เรามาถึงร้านตอนสองทุ่มครึ่ง ยัยคะนิ้งก็สั่งเครื่องดื่มมาเต็มโต๊ะจนฉันสงสัย สรุปคือนัดผู้ชายมาอีกแล้ว ฉันอยากจะบ้า
และผู้ชายคนนั้นก็คงหนีไม่พ้นพี่คิวเพราะช่วงนี้ยัยนิ้งมันคลั่งผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
“ได้ยินว่าพี่เขามีแก๊งที่สนิทกันสี่คน แต่พวกผู้หญิงที่คุยกับเขาไม่เคยมีใครได้ไปเจอ เพราะพี่เขาจะไม่พาไป” ยัยนั่นยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่รู้เพ้อฝันอะไรอยู่ “ฉันว่าถ้าเป็นคนสำคัญกับพี่เขาต้องพาไปแน่”
“...” ฉันนั่งฟังยัยนั่นพูดไป ตั้งแต่เข้าร้านมาก็พูดถึงแต่เรื่องผู้ชาย นี่ละยัยคะนิ้ง
“แกว่าพี่เขาเป็นไง”
“เจ้าชู้ นิสัยไม่ดี” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเล่นมือถืออย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันว่าเขาไม่ได้เจ้าชู้นะ เหมือนยังไม่เจอคนที่ถูกใจมากกว่า” นั่นละเหตุผลของคนเจ้าชู้ มันหนักกว่าคนนอกใจเป็นล้านเท่าเพราะทำคนเสียใจมากกว่าหนึ่ง “แล้วเขานิสัยไม่ดีตรงไหน แกอคติกับเขาทำไมเนี่ย”
“ถามจริง ทำไมคนนี้แกจริงจังวะ แค่เล่น ๆ ไม่ใช่เหรอ” เอาจริง ๆ ฉันไม่อยากให้มันจริงจังกับคนนี้เลย ดูเขาไม่แคร์ใครสักคนนอกจากตนเอง
“เอาจริงนะ ถ้าพี่เขายอมคบฉัน ฉันจะเลิกกับน้องบอล” คำตอบของคะนิ้งทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามองมันทันที
“แต่น้องบอลไม่เคยทำให้แกเสียใจเลยนะ ตั้งสติหน่อย แกจะเลือกคนแบบพี่คิวแล้วทิ้งคนที่เขารักเดียวใจเดียวเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าหากันจนรู้สึกปวดตุบ ๆ ที่หัวไปหมด
“ฉันชอบความท้าทาย แต่บอลดูจืดชืดว่ะ ไม่มีปัญหามาให้ตื่นเต้นเลย อีกอย่างก็อยู่ไกลกันอะ ฉันเหงา”
เหตุผลของพี่ดรีมก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม เพราะฉันมันจืดชืดและไม่น่าตื่นเต้น ฉันดูเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวสำหรับเขา
เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเปลี่ยนตนเองมาเป็นพวกชอบแต่งตัวแต่งหน้าหลังจากที่เราเลิกกัน แต่ก็เหมือนเป็นการเปลี่ยนเพื่อตนเองเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็กลับมาหากันไม่ได้อีกแล้ว
หรือต่อให้เขากลับมา ตอนนี้ฉันก็คงไม่คิดจะคบเขาอีก
“...” ฉันได้แต่เงียบ ไม่อยากพูดต่อ
สักพักพี่คิวก็มานั่งกับเรา มากับเพื่อนอีกคนชื่อวิล เพื่อนไม่ซ้ำหน้าเลย ผู้หญิงก็คงเช่นกัน
ฉันยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วก้มเล่นมือถือเงียบ ๆ คนเดียวอยู่อย่างนั้น ยัยคะนิ้งก็ชวนพี่สองคนคุยไปอย่างอารมณ์ดี
“น้องเตยนี่ติดมือถือเหรอ” เสียงของพี่คิวที่พูดถึงฉันทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาก็ยิ้มแบบทุกครั้งส่งมาให้
“เปล่าค่ะ แค่ไม่มีอะไรทำ” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วก้มเล่นมือถือต่อ
“มันอกหักค่ะพี่คิว วันนี้ไปเจอแฟนเก่ามากับเมียใหม่ เขาจะแต่งงานกันเดือนหน้า”
“คะนิ้ง” ฉันเรียกชื่อเพื่อนเพื่อเตือนสติ “เรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนนอกฟังหรือเปล่า”
“คนนอก...” ได้ยินเสียงพี่คิวหัวเราะออกมาในลำคอ ฉันจึงหันไปมอง เขาก็กอดอกอมยิ้มโดยที่มองลงไปยังแก้วของตนเองเหมือนคิดว่าฉันเป็นตัวตลก
“คบกันนานเหรอ” พี่วิลถามและหันมาสนใจฉัน จากที่ตอนแรกสนใจดูถ่ายทอดสดฟุตบอลอยู่
“ห้าปีค่ะ” ยัยคะนิ้งตอบแทนฉัน
“แล้วเลิกกันทำไม ขอโทษนะที่ถามเยอะ พี่จะได้ปลอบใจถูกวิธี” พี่วิลพูดแล้วหัวเราะออกมา
“เขานอกใจค่ะ” อันนี้ฉันตอบเองแล้วยิ้มออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ทั้งที่เมื่อกลางวันยังแอบร้องไห้อยู่เลย
“เออ พี่ก็ว่าแปลกนะ ทำไมคนเราถึงชอบทิ้งคนที่คบกันมานานแล้วเลือกคนที่แอบคุยกันไม่กี่เดือน บางทีก็คุยกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ” ฉันก็สงสัยอย่างที่พี่วิลสงสัยเหมือนกัน
แต่เหตุผลมันก็คงเหมือนกับยัยคะนิ้งตอนนี้
“คนเก่ามันไม่น่าตื่นเต้นมั้งคะ”
“แอบกินกันมันตื่นเต้นกว่าไง” คำพูดนี้ดังมาจากปากของพี่คิว เขาพูดแล้วปรายตามามองฉันพร้อมกับเหยียดยิ้มออกมา
เรื่องนี้มันก็กระทบทุกคนละ แต่ฉันกลับอยากเอาขวดเหล้าตรงหน้าทุบหัวเขาสักที พูดแบบนี้ต้องการจะสื่อถึงเรื่องฉันกับเขาอยู่หรือเปล่าเพราะสายตาและรอยยิ้มมันสื่อแบบนั้น
“พี่คิวคงชอบ แต่เตยไม่ชอบ” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเบือนหน้าหนี ก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเหมือนเดิม
“ไม่ชอบจริง ?”
“...” ฉันจ้องหน้าเขาแล้วก็หลบสายตาเจ้าเล่ห์นั่นกลับมา ถ้ามองกันนานกว่านี้ยัยคะนิ้งคงได้สงสัยแน่
“เพราะอย่างนี้ไงแกถึงโดนทิ้ง หัดทำตัวให้มันน่าตื่นเต้นบ้างดิ” ยัยคะนิ้งพูดแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับมองพี่คิว
“...” ฉันพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะยกแก้วตนเองขึ้นดื่มจนหมด “ฉันอยากกลับแล้ว แกอยู่กับพี่เขาได้ใช่ไหม”
“เอ้า ! เออ ๆ ตามใจแก กลับเองนะ” ยัยนั่นตอบแบบไม่ต้องคิด ฉันจึงลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กของตนเองขึ้นมาถือไว้
“ลาค่ะ” ฉันบอกพวกพี่ ๆ แล้วยกมือไหว้ก่อนจะหมุนตัวกลับมา
ฉันไม่น่าออกมากับมันเลย มาเสียความรู้สึกเปล่า ๆ
พอออกมานอกร้านได้ฉันก็เรียกรถแต่คงไม่กลับหอ หงุดหงิดแบบนี้ไปนั่งร้านเหล้าคนเดียวคงสบายใจกว่า
คิดได้ดังนั้นฉันก็นั่งรถมาอีกร้าน สั่งเครื่องดื่มเบา ๆ มานั่งดื่มคนเดียว ร้านนี้อยู่ห่างจากร้านเมื่อกี้ไม่ไกลนัก บรรยากาศสบาย ๆ คนก็ไม่ได้เยอะเท่าไร เพลงก็เป็นแนวช้า ๆ เหมาะกับคนกำลังอกหัก
ซึ่งจะรวมฉันเข้าไปด้วยอีกคนก็คงไม่ผิด
“หวัดดี” ขณะที่กำลังนั่งมองนักร้องร้องเพลงเพลิน ๆ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา ฉันจึงหันไปมองแล้วยิ้มให้ตามมารยาท
“ค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ” เขาถามแล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉัน “ขอนั่งชนแก้วด้วยได้ไหม”
“อ๋อ ได้ค่ะ” ฉันตอบแล้วยิ้มให้ ก่อนจะยื่นแก้วไปชนกับเขา
เราคุยกันไปสักพักก็ได้รู้ว่าเขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน อยู่ปีสามคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ชื่อ ซัน หน้าตาดีมากเหมือนกัน เขามากับเพื่อนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะห่างจากฉันไม่กี่โต๊ะ
“แล้วเตยมายังไง”
ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วฉันจึงขอตัวกลับ คิดเงินแล้วออกมาจากตรงนั้น
“เราเรียกรถมา”
“ให้ไปส่งไหม” เขาเดินตามออกมาแล้วถามขึ้น ตอนนี้เพื่อน ๆ ของเขาก็แซวกันใหญ่
“ไม่เป็นไร เรากลับเองได้” ฉันบอกแล้วส่งยิ้มให้อีกเช่นเคย
“ไม่ได้เมาใช่ไหม” คำถามเหมือนเป็นห่วง แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่คิดไม่ดีก็ถามแบบนี้เหมือนกัน
“ไม่เมา” ที่จริงก็มึนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับไม่ไหว
“งั้นเราขอไลน์ได้ป้ะ”
ฉันพยักหน้าให้แล้วจึงรับมือถือของเขามากดไอดีตนเอง กดแอดเพื่อนแล้วส่งกลับไป
“เราไปก่อนนะ” ฉันหันไปบอกเพราะรถที่เรียกมารับมาถึงพอดี
“โอเค ถึงหอบอกด้วยนะ”
จะว่าไปแล้วเขาก็ดูเป็นคนดีนะ ไม่ได้ดูเจ้าชู้อะไร ออกจะเป็นคนใจดีมาก ๆ ด้วย
“เตย !” ไม่ทันที่จะเดินไปถึงรถเขาก็เรียกชื่อฉันอีกครั้ง
“ว่า”
“โสดใช่ไหม”
ฉันไม่ได้ตอบออกไปแต่พยักหน้าให้เขาแล้วยิ้มออกมาก่อนจะเดินขึ้นรถกลับหอตนเอง
พอมาถึงหอก็เห็นรถของใครบางคนที่คุ้น ๆ ตาจอดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่คนที่ฉันคิดไว้หรือเปล่า เพราะฉันดันจำป้ายทะเบียนรถเขาไม่ได้นี่สิ
ถ้าใช่เขาก็คงจะมาเอาของที่ลืมไว้ละมั้ง แต่ขอภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้แล้วกัน เพราะฉันเพิ่งจะบอกกับตนเองไปว่าจะพยายามไม่เจอเขาแบบนี้อีก
แต่สุดท้ายก็ต้องเจออยู่ดีเพราะโลกตั้งใจเหวี่ยงผู้ชายคนนี้มาให้ฉันสินะ หรือไม่เขาก็เหวี่ยงตนเองเข้ามาหาฉัน
“นั่งรถกลับหอนานจัง” นี่คือคำทักทายของเขาและรอยยิ้มกวน ๆ แบบเดิม
“...” ฉันไม่ตอบ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“คนขับเขาคงขับรถวนรอบเมืองเลยมั้ง” พี่คิวยังคงพูดต่อแล้วเดินตามฉันมาจนถึงหน้าห้อง
“แล้วพี่ยุ่งอะไร”
“เมียทั้งคนก็ต้องห่วงหรือเปล่า”
พิเศษใส่ไข่หลังจากที่คุยกันไว้ว่าเราจะไปเที่ยวในวันหยุดของพี่คิวแล้ว สถานที่ที่เราเลือกไปก็เป็นทะเล เป็นเกาะที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศโชคดีว่าวันที่เราเดินทางมาไม่ใช่วันหยุดของคนส่วนใหญ่ ทำให้ผู้คนบางตาและสงบมากกว่าที่คิดไว้ บวกกับเกาะแห่งนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ที่พักไม่แอะอัด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ตั้งใจมาพักผ่อนและหาที่เงียบสงบอยู่กันใต้หล้ากับไต้ฝุ่นเล่นทรายด้วยกัน มีอุปกรณ์ที่พ่อของพวกเขาขนมาให้มากมาย หลังจากจัดการกับลูกแล้วพี่คิวก็เดินมาหาฉันที่กำลังจัดแจงของกินเล่นซึ่งสั่งมาจากร้านใกล้ ๆ นี้“ถ่ายรูปไหม เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”พี่คิวถามเพราะเห็นว่าฉันแต่งตัวเตรียมพร้อมมาเพื่อถ่ายรูปแล้ว ที่พี่คิวยอมให้ใส่ทูพีซตัวนี้มาก็เพราะว่านักท่องเที่ยวไม่มาก เวลานี้มันก็ไม่โป๊มากเพราะมีเสื้อคลุมตัวยาวบาง ๆ คลุมอยู่“ถ่ายสิ แต่งตัวมาขนาดนี้แล้ว”ฉันบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปลื้องเสื้อคลุมตัวนั้นออกแล้วเดินนำสามีตนเองออกไปตรงบริเวณชายหาด เวลานี้แดดค่อนข้างแรง ฉันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนักเพราะปกติทำงานอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยโดนแดดอย่างนี้“สวย ๆ นะ แบบรูปเดียวลงได้เลย”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถือกล้องไว้ในระ
ตอนพิเศษ 4หลายปีต่อมาเราตัดสินใจมีเด็ก ๆ ไว้เป็นเพื่อนยามเหงาสองคน จากนั้นก็ทำการปิดอู่ทันทีเพราะฉันกับพี่คิวคิดไว้แล้วว่าจะให้เขามีพี่น้องไว้คอยปรึกษากัน ทีแรกตั้งใจจะให้อายุห่างกันสักสามปีแต่คนที่สองดันมาไวกว่าที่คิดคนพี่ชื่อใต้หล้า คนน้องชื่อไต้ฝุ่น เป็นชื่อที่พี่คิวตั้งให้เขาทั้งคู่ เรามีลูกชายทั้งสองคนขณะที่ใบชากับพี่ฮ่องเต้นั้นมีลูกชายหนึ่งกับลูกสาวอีกคน คนโตชื่อน้องฮัท แก่กว่าใต้หล้าหนึ่งปี แต่คนน้องนั้นอายุเท่าไต้ฝุ่น ชื่อว่าน้องฮานึล ตอนนี้กำลังน่าหยิกเลยทีเดียว“คุณแม่ !!”เสียงของใต้หล้าดังขึ้นมาแต่ไกล เขาจูงมือน้องชายที่อายุได้เพียงสามขวบเดินเข้ามาด้วย แต่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังจะร้องไห้“น้องเป็นอะไรคับ”“ฮือ ~”ทันทีที่ฉันย่อตัวไปถามลูกชายเขาก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮทันที ก่อนจะโผตัวเข้ามากอดฉันราวกับอัดอั้นตันใจ“ฝุ่นจะแย่งรถของใต้ ก็เลยล้มเอง” ลูกชายวัยห้าขวบอธิบายเมื่อฉันหันไปมองเขาเพราะต้องการเหตุผล“ฝุ่นล้มเองเพราะซนใช่ไหมครับ” ฉันดันตัวลูกชายออกอย่างเบามือแล้วถามเขาด้วยความเป็นห่วง “เจ็บตรงไหนไหมเอ่ย”“ตงนี้ ~ ฮึก” เขาตอบเสียงสั่นเจือด้วยเสียงร้องไห้เบา ๆ“ไม่ร้อ
ตอนพิเศษ 3ฉันหัวเราะใส่พี่คิวอย่างนึกตลก คนที่เคยเก่งเรื่องอย่างว่าพอโดนแกล้งถึงกับหน้าเสีย จนฉันต้องยอมหยุดแกล้งแต่โดยดี“เตยล้อเล่น”“เดี๋ยวเถอะ ร้องจริงนะ” พี่คิวทำหน้าเครียดแต่มือก็อยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามผิวกายของฉันทั่วร่างจนขนอ่อน ๆ ของฉันมันลุกชันจากสัมผัสนั้นฉันก็แกล้งเขาไปไม่จริงจัง ทั้งที่จริงสำหรับฉันแล้วพี่คิวคือที่สุด เพราะเขาคือคนแรกและคนเดียวของฉัน ไม่คิดอยากมีใครมาแทนที่อีกแล้ว“อื้อ !”ฝ่ามือเย็นเฉียบของเขาลูบลงที่ต้นขา ขยับมาที่ขาอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมาที่กลีบดอกไม้สีระเรื่อและใช้ปลายนิ้วนั้นลากผ่านเพื่อแหวกเข้าหารอยแยกที่ผลิแย้ม“แกล้งกันดีนัก” เขาทำเสียงแข็ง แทรกนิ้วเข้าไปในช่องทางรักที่เริ่มมีน้ำหวานระบายออกมาจากการถูกสัมผัสที่ปลุกเร้าหัวใจของฉันวาบหวาม ถึงแม้จะเป็นคนที่คุ้นเคยแต่มันไม่เคยชินกับการถูกรุกล้ำตรงส่วนนั้นเลยสักนิด เหมือนมันคือการเริ่มใหม่ ราวกับเป็นครั้งแรก“อ๊า... พี่คิวขา เตยเสียว” ฉันร้องกระเส่าไม่รู้ตัวเมื่อถูกนิ้วเรียวยาวนั้นสอดแทรกและขยับเคลื่อนที่เข้าออกเนิบนาบ ปรนเปรอปลุกเร้ากลายเป็นความสยิวซ่านอย่างต่อเนื่องเขาใช้นิ้วกลางจ้วงแทงจนเกิดเป็น
ตอนพิเศษ 2“ประจำเดือนมาไหม เดือนนี้รู้สึกว่าไม่วานให้ไปซื้อของ”“ไม่”“ขาดไปกี่วันแล้ว”พี่คิวตั้งคำถามที่ตอนนี้มันถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับเราสองคน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ละก็ฉันคงได้อายหน้าร้อนแน่ ๆ ก็มีที่ไหนล่ะที่จะมาถามเรื่องแบบนี้กัน“ห้าวันแล้วค่ะ แต่ช่วงนี้เตยนอนไม่ค่อยหลับเลยคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตรงนั้น”“ลองตรวจดูหรือยัง หืม” เสียงพี่คิวยังคงถามต่อ หลังจากที่เขาเพิ่งเลิกงานมา ไม่รู้ไปโดนอะไรเข้า วันนี้ถึงได้เซ้าซี้นัก“ยังเลย ที่ซื้อมาก็หมดแล้วค่ะ ตรวจบ่อย วันนี้ก็ลองตกแต่งรูปขายของทั้งวัน ลืมไปเลย”ช่วงนี้ฉันรู้สึกว่าตนเองเบื่อ ๆ เพราะอยู่บ้านคนเดียวไม่มีอะไรทำ เลยขอพี่คิวสั่งของจากร้านค้าต่างประเทศมาขาย ก่อนหน้านี้ลองสั่งมาน้อย ๆ ลงขายในแพลตฟอร์มต่าง ๆ พอจับจุดได้ เจอตัวที่ขายดีเลยสั่งมาถ่ายรูปเอง ลงโพรโมตเพิ่มยอดขายได้มากเลยทีเดียว“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ทำแก้เบื่อ อย่าจริงจังจนเครียด” พี่คิวพูดแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวพี่ไปซื้อ”เขาจริงจังกับการพยายามมีลูกมากถึงแม้ว่าจะแพ้พนันพี่ฮ่องเต้ เพราะใจจริงเราสองคนก็อยากมีเจ้าตัวน้อยไว้กอดเหมือนกัน หลังจากวั
ตอนพิเศษ 1หลังจากที่เราทั้งคู่ตัดสินใจว่าอยากมีเจ้าตัวน้อยไว้เชื่อมความสัมพันธ์ หลังจากวันนั้นเราก็เลือกโรงพยาบาลเพื่อคอยรับคำปรึกษาและคอยดูแลเราสองคนต้องเข้าตรวจสุขภาพและรับประทานยาบำรุงตามที่หมอสั่ง หลังจากนั้นก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผลตรวจที่ออกมาแน่นอนว่าเราสองคนยังสุขภาพสมบูรณ์และแข็งแรง ไม่มีโรคร้ายใด ๆ สามารถมีลูกได้“ลองโหลดแอปนี้มาแล้ว เขาบอกว่าดี” พี่คิวยื่นโทรศัพท์ของเขาที่หน้าจอกำลังแสดงแอปพลิเคชันหนึ่งซึ่งหน้าตาคล้ายปฏิทินวันนี้เป็นวันหยุดของพี่คิว วันที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่วันนี้คุณหมอก็ยังคงนัดตรวจร่างกายอีกครั้งเพื่อติดตามผลและตรวจร่างกายเพิ่ม“นับวันไข่ตก”“...” เขาไม่ตอบแต่ยิ้มกริ่มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบแทน“แม่นยังไงพี่คิว”“ก็ถ้าเราอึ๊บ ! กันช่วงที่เป็นสีชมพูโอกาสท้องก็มีเยอะมาก ๆ ไง” เขาพูดหน้าตาเฉยแต่ฉันกลับใบหน้าร้อนวาบ“ทุกวันเลยเหรอ เตยก็ตายพอดี ไม่ได้พัก” ฉันยัดโทรศัพท์ของเขากลับไปให้ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง รอให้ความร้อนบนใบหน้ามันลดลงถึงหันกลับมามอง แต่พี่คิวก็ยังยิ้มอยู่“พี่ศึกษามาแล้วครับ ถ้าอยากได้ลูกที่เก่งและสมบูรณ์เราต้องพักวั
EP. 41เราซื้อบ้านอยู่ด้วยกันสองคนแถวชานเมือง แต่ไม่ได้ใกล้กับบริษัทที่พี่คิวทำงานเท่าไร นั่นเป็นเพราะเขาวางแผนจะลาออกในปลายปีนี้และออกมาทำบริษัทของตนเองโดยหุ้นกับเพื่อนสนิทอีกสามคนเรียกว่าแยกย้ายกันไปเก็บประสบการณ์และกลับมาสร้างฐานตนเองนั่นละ“พี่คิว...” ฉันกรอกเสียงใส่ปลายสายอย่างอ้อน ๆ เพราะจะวานให้เขาซื้อของสำคัญให้(ครับ ว่าไง)“กลับมาแล้วใช่ไหมคะ เตยจะฝากซื้อยา”(ได้ ยาอะไร)“ยาคุมไง เมื่อคืนบอกไปแล้วว่ามันหมด ขาดไปหนึ่งวันแล้วด้วย เดี๋ยวเตยส่งรูปให้นะ พี่คิวแค่ยื่นให้เภสัชดู” (ครับ)แล้วฉันก็จัดการถ่ายรูปกล่องยาคุมกำเนิดที่รับประทานประจำให้พี่คิวทางกล่องข้อความแอปพลิเคชันไลน์ ก่อนกลับมาเตรียมกับข้าวบนโต๊ะกินข้าวต่อ จะว่าไปแล้วการอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันก็เหงาพอสมควร จากที่ตอนแรกฉันคิดว่าจะหางานทำแต่พี่คิวไม่ยอม บอกว่าให้อยู่บ้านไปก่อนจะได้ดูแลสามีได้เต็มที่ และตอนที่เปิดบริษัทด้วยกันกับเพื่อนจะให้ฉันมีตำแหน่งเป็นคนทำบัญชีด้วยชีวิตที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันแต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันโคตรน่าเบื่อเหลือเกิน หรือฉันควรจะหาน้องหมามาเลี้ยงสักตัวดีนะ“คิดถึง...” “อ๊ะ พี่คิว จานเกือบร