“คุณหนูเจ้าคะ สวมชุดคลุมก่อนเจ้าค่ะ” สาวใช้ประจำตัววิ่งตามแทบไม่ทัน พร้อมกันนั้นในมือก็ยังมีชุดคลุมสีดำเตรียมไว้สำหรับพรางกาย ถึงอย่างนั้นก็มิวายถูกผู้เป็นนายดุด่า“ชักช้า รีบเดินเข้าสิ” หยู่เยียนกระชากชุดคลุมจากมือสาวใช้ จัดการสวมใส่มันด้วยตนเอง ยามนี้นางอารมณ์ไม่ดี เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด หากไม่คิดว่าต้องไปที่อื่น ก็คงจะกลับไประบายความโกรธที่จวนไปแล้วสองนายบ่าวออกจากที่ว่าการได้ก็ตรงไปจ้างรถม้ารับจ้าง มุ่งหน้าออกนอกเมือง หยู่เยียนนัดพบกับกลุ่มคนปริศนา นางรู้จักจากคำแนะนำของพ่อค้าที่มักซื้อสตรีจากครอบครัวหน้าโง่หากินจากบุตรหลาน เพื่อขายต่อหอคณิกา ครั้งก่อนอุตส่าห์เสียเงินไปตั้งมากเพื่อก่อกวนร้านบะหมี่ แต่ก็ล้มเหลว ยังดีที่พวกมันไม่ซัดทอดมาถึงตัวการ นังโง่เสี่ยวถิงมันพุ่งเป้าไปที่การล้างแค้นจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท คดีคราวนั้นจึงจบลงเพียงแค่จับพวกอันธพาลลงโทษขังคุกรถม้าคันเล็กทำให้สตรีงดงามด้านในแสนอึดอัด และรังเกียจเสียเต็มประดา ทั้งคับแคบและเหม็นอับ อยากจะรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว จะได้ไม่ต้องอยู่สถานที่สกปรกเช่นนี้นาน เมื่อมาถึงสถานที่นัดหมายเป็นอารามวัดร้าง บุรุษกลุ่มหนึ่งได้อ
“ยินดีด้วยนะขอรับท่านแม่ทัพ แม่นางเสี่ยวถิง” นายอำเภอหนุ่มปั้นหน้ายิ้มกล่าวแสดงความยินดี แม้จะรู้สึกเสียดายหลิวเสี่ยวถิงอยู่มาก แต่เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ปรับตัวไปตามสถานการณ์มากกว่าทำตามใจตน อะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวเขา และสิ่งนั้นไม่ได้สำคัญมากพอ จะไม่มีทางเอาตัวเข้าไปยุ่งเด็ดขาด เขาไม่เหมือนท่านแม่ที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด“ขอบคุณนายอำเภอหวัง ที่สละเวลาพักผ่อนมาช่วยจัดการให้” ไท่ฟงยืดอกรับคำยินดีนั่นด้วยความเต็มใจ ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งทำก็ตาม“หามิได้ขอรับ อย่างไรท่านเป็นถึงคนสำคัญจะให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนได้หรือ”ในขณะสองบุรุษเอาแต่ตอบโต้กันไปมา คนที่อยู่ข้างกายไท่ฟงก็เอาแต่ยืนนิ่งราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนนั้นนางกำลังนอนกลางวันอยู่แท้ ๆ พ่อตัวดีเข้าไปงัดออกมาจากที่นอน แล้วพานางขึ้นหลังม้าจากนั้นก็พามาถึงที่ว่าการอำเภอ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีนิ้วมือก็ถูกประทับบนทะเบียนสมรสไปเสียแล้ว“น้องหญิงเรากลับบ้านกันเถอะ”“น้องหญิง?” ช่างไม่ชินเอาเสียเลย กับสรรพนามใหม่ที่ถูกเรียกขาน นี่ข้ามีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือ“ก็ใช่น่ะสิ ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎห
ในขณะที่เสี่ยวถิงเอาแต่หัวหมุนกับเรื่องค้าขาย ทางด้านไท่ฟงก็ต้องเจอกับเรื่องลำบากใจไม่แพ้กัน ไม่คาดคิดว่าฮูหยินหวังมารดาของนายอำเภอหวังเหล่ย จะขอพบเขาด้วยตนเองหลังจากเสร็จการหารือกับเหล่าพ่อค้า ทั้งที่เขาเลี่ยงที่จะพบมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้กลับหนีไม่พ้น ไม่คิดว่าจะถูกดักรอถึงหน้าห้องรับรองในโรงเตี๊ยมเช่นนี้“เชิญฮูหยินด้านในขอรับ” แม่ทัพหนุ่มผายมือเชื้อเชิญฮูหยินผู้เฒ่าหวังเข้าห้องรับรอง ก่อนจะให้คนไปแจ้งขอใช้ห้องกับทางโรงเตี๊ยมอีกครั้งฮูหยินผู้เฒ่าหวังเดินตามแม่ทัพหนุ่มเข้าไปอย่างว่าง่าย หากไม่เพราะหลานรักขอร้องมา นางก็คงจะไม่ถ่อมาถึงที่นี่ แม้จะไม่พอใจหยู่เยียนอยู่มาก แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อตนเป็นคนให้ท้ายหลานสาวเองสตรีร่างท้วมแต่งกายงดงามหรูหราทั้งตัวมีแต่ของราคาแพงนั่งลงเก้าอี้ข้างแม่ทัพ ใบหน้าหรือก็เชิดขึ้นตามประสาคนเคยวางอำนาจเป็นประจำ ไท่ฟงรู้สึกเบื่อหน่ายและเอือมระอา สังหรณ์ใจเกรงว่าจะเกิดเรื่องให้ตนต้องลำบากใจ“ฮูหยินมีธุระอะไรกับข้าหรือขอรับ ถึงได้มาดักรอถึงที่นี่”“เฮ้อ.. ข้าจะพูดเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ จะอะไรซะอีก ก็เรื่องของเจ้ากับเยียนเอ๋อร์น่ะสิ ข้าขอพูดในฐานะที่เ
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสินค้าใหม่ที่เสี่ยวถิงจับมือร่วมกันทำการค้ากับกลุ่มการค้าตระกูลซู ได้รับการตอบรับอย่างเกินความคาดหมายหลังจากแจกสินค้าตัวอย่างให้ลองกินได้ไม่กี่วัน เพียงแค่เปิดตัวสินค้าวันแรกก็ขายดีถล่มทลาย ไม่เพียงพอต่อความต้องการด้วยซ้ำ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นสินค้าราคาถูก ชาวบ้านธรรมดาสามารถจับต้องได้ อีกทั้งรสชาติก็อร่อยไม่แพ้สินค้าราคาแพงเพราะของที่ต้องส่งออกจำหน่ายมีจำนวนมากเกินไป เสี่ยวถิงไม่สามารถใช้พื้นที่ในบ้านทำงานได้อีกต่อไป จำเป็นต้องสร้างโรงเก็บสินค้าขึ้นมาเพิ่มสามหลัง เพื่อให้เพียงพอต่อการจัดเก็บสินค้าทั้งนี้นางก็ไม่ลืมที่จะแจกจ่ายให้ชาวบ้านอันเล่อได้ลิ้มลองกัน ทำเอาทุกคนออกปากชมไม่ขาดปาก น้อยนักที่จะมีคนแจกจ่ายอาหารให้ผู้อื่นยามกำลังจะเกิดสงครามเช่นนี้ เพราะส่วนมากก็มีแต่จะกักตุนเสบียงไว้เพื่อตนเองกันทั้งนั้น“คุณหนูขอรับ วันนี้ข้าน้อยขอกลับบ้านสองสามวันได้หรือไม่ขอรับ” ตนเพิ่งได้รับจดหมายจากทางบ้านเมื่อเช้า มารดาล้มป่วยจึงอยากจะกลับบ้านไปหามารดาสักครั้ง ด้วยก่อนหน้าเขาทำงานเป็นเพียงกุลีแบกข้าว ค่าแรงไม่มากจึงไม่มีเงินมากพอที่จะเดินทางกลับ ได้แต่ส่งเงินจำนวนน้อย
“ความจริงแล้วข้าไม่มีตัวตนในโลกแห่งนี้เจ้าค่ะ” แววตาและสีหน้าของไท่ฟง ไม่บ่งบอกถึงความคลางแคลงใจ หรือเป็นตัวประหลาดเลยแต่อย่างใด ทำให้เสี่ยวถิงกล้าพอที่จะเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตนเองให้คนผู้นี้รับฟังได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ“โลกนี้หรือ นอกจากที่นี่ยังมีที่อื่นอีกหรือ”“ใช่เจ้าค่ะ มันถูกเรียกว่าโลกต่างมิติ เดิมทีจิตวิญญาณข้าอยู่อีกที่หนึ่ง แต่เพราะมีเหตุบางอย่างทำให้ข้ามาอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ สร้อยเส้นนี้คือของวิเศษที่ข้าได้มา ท่านผู้หนึ่งดึงข้ามาที่นี่ให้ไว้เจ้าค่ะ” เสี่ยวถิงปลดสร้อยวิเศษออกมา ก่อนจะยื่นมันให้ชายคนรัก“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ชื่อของเจ้าก็มาจากสร้อยเส้นนี้ด้วยสินะ” แสงวิบวับจากตัวอักษรก็พอจะทำให้เขาเดาที่มาของชื่อนางได้“ใช่เจ้าค่ะ สร้อยเส้นนี้สามารถเสกของทุกอย่างได้หมดเลยนะเจ้าคะ แต่ก็มีข้อจำกัด อย่างเช่นเงินทองของมีค่า และยาวิเศษเจ้าค่ะ”“เจ้าจงเก็บไว้ให้ดี อย่าให้หลุดไปอยู่ในมือใคร” ไท่ฟงสวมสร้อยคืนให้หญิงสาว แค่นางยอมบอกความจริงกับเขา ทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษสำหรับเสี่ยวถิงแล้ว นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนพิเศษสำหรับนางใช่หรือไม่“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่มีใครใช้มันได้นอกจา
เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้ซูเหนียงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก นางมั่นใจว่าหยู่เยียนตั้งใจมาแสดงตัวต่อหน้าเสี่ยวถิง อย่างไรก็คงมิได้มาด้วยเจตนาที่ดีอย่างแน่นอน เมื่อไปส่งน้องสาวคนสนิทขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว นางคิดว่าจะเกิดสงครามขึ้นเสียแล้ว ซูเหนียงก็พลอยโล่งใจที่ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นคล้อยหลังเสี่ยวถิงไม่นานหยู่เยียนก็ได้ก็ออกจากร้านตามไป ทำเถ้าแก่เนี้ยคนงามรู้สึกเป็นห่วงจึงได้สั่งให้คนของนางตามไปสังเกตการณ์“เรียนนายหญิง มิได้ตามไปขอรับ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงาน หลังจากเขาได้ตามรถม้าคันหรูไปถึงทางออก“ดีมาก เจ้าไปทำงานต่อเถอะ” นางรู้สึกโล่งใจไม่น้อย ที่หยู่เยียนไม่ได้ตามเสี่ยวถิงไปอย่างที่ตนคิด มิรู้ว่าป่านนี้ท่านแม่ทัพจะรู้เรื่องแล้วหรือยังด้านเสี่ยวถิงหลังจากกลับถึงบ้าน นางได้เตรียมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไว้สำหรับเป็นสินค้าตัวอย่างทันที เรื่องคนรักเก่าของท่านแม่ทัพนั้นนางมิได้นำมาใส่ใจการที่หยู่เยียนปรากฏตัวต่อหน้า เท่ากับว่าสตรีผู้นั้นอยากมีตัวตน ต่อจากนี้ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของฝ่ายชาย การที่นางใช้อารมณ์ เล่นไปตามหมากที่หยู่เยียนวางไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนหูเบาและไม่ไว้ใจในตัวคนรักหญิงสาว