมือนกันเนอะเกล้า”สักพักณิชชยาก็หันมาบอกเพื่อนสนิท รัดเกล้าเองก็หันหน้ามายิ้มให
4เขา“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ! หนูนิด? ทำไมหนูนิดไม่บอกแม่”คุณขวัญฤดีและคุณเลอสรร ผู้เป็นแม่แท้ ๆ และพ่อเลี้ยงรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่ได้รับเรื่องจากจอมพลและธานีว่าตอนนี้ลูกชายกำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล“จอมพลกับธานีโทรไปบอกคุณลุงกับแม่เหรอคะ”“ใช่ แต่ไม่ต้องไปว่าสองคนนั้นหรอก ไม่บอกน่ะสิจะเป็นเรื่องใหญ่”คุณเลอสรรบอก“คุณลุงกับแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ ตอนนี้นนท์ดีขึ้นแล้ว ทั้งสองคนนั่งอยู่ตรงนี้กันก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูนิดจะไปเบิกค่ารักษาพยาบาลก่อน”“ของหนูนิดไม่ต้องเบิกหรอก เดี๋ยวใช้ของลุงดีกว่า”“แต่ว่า..”“เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรนะ”เขาว่าขึ้นอีก แม้ว่ามารดาของเธอและท่านจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายแล้ว ส่วนเธอและธนนท์ก็จดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรมของคุณเลอสรรแล้วก็ตาม แต่ณิชชยาก็ยังรู้สึกเกรงใจท่านอยู่ดี“เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นจริง ๆ ดีกว่าค่ะคุณลุง หนูนิดไหวค่ะ”เธอยิ้มให้และยืนยันว่าไม่เป็นไรจริง ๆ เลอสรรจึงยอมให้ลูกบุญธรรมไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ....“ค่ารักษาพยาบาลของคุณธนนท์มีคนจ่ายแทนไปแล้วนะคะ”เสียงของพยาบาลเอ่ยบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่หน
3ผู้หวังดี“มึงอาจจะต้องลงแรงหน่อยเพื่อพิสูจน์ว่าที่พี่เขยของมึงว่ะ”“จริง คนแบบนี้น่าจะต้องเล่นละครสู้เขาหน่อย ใช้เด็กของมึงจัดการก็ได้นะ”“หรือไม่ ถ้ามึงยังจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นที่มึงเจอหน้าตาเป็นยังไง เจอที่ไหนก็หาตัวเธอแล้วเค้นถามเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องลงแรงมาก”สุดท้ายก็จบที่สถานบันเทิงอีกฟากหนึ่งของบ้าน เขาตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับธานีและจอมพลเพื่อนสนิทที่ติดมหาวิทยาลัยตามกันมา เพราะเขาเครียดจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พี่สาวของเขาเสียใจกับเรื่องแบบนี้น้อยที่สุด“กูไม่อยากให้พี่กูเสียใจเลยว่ะ ไม่อยากให้เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว”เขาว่าพร้อมนำน้ำสีอำพันเข้าปากไปรวดเดียว“กูรู้นะเว้ย ว่ามึงกับพี่หนูนิดผ่านอะไรมาบ้าง แต่ถึงมึงจะรักพี่สาวมึงมากแค่ไหน มึงก็ไม่มีทางห้ามได้หรอก ถึงมึงจะไม่บอก สักวันเขาก็ต้องรู้ว่าคนรักของเขาเป็นยังไง มึงห้ามความเสียใจของเขาไม่ได้”“ความลับมันไม่มีในโลก”“ใช่ สิ่งที่มึงต้องทำน่ะนะ คือคอยอยู่ข้าง ๆ พี่มึงในเวลาที่เขารู้สึกแย่และไม่ต้องไปคิดแทนเขา ว่าเขาจะเสียใจมากแค่ไหนที่โดนคนรักหักหลัง มึงก็รู้ว่าพี่หนูนิดอ่อนนอกแต่แข็งใน มึงก็เคยพูดนี่ว่าเขาเด็ดขาดมาก”
2มีเรื่อง“ได้มาแล้วครับท่านรอง ข้อมูลภายในแฟ้มนี้มีครบทุกคนแล้วครับ”เสียงของคุณธีร์ดังขึ้นพร้อมกับวางซองเอกสารสีน้ำตาลไว้บนโต๊ะทำงานของเจ้านาย“ขอบคุณมากครับ คุณจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ”เจ้านายว่าเท่านั้น คุณธีร์จึงก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนเดินออกไปปฐวีมองซองเอกสารสีน้ำตาลตรงหน้า เขาเปิดมันออกและอ่านด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งก่อนจะค่อย ๆ กำรูปภาพใบหนึ่งจนบางส่วนยับยู่ยี่เป็นรูปที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีไฟประทุอยู่ด้านในจิตใจอย่างยากที่จะทำให้มันดับลงได้ “มีความสุขดีจังเลยนะ”“คุณหมอพาทิศ อรุณเวช..”“อย่างนั้นเหรอ?”“มีความสุขได้แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ ณิชชยา”“น้องรัก?”พอดูข้อมูลสลับกับรูปภาพในมือก็พบเข้ากับรูปที่เด็กชายรักชลิต หลานชายของเขาอยู่ในอ้อมกอดของณิชชยาด้วยท่าทางที่มีความสุข แต่เสียงรบกวนก็เกิดดังขึ้นด้านหน้าของเขา มีเสียงต่อสายตรงเข้ามาหาเขาจนต้องเก็บทุกอย่างไว้ในลิ้นชักใต้โต๊ะทำงานทันที ทำให้ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องต่อ“ขออนุญาตค่ะท่านรอง”“มีอะไรครับ”“คุณจีรัณณ์มาขอพบท่านรองค่ะ ไม่ทราบว่า..”“เอ่อ! คุณจีคะ เดี๋ยวค่ะ!”ไม่ทันพูดจบก็มีเสียงห้ามแทรกเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวที่สวยสมบ
1รู้แก่ใจ“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ทำอะไร ผมแค่เดินของผมอยู่ดี ๆ ไอ้พวกนี้มันก็มาหาเรื่องผม คุณตำรวจต้องเชื่อผมนะ”ที่โรงพักไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเกิดเสียงดังขึ้นปาว ๆ กลางโรงพักเหตุเพราะนักศึกษามีเรื่องทำร้ายร่างกาย ได้แผลคนละแผลสองแผลแต่ก็ยังไม่พอใจจนตำรวจต้องพาพวกเขามาสงบสติอารมณ์ที่นี่“แต่มึงต่อยกูก่อนนะเว้ย พวกกูยังไม่ได้ทำอะไรเลย”“แต่มึงเดินมาหาเรื่องกู โถ่เอ้ยก็คิดว่าเก๋าเหมือนตอนเก๊กหาเรื่อง โดนกูซัดเข้าให้นิดเดียวร้องอย่างกับหมา ไอ้รุ่นพี่เวร”“ไอ้เด็กปีหนึ่ง มึงนี่!”“พอ ๆ นี่มันโรงพักนะ ตำรวจก็อยู่ข้างหน้ายังจะกล้าทะเลาะกันอีก ไปสงบสติอยู่ในคุกก่อนไป จ่าเอาตัวเข้าไปนอนในนั้นเลยไป ปล่อยกับไปเดี๋ยวได้มีเรื่องกันหน้าโรงพักแน่ แล้วขังแยกด้วยนะ เดี๋ยวได้ตีกันตายก่อน”“ไม่ได้นะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อยหมวด”“คุณธนนท์ คุณเป็นคนไปต่อยเขาก่อน ถือว่าคุณผิดแล้วนะ ยังจะมาเถียงอีก เข้าไปทั้งคู่นั่นแหละ อยู่ในนั้นจนกว่าผู้ปกครองจะมาประกันตัวแล้วกัน”“ไม่ได้นะหมวด! ปล่อยผมนะจ่า” ถึงจะพูดอย่างนั้นธนนท์ก็ยังคงมีท่าทีขัดขืนจนต้องส่ายหน้า“ขออนุญาตนะครับผู้หมวด”แต่พอพ้นสายตาไปไม่ถึงชั่วโมง ก







