“ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนู”
“…….” พี่เขาเงียบเอาแต่จ้องหน้าสีหน้าเขามันบอกอย่างชัดเจนว่าเอือมระอา เบื่อหน้าฉันเอามาก ๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวคนสวยพี่โมจิ กับพี่ผู้ชายสุดหล่อเข้ามาช่วย พี่พาร์ท เทพบุตรสุดหล่อคงไม่พามาที่โรงพยาบาลแน่นอน
“จะมองอีกนานมั้ย” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทำให้สติมันกลับคืนมา ก็จะอะไรเขาหล่อไงเลยเอาแต่มอง
“ขอโทษค่ะ ก็พี่หล่อหนูเลยอยากมองนาน ๆ ถือว่าเป็นบุญตา งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะ” ตอนนี้ก็บ่ายโมงแล้วจะกลับไปทำงานก็คงเดินไม่ไหว แค่จะเดินไปป้ายรถเมล์ยังคิดหนักเลย เฮ้อ
“รู้มั้ยเจอเธอทีไรฉันซวยทุกที แทนที่จะได้กินข้าวแต่ต้องพาใครก็ไม่รู้มาหาหมอ” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ขอโทษค่ะ ที่หนูทำให้พี่เดือดร้อน” สองมือยกขึ้นไหว้เขาแล้วเดินขากะเผลกไปที่ป้ายรถเมล์ ไม่ได้โกรธเขาหรอก ที่พี่เขาพูดแบบนั้นก็มันเป็นเรื่องจริง ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันมันคือตัวซวย! ไม่งั้นจะทำให้พ่อแม่ตายเหรอ
“เจ็บชะมัดเลย แล้วแบบนี้จะทำงานยังไงเนี่ย” กว่าจะเดินมาถึงป้ายรถเมล์ ก็ใช้เวลามากพอสมควร แล้วหมอคือบอก ห้ามเดินเยอะไม่เดินแล้วจะทำงานยังไง เฮ้อ...
ตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม กุมภาพันธ์ อีกแค่ 5 เดือนจะจบ ม. ต้องรีบหาเงินจะได้มีเงินเรียนต่อ ถึงจะไม่มีใครร่วมยินดีในวันที่ประสบความสำเร็จ
“หนูจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวหนู! ว่าหนูไม่ใช่ตัวซวย” ฉันแหงนหน้ามองขึ้นฟ้ายิ้มให้พ่อแม่ที่เฝ้ามองลงมาจากฟากฟ้าไกล
ฉันเชื่อแบบนั้นเชื่อว่าพวกท่านอยู่ข้าง ๆ คอยให้กำลังใจตลอด ที่ทุกคนบอกว่าฉันเป็นตัวซวยเพราะวันที่เกิดเป็นวันที่พ่อแม่สูญเสียทุกอย่าง ธุรกิจล้มละลาย จากที่เคยมีทุกอย่างก็ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
“ทำไมพ่อกับแม่ไม่เอาหนูไปด้วยนะ เธียร เหนื่อยจังเลยค่ะ” แค่คิดน้ำตามันก็จะไหล แต่ก็ผ่านมาแล้วทุกอย่าง แค่บางครั้งมันก็ต้องการใครสักคนที่คอยปลอบ อยู่ข้าง ๆ อยากมีชีวิตเหมือนคนอื่นที่ไม่ต้องดิ้นรน
แต่ก็ช่างเถอะคนเราเกิดมาต่างกันแค่มีกินไปวัน ๆ ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อก็พอแล้ว
“รอด้วยค่ะ” มัวแต่นั่งเหม่อรถเมล์มาก็เลยไม่เห็นดีนะเขาไม่ออกรถไปก่อน
“หลบ ๆ ๆ รีบ ชักช้า”
พรึบ
ตุ้บ
“โอ๊ย ดะ...เดี๋ยวก่อนรอหนูด้วย”
ทำไงล่ะทีนี้ กำลังจะก้าวขาขึ้นรถ มีผู้ชายวัยกลางคนที่ไหนไม่รู้เดินมาชนแล้วตัดหน้า แล้วข้อเท้ามันเจ็บเลยล้มก้นกระแทกพื้น แล้วรถบ้ามันก็ออกไปเลย
“รอก่อน” แต่ก็ไม่ทันแล้วกว่าจะพยุงตัวลุกขึ้นได้มันก็ไปไกลลิบ
“ฮึ เธอไม่ใช่แค่ตัวซวยของคนอื่นนะ ธีรดา แต่เป็นตัวซวยของตัวเองด้วย เอาไงล่ะทีนี้” จะทำไงได้ก็เดินสิ กว่ารถจะมาถึงป้ายก็อีกนาน หิวก็หิว เช้า เที่ยง คงต้องรวมเป็นมื้อเย็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไข่เจียวตามเคย อาหารที่อร่อยที่สุดเพราะมีปัญญาซื้อกินได้แค่นี้
“เจ็บเป็นบ้าเลย” แต่เดินยังไม่ถึงสามก้าว ก็ไม่ไหวแล้ว
“ทำไมไม่มีเจ้าชายแบบในนิยาย มาช่วย เวลาแบบนี้นะ ถ้าทุกอย่างมันดูง่ายเหมือนในนิยายเหมือนในซีรีส์ก็คงจะดี” ตื่น ๆ เลิกเพ้อแล้วรีบกลับบ้านได้แล้วยัยบ๊อง!!! นี่แหละฉันคนที่บ้า ๆ บอ ๆ ชอบเพ้อฝันจินตนาการทุกอย่างไป แต่คนเรามีฝัน ดีกว่าไม่มีนิ ยิ้มเข้าไว้สิ่งเดียวที่จะทำให้มีความสุข อย่าไปคิดมากกับสิ่งที่มันยังมาไม่ถึง
แต่สิ่งที่ต้องคิด และคิดตอนนี้คือจะเดินยังไงให้ตัวเองไม่เจ็บ นี่แหละเรื่องยากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
1 ชั่วโมงผ่านไป
สรุปยังอยู่ที่เดิมนั่งรอรถเมล์ รออย่างไม่มีความหวัง รอจนจะมืดแต่ทำไมรถมันไม่มาสักที หิวก็หิวแทบจะแทะเล็บตัวเองกินแล้ว ถ้ากินอิฐ หิน ดินทรายแถวนี้ลงไปได้คงกินเข้าไปแล้ว
คงไว้ได้แค่กลิ่น
ที่ไม่เคยเลือนราง
ยังหอมดังวันเก่า
ยามเมื่อลมโชยมา
ทิ้งไว้เพียงอดีต
ที่ไม่เคยหวนมา
ซ่อนเธอไว้ในใจ
ไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แค่นั่งฟังเพลงรอ อีกสัก 10 นาที ถ้าไม่มีรถมาคงต้องเดิน เจ็บหน่อยแต่ก็ต้องทน เกิดเป็นคนต้องไม่ยอมแพ้
“ขึ้นรถ”
“ไปขึ้นรถ คนเรียกไม่ได้ยินหรือไง แล้วเธอเป็นบ้าอะไรชอบทำให้ฉันเดือดร้อนอยู่เรื่อย”
แต่ระหว่างที่กำลังเพลิน ๆ ใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาแล้วดึงหูฟังออก แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นแหละ
“พี่พาร์ท” ถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง เขามาได้ไง เขาเป็นห่วงฉันแน่ ๆ เลย
“เอาไปของเธอ” เขาทำเสียงแข็งพร้อมยื่นกระเป๋าเงินให้
“ของหนู?” ฉันรับจากมือเขาพร้อมเกาหัวทำหน้าสงสัยลืมไว้ตอนไหน? แย่จริง ๆ เลย
“เธอนี่มัน” เขาขบกรามแน่น ฉันไปทำอะไรให้ทำไมต้องดุ แล้วเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ ฉันก็ได้แต่คิดว่าไปทำหล่นไว้ตอนไหน ดีนะไม่ได้ขึ้นรถเมล์ไม่งั้นได้โดยด่าหูชาแน่
“นี่!! จะนั่งบื้อ อีกนานมั้ย” แต่ต้องตกใจเมื่อเสียงเข้มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขามันดูไม่สบอารมณ์เลย
“เรียกหนูเหรอ” ฉันชี้นิ้วใส่ตัวเองมองซ้ายขวา แต่ตรงนี้มันมีฉันคนเดียว
“…..” สายตาคมกริบที่จ้องมามันดูน่ากลัวมาก ก็ใครจะไปรู้ว่าเรียกก็ไม่เห็นบอกอะไร ไม่พูดใครมันจะไปรู้ ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษนะ ถึงจะได้รู้ไปเสียทุกอย่าง
จ๊อก ๆ
“อดทนอีกนิดนะ จะถึงห้องแล้ว” ระหว่างที่นั่งอยู่บนรถอยู่ ๆ ท้องมันก็ร้อง ก็นี่มันจะหกโมงเย็นแล้ววันนี้ทั้งวันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้ำหยดเดียว แต่ก็ได้แค่ข่มใจเอามือลูบท้อง พูดบอกมันเบา ๆ
จ๊อก ๆ
“ขอโทษค่ะ” แต่ไอ้ท้องบ้านี่มันก็ไม่เชื่อฟังจะร้องอะไรนักหนา
“…….” แล้วพี่พาร์ทเขาถึงกับพ่นหายใจแรง ๆ ออกมาอย่างรำคาญ
“ใกล้ถึงแล้วพี่จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ถ้าจอดตรงนี้เดินอีกแค่ 500 เมตร ก็ถึงหน้าห้องเช่าแล้ว เห็นพี่เขาหงุดหงิดแบบนี้แล้วไม่อยากรบกวน แค่นี้มันก็มากพอแล้ว
“พะ... พี่จะไปไหน” แต่อยู่ ๆ เขาก็ตีไฟเลี้ยวกลับรถไปไหนไม่รู้
“ฉันไม่ หน้ามืดปล้ำเธอหรอก” เขาพูดแค่นั้นแล้วขับรถไปไหนไม่รู้ พอเห็นสายตาดุดันคู่นั้นก็ได้แต่นั่งจ้องหน้า จะพูดอะไรก็ไม่ได้เพราะตอนนี้มันหิวจนไม่มีแรงจะพูดอะไรแล้ว
“โอ๊ย” แต่อยู่ ๆ มันก็ปวดท้องขึ้นมา ปวดจนเหงื่อท่วมตัว มันปวดบิดอยู่ในท้องมันแสบ ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“เป็นอะไรของเธอ” พี่พาร์ท หันมาถาม
“ปะ... เปล่าหนูไม่ได้เป็นอะไร” ฉันฝืนยิ้มให้เขาไป แค่นี้พี่เขาก็รำคาญจะตายแล้ว
“ปวดท้อง” เขามองมาที่มือที่กุมหน้าท้อง
“เธอนี่มัน!! โธ่เอ๊ย!!” แล้วพี่พาร์ท ก็ไม่พูดอะไรแต่กลับเร่งความเร็ว ซึ่งตอนนี้มันก็ปวดจนแทบจะขยับตัวไม่ได้ เหงื่อมันเปียกโชกไปทั้งตัว...
“พี่พาร์ท” ตอนนี้เราสองคนอยู่หน้างาน และมือเท้ามันก็เย็นเฉียบรู้สึกประหม่าจนก้าวขาไม่ออก“กลัวอะไรฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคน” เขาหอมที่หัวหนัก ๆ หนึ่งทีแล้วเดินโอบเอว พาฉันเดินเข้าไปในงาน และพอเราสองคนเดินเข้าไปทุกสายตาก็มองมาที่ฉันเป็นตาเดียว“ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวปกติ” พี่พาร์ทพูดปลอบและพาฉันเดินตรงเข้าไปหากลุ่มนักธุรกิจกลุ่มหนึ่ง“สวัสดีครับ” พี่พาร์ททักทายพวกเขาอย่างนอบน้อม แต่ว่าทำไมทักทายภาษาไทยล่ะ“เอาคุณปรมินทร์ นึกว่าจะไม่มางานนี้ซะแล้ว” เขาพูดและยิ้มอย่างเป็นกันเองกับพี่พาร์ทและมองมาที่ฉัน“ธีรดา ภรรยาผมครับ” ก่อนพี่พาร์ทจะแนะนำให้ฉันที่ได้แต่ยืนอึ้งให้ทุกคนรู้จัก ที่อึ้งคือแล้วที่เขาให้เรียนหัดพูดภาษาจีนเพื่ออะไร เท่าที่มองดูในงานมีแต่คนไทยและเขาก็ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน“ภรรยา!!” ทุกคนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน“สวัสดีค่ะ” สองมือยกขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าแต่ต้องแอบจิกตากัดคนข้าง ๆ“พี่แกล้งหนูอีกแล้วนะ” ฉันพูดกระซิบกระซาบบิดเอวหนาแรง ๆ อย่างหมั่นไส้“......” พี่พาร์ทไม่พูดอะไรแค่ปรายตามอง และหันไปพูดคุยเรื่องธุรกิจแต่มือเขามันอยู่นิ่งเสียที่ไหน ลูบไล้แผ่นหลังสัมผัสมันชว
และแล้ววันที่ฉันกลัวก็มาถึง วันนี้เป็นวันที่จะต้องออกงานคู่กับพี่พาร์ทเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ออกงานสังคมแบบนี้ เฮ้อ.....“เธอต้องทำได้สิธีรดา” ร่างเล็กในชุดคลุม จ้องหน้าตัวเองในกระจก พูดให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำส่วนพี่พาร์ทไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้า จนป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก แค่โทรมาบอกให้แต่งตัวรอแล้วจะมารับ ดีนะที่แม่กับพี่ฟองเบียร์อยู่เลยปลีกตัวออกจากตัวเล็กได้ เหมือนน้องจะรู้ว่าคืนนี้ต้องกลับดึกงอแงไม่ยอมห่างอกทั้งวัน แต่พอพี่พอร์ช มาอุ้มไปเล่นไปกับคุณอาเฉย ลูกสาวใครนะ เห็นคนหล่อเป็นไม่ได้...“ว่าแต่จะทำไงล่ะเนี่ย” แต่งหน้าก็พอไหวแต่ทำผมจะทำทรงไหนดีถึงจะเข้ากับชุดที่พี่ญี่ปุ่นเตรียมไว้ให้ มันเป็นชุดราตรียาวสีดำดูเรียบ ๆ แต่แอบเซ็กซี่นิด ๆ หวังว่าใส่แล้วพี่พาร์ทคงจะไม่ฆ่าฉันทิ้งนะก๊อก ก๊อก ก๊อก“ใครคะ” ฉันที่กำลังแต่งหน้าเดินไปเปิดประตู“พี่พาร์ท” พร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้าที่มาพร้อมกล่องสีแดงขนาดใหญ่ในมือสองกล่อง“........” พี่พาร์ทเงียบไม่พูดอะไรเดินเอากล่องไปวางไว้บนเตียง แล้วเดินออกไปนอกห้องท่ามกลางความงุนงงของฉันที่ได้แต่มองตามแล้วเกาหัว
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” และก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปเมื่อพี่พาร์ทมีท่าทีแปลก ๆ เขาดูเงียบและกังวลมาก“พี่ไม่สบายหรือเปล่า” มือเล็กเอื้อมขึ้นไปแตะหน้าผากคนตัวโต“......” พี่พาร์ทเงียบ เอาแต่จ้องหน้ามอง เหมือนกับจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด“ดึกแล้วหนูว่าเรากลับกันมั้ย” ตัวเล็กหาว ไปหลายรอบแล้ว ตาหวานเยิ้มแล้วตอนนี้“คือ...ฉัน”“คือ...คืออะไรพี่ก็พูดมาสิคะ” ฉันพูดยิ้ม ๆ เดินเข้าไปกอดเขา“พี่จะขอหนูแต่งงานเหรอ? เมื่อวานที่ชายหาดพี่กำลังจะขอหนูแต่งงานแต่โดนขัดก่อนใช่มั้ย”“.......” เขาเงียบ แสดงว่าฉันพูดถูก“ทำไมคะ เขินเหรอ แค่ขอแต่งงานเอง”“เธอนี่ไม่มีความโรแมนติกเลยนะธีรดา” พี่พาร์ททำเสียงดุ“เอ้า อะไร มาดุหนูทำไมคะ ก็ตัวเองจะพูดก็ไม่พูด แค่ขอแต่งงานเองมันพูดยากตรงไหน ถ้าพี่เขินเดี๋ยวหนูขอพี่เองก็ได้ แต่สินสอด?” ฉันทำหน้าครุ่นคิดมองหน้าพี่พาร์ทแล้วยิ้มกริ่ม“เอาตัวหนูเป็นสินสอดแทนได้มั้ย” พร้อมทำท่าทางเหนียมอายเมื่อเขาเอาแต่มองหน้าพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น“ตะ....”“ชู่ว...เบา ๆ ค่ะตัวเล็กกำลังจะหลับ” ฉันพูดเสียงเบาเอามือลูบหลังตัวเล็กที่ค่อย ๆ โน้มหน้าซบลงที่ไหล่พ่อ ดวงตากลมโตคู่เล็กปรือตามองหน้
“ทำอะไรทำไมไม่ไปอาบน้ำแต่งตัว”“จะไปไหนได้พี่ก็ดูสิ”พรึบ!!ฉันเปิดผ้าห่มให้พี่พาร์ทที่เพิ่งเดินเข้ามาดูลูกสาวตัวน้อยสุดที่รักของเขา นอนอยู่บนตัวแม่ปากก็ดูดนม อีกมือก็จับเต้า สองขาเต้นขย่ม เฮ้อ...เด็กหญิงพลอยชมพูจอมแสบ“ไม่ต้องมายิ้มเลย แม่เจ็บนะ” ตัวเล็กผละริมฝีปากจากเต้าส่งยิ้มหวานให้พ่อและแม่แล้วอ้าปากงับดูดนมต่อ แล้วคุณเธอก็เล่นอยู่แบบนั้นนานเป็นชั่วโมง กว่าจะยอมลงจากตัวแม่ เฮ้อ...ถึงจะเหนื่อยจะเจ็บบ้างแต่มันก็คือความสุข อีกหน่อยน้องโตเขาก็จะค่อย ๆ ห่างจากเราไปเรื่อย ๆ เลยอยากอยู่ใกล้ชิด มอบความรักให้ลูกเท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้“ตัวเล็กมาหาป๊า ให้แม่ไปแต่งตัว” พี่พาร์ทรับตัวเล็กที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จที่ยิ้มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่ได้แกล้งแม่“ไปอาบน้ำฉันพาลูกไปเดินเล่นรอ” มือหนาลูบมาที่หัวพร้อมดึงร่างเล็กเข้าไปกอด“เจ้าค่ะ หนูจะรีบอาบน้ำแต่งตัว ทุกคนจะได้ไม่ต้องรอนาน” สองแขนกอดเอวหนาไว้แน่น ก่อนจะหอมแก้มพ่อลูกคนละหนึ่งฟอดใหญ่แล้ววิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำฉันใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเท่าไร แต่ต้องมาหนักใจจะใส่ชุดไหนดี?“เสร็จแล้วค่ะ” ฉันรีบวิ่งออกจากห้องไปหาพี่พาร์ทและคนอื่น ๆ ที่รอ
“เป็นอะไรคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น” ฉันก็ไม่น่าถามพี่พาร์ทเลย หน้าบึ้งแบบนี้จะมีอะไรนอกจากงอนลูก ตอนนี้ตัวเล็กไม่สนใจป๊าเลย เล่นสนุกอยู่กับเหล่าอา ๆ ที่ดูจะหลงหลานสาวตัวน้อย โดยเฉพาะขุนศึกที่น้องพลอยติดมากกว่าคนอื่น ห่างกันเป็นไม่ได้ร้องตามตลอด“........” พี่พาร์ทไม่พูดอะไร กลับหันมามองค้อน เสียอย่างนั้น“เกี่ยวอะไรกับหนู หนูจะไปรู้ได้ไงว่าน้อง ๆ พี่จะตามมา” น่าขำจริง ๆ เวลาที่พี่พาร์ทงอน งอแงกว่าน้องพลอยอีก“ถือว่าได้พักผ่อนค่ะ มีคนช่วยดูลูกก็ดีแล้ว หนูดีใจนะ ที่ทุกคนรักและเอ็นดูน้องพลอย พี่รู้มั้ยตอนที่น้องเกิดวันแรก พยาบาลที่ทำคลอดอุ้มน้องไม่ยอมวางเลย”“พี่รู้มั้ยว่าหนูรู้สึกดีมากแค่ไหนที่ทุกคนไม่รังเกียจน้อง” ความรู้สึกวันนั้นที่คลอดตัวเล็กมันยังจำไม่เคยลืม มันเป็นความเจ็บปวดที่สวยงาม มันเป็นความทรงจำที่จะไม่มีวันลืม“รักตั้งแต่แรกเจอ รักทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยได้เจอหน้า ครั้งแรกที่ได้อุ้มลูกมือหนูสั่น จนพี่ณัฐต้องช่วยอุ้ม” ฉันพูดไปยิ้มไปพร้อมน้ำตาเม็ดใสที่มันไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว“หนูเข้าใจว่าพี่หวงลูก แต่นั่นมันน้องพี่นะคะ คุณป๊าขี้หวงไม่งอแงสิ เห็นมั้ยตัวเล็กสนุกใหญ่เลย” ฉันรีบเปลี่ยนเ
“พี่พาร์ท! ตื่นได้แล้วสายแล้วนะ”“ตื่น!! หิวข้าว!!”“......” เงียบไร้ซึ่งคำตอบจากคนตัวโตที่นอนนิ่งไม่ขยับตัว ฉันกับตัวเล็กอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเป็นชั่วโมงแล้วแต่พี่พาร์ท กลับไม่ยอมตื่น“พี่พาร์ทหนูหิว...ตื่นมาทำอาหารให้กินก่อน แล้วค่อยนอนต่อ”“......” เขายังคงเงียบและค่อย ๆ ลืมตา มองหน้าฉันกับลูก สมน้ำหน้าเมื่อคืนแกล้งฉันดีนัก พอตอนเช้ามาตัวเองตื่นสายเอง“ไปเลยค่ะ หนูหิวแล้ว กินข้าวเสร็จพาไปเดินเล่นด้วย หนูอยากพาน้องไปเดินริมชายหาดฝั่งโน้น” ฉันพูดและยิ้มให้พี่พาร์ทที่ยังทำหน้างัวเงีย“ฉันเป็นผัวเธอนะเธียร ไม่ใช่คนรับใช้ที่จะต้องมาคอยทำอาหารให้เธอกิน” บ่นเป็นตาแก่ไปได้“ก็เป็นผัวนั่นแหละหนูถึงใช้ อยากกินฝีมือพี่ พี่ทำอร่อย นะคะ ไปทำให้หน่อยหิว” ฉันยิ้มตาหยีให้พี่เขาที่เอาแต่ส่ายหัว ก่อนร่างหนาจะค่อย ๆ ลุกออกจากเตียง“รอป๊าก่อนนะครับ ป๊าไปทำอาหารให้แม่หนูก่อนแล้วเราไปเดินเล่นกัน” เขาพูดยิ้มกับลูกอย่างอารมณ์ดี ตัวเล็กก็อ้อนเอาใจยิ้มหวานให้พ่อ“ส่วนเธอใช้งานฉันหนักไปแล้วนะ เดี๋ยวเถอะ”ฟอด“แหวะ...เหม็นไม่ต้องมาหอมหนูเลยไปทำอาหารก่อนหิวจนจะกินพี่ เข้าไปได้ทั้งตัวอยู่แล้ว” ทำเป็นมาหอม ก่อนหน้