Masukเรามาถึงร้านตอนสองทุ่มครึ่ง ยัยคะนิ้งก็สั่งเครื่องดื่มมาเต็มโต๊ะจนฉันสงสัย สรุปคือนัดผู้ชายมาอีกแล้ว ฉันอยากจะบ้า
และผู้ชายคนนั้นก็คงหนีไม่พ้นพี่คิวเพราะช่วงนี้ยัยนิ้งมันคลั่งผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
“ได้ยินว่าพี่เขามีแก๊งที่สนิทกันสี่คน แต่พวกผู้หญิงที่คุยกับเขาไม่เคยมีใครได้ไปเจอ เพราะพี่เขาจะไม่พาไป” ยัยนั่นยิ้มกรุ้มกริ่ม ไม่รู้เพ้อฝันอะไรอยู่ “ฉันว่าถ้าเป็นคนสำคัญกับพี่เขาต้องพาไปแน่”
“...” ฉันนั่งฟังยัยนั่นพูดไป ตั้งแต่เข้าร้านมาก็พูดถึงแต่เรื่องผู้ชาย นี่ละยัยคะนิ้ง
“แกว่าพี่เขาเป็นไง”
“เจ้าชู้ นิสัยไม่ดี” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเล่นมือถืออย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันว่าเขาไม่ได้เจ้าชู้นะ เหมือนยังไม่เจอคนที่ถูกใจมากกว่า” นั่นละเหตุผลของคนเจ้าชู้ มันหนักกว่าคนนอกใจเป็นล้านเท่าเพราะทำคนเสียใจมากกว่าหนึ่ง “แล้วเขานิสัยไม่ดีตรงไหน แกอคติกับเขาทำไมเนี่ย”
“ถามจริง ทำไมคนนี้แกจริงจังวะ แค่เล่น ๆ ไม่ใช่เหรอ” เอาจริง ๆ ฉันไม่อยากให้มันจริงจังกับคนนี้เลย ดูเขาไม่แคร์ใครสักคนนอกจากตนเอง
“เอาจริงนะ ถ้าพี่เขายอมคบฉัน ฉันจะเลิกกับน้องบอล” คำตอบของคะนิ้งทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามองมันทันที
“แต่น้องบอลไม่เคยทำให้แกเสียใจเลยนะ ตั้งสติหน่อย แกจะเลือกคนแบบพี่คิวแล้วทิ้งคนที่เขารักเดียวใจเดียวเหรอ” ฉันถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าหากันจนรู้สึกปวดตุบ ๆ ที่หัวไปหมด
“ฉันชอบความท้าทาย แต่บอลดูจืดชืดว่ะ ไม่มีปัญหามาให้ตื่นเต้นเลย อีกอย่างก็อยู่ไกลกันอะ ฉันเหงา”
เหตุผลของพี่ดรีมก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม เพราะฉันมันจืดชืดและไม่น่าตื่นเต้น ฉันดูเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวสำหรับเขา
เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเปลี่ยนตนเองมาเป็นพวกชอบแต่งตัวแต่งหน้าหลังจากที่เราเลิกกัน แต่ก็เหมือนเป็นการเปลี่ยนเพื่อตนเองเท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเราก็กลับมาหากันไม่ได้อีกแล้ว
หรือต่อให้เขากลับมา ตอนนี้ฉันก็คงไม่คิดจะคบเขาอีก
“...” ฉันได้แต่เงียบ ไม่อยากพูดต่อ
สักพักพี่คิวก็มานั่งกับเรา มากับเพื่อนอีกคนชื่อวิล เพื่อนไม่ซ้ำหน้าเลย ผู้หญิงก็คงเช่นกัน
ฉันยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วก้มเล่นมือถือเงียบ ๆ คนเดียวอยู่อย่างนั้น ยัยคะนิ้งก็ชวนพี่สองคนคุยไปอย่างอารมณ์ดี
“น้องเตยนี่ติดมือถือเหรอ” เสียงของพี่คิวที่พูดถึงฉันทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาก็ยิ้มแบบทุกครั้งส่งมาให้
“เปล่าค่ะ แค่ไม่มีอะไรทำ” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วก้มเล่นมือถือต่อ
“มันอกหักค่ะพี่คิว วันนี้ไปเจอแฟนเก่ามากับเมียใหม่ เขาจะแต่งงานกันเดือนหน้า”
“คะนิ้ง” ฉันเรียกชื่อเพื่อนเพื่อเตือนสติ “เรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนนอกฟังหรือเปล่า”
“คนนอก...” ได้ยินเสียงพี่คิวหัวเราะออกมาในลำคอ ฉันจึงหันไปมอง เขาก็กอดอกอมยิ้มโดยที่มองลงไปยังแก้วของตนเองเหมือนคิดว่าฉันเป็นตัวตลก
“คบกันนานเหรอ” พี่วิลถามและหันมาสนใจฉัน จากที่ตอนแรกสนใจดูถ่ายทอดสดฟุตบอลอยู่
“ห้าปีค่ะ” ยัยคะนิ้งตอบแทนฉัน
“แล้วเลิกกันทำไม ขอโทษนะที่ถามเยอะ พี่จะได้ปลอบใจถูกวิธี” พี่วิลพูดแล้วหัวเราะออกมา
“เขานอกใจค่ะ” อันนี้ฉันตอบเองแล้วยิ้มออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ทั้งที่เมื่อกลางวันยังแอบร้องไห้อยู่เลย
“เออ พี่ก็ว่าแปลกนะ ทำไมคนเราถึงชอบทิ้งคนที่คบกันมานานแล้วเลือกคนที่แอบคุยกันไม่กี่เดือน บางทีก็คุยกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ” ฉันก็สงสัยอย่างที่พี่วิลสงสัยเหมือนกัน
แต่เหตุผลมันก็คงเหมือนกับยัยคะนิ้งตอนนี้
“คนเก่ามันไม่น่าตื่นเต้นมั้งคะ”
“แอบกินกันมันตื่นเต้นกว่าไง” คำพูดนี้ดังมาจากปากของพี่คิว เขาพูดแล้วปรายตามามองฉันพร้อมกับเหยียดยิ้มออกมา
เรื่องนี้มันก็กระทบทุกคนละ แต่ฉันกลับอยากเอาขวดเหล้าตรงหน้าทุบหัวเขาสักที พูดแบบนี้ต้องการจะสื่อถึงเรื่องฉันกับเขาอยู่หรือเปล่าเพราะสายตาและรอยยิ้มมันสื่อแบบนั้น
“พี่คิวคงชอบ แต่เตยไม่ชอบ” ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเบือนหน้าหนี ก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเหมือนเดิม
“ไม่ชอบจริง ?”
“...” ฉันจ้องหน้าเขาแล้วก็หลบสายตาเจ้าเล่ห์นั่นกลับมา ถ้ามองกันนานกว่านี้ยัยคะนิ้งคงได้สงสัยแน่
“เพราะอย่างนี้ไงแกถึงโดนทิ้ง หัดทำตัวให้มันน่าตื่นเต้นบ้างดิ” ยัยคะนิ้งพูดแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับมองพี่คิว
“...” ฉันพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะยกแก้วตนเองขึ้นดื่มจนหมด “ฉันอยากกลับแล้ว แกอยู่กับพี่เขาได้ใช่ไหม”
“เอ้า ! เออ ๆ ตามใจแก กลับเองนะ” ยัยนั่นตอบแบบไม่ต้องคิด ฉันจึงลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กของตนเองขึ้นมาถือไว้
“ลาค่ะ” ฉันบอกพวกพี่ ๆ แล้วยกมือไหว้ก่อนจะหมุนตัวกลับมา
ฉันไม่น่าออกมากับมันเลย มาเสียความรู้สึกเปล่า ๆ
พอออกมานอกร้านได้ฉันก็เรียกรถแต่คงไม่กลับหอ หงุดหงิดแบบนี้ไปนั่งร้านเหล้าคนเดียวคงสบายใจกว่า
คิดได้ดังนั้นฉันก็นั่งรถมาอีกร้าน สั่งเครื่องดื่มเบา ๆ มานั่งดื่มคนเดียว ร้านนี้อยู่ห่างจากร้านเมื่อกี้ไม่ไกลนัก บรรยากาศสบาย ๆ คนก็ไม่ได้เยอะเท่าไร เพลงก็เป็นแนวช้า ๆ เหมาะกับคนกำลังอกหัก
ซึ่งจะรวมฉันเข้าไปด้วยอีกคนก็คงไม่ผิด
“หวัดดี” ขณะที่กำลังนั่งมองนักร้องร้องเพลงเพลิน ๆ เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา ฉันจึงหันไปมองแล้วยิ้มให้ตามมารยาท
“ค่ะ”
“มาคนเดียวเหรอครับ” เขาถามแล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉัน “ขอนั่งชนแก้วด้วยได้ไหม”
“อ๋อ ได้ค่ะ” ฉันตอบแล้วยิ้มให้ ก่อนจะยื่นแก้วไปชนกับเขา
เราคุยกันไปสักพักก็ได้รู้ว่าเขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน อยู่ปีสามคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ชื่อ ซัน หน้าตาดีมากเหมือนกัน เขามากับเพื่อนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะห่างจากฉันไม่กี่โต๊ะ
“แล้วเตยมายังไง”
ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วฉันจึงขอตัวกลับ คิดเงินแล้วออกมาจากตรงนั้น
“เราเรียกรถมา”
“ให้ไปส่งไหม” เขาเดินตามออกมาแล้วถามขึ้น ตอนนี้เพื่อน ๆ ของเขาก็แซวกันใหญ่
“ไม่เป็นไร เรากลับเองได้” ฉันบอกแล้วส่งยิ้มให้อีกเช่นเคย
“ไม่ได้เมาใช่ไหม” คำถามเหมือนเป็นห่วง แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่คิดไม่ดีก็ถามแบบนี้เหมือนกัน
“ไม่เมา” ที่จริงก็มึนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับไม่ไหว
“งั้นเราขอไลน์ได้ป้ะ”
ฉันพยักหน้าให้แล้วจึงรับมือถือของเขามากดไอดีตนเอง กดแอดเพื่อนแล้วส่งกลับไป
“เราไปก่อนนะ” ฉันหันไปบอกเพราะรถที่เรียกมารับมาถึงพอดี
“โอเค ถึงหอบอกด้วยนะ”
จะว่าไปแล้วเขาก็ดูเป็นคนดีนะ ไม่ได้ดูเจ้าชู้อะไร ออกจะเป็นคนใจดีมาก ๆ ด้วย
“เตย !” ไม่ทันที่จะเดินไปถึงรถเขาก็เรียกชื่อฉันอีกครั้ง
“ว่า”
“โสดใช่ไหม”
ฉันไม่ได้ตอบออกไปแต่พยักหน้าให้เขาแล้วยิ้มออกมาก่อนจะเดินขึ้นรถกลับหอตนเอง
พอมาถึงหอก็เห็นรถของใครบางคนที่คุ้น ๆ ตาจอดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่คนที่ฉันคิดไว้หรือเปล่า เพราะฉันดันจำป้ายทะเบียนรถเขาไม่ได้นี่สิ
ถ้าใช่เขาก็คงจะมาเอาของที่ลืมไว้ละมั้ง แต่ขอภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้แล้วกัน เพราะฉันเพิ่งจะบอกกับตนเองไปว่าจะพยายามไม่เจอเขาแบบนี้อีก
แต่สุดท้ายก็ต้องเจออยู่ดีเพราะโลกตั้งใจเหวี่ยงผู้ชายคนนี้มาให้ฉันสินะ หรือไม่เขาก็เหวี่ยงตนเองเข้ามาหาฉัน
“นั่งรถกลับหอนานจัง” นี่คือคำทักทายของเขาและรอยยิ้มกวน ๆ แบบเดิม
“...” ฉันไม่ตอบ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“คนขับเขาคงขับรถวนรอบเมืองเลยมั้ง” พี่คิวยังคงพูดต่อแล้วเดินตามฉันมาจนถึงหน้าห้อง
“แล้วพี่ยุ่งอะไร”
“เมียทั้งคนก็ต้องห่วงหรือเปล่า”
"ไงมึง วางแผนกันดิบดีสุดท้ายก็แพ้เมีย" เสียงของพี่ฮ้องเต้ดังขึ้น น้ำเสียงปนหัวเราะของเขาบ่งบอกว่ากำลังเยาะเย้ยพี่ทศกัณฑ์อยู่ตอนนี้ฉันยืนแอบอยู่ตรงมุมตึกซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกเขานั่งไม่กี่เมตร ทำให้ได้ยินบทสนทนาชัดเจน"…" พี่ทศกัณฑ์เงียบกริบไม่รู้ว่าถ้าเขาไม่รู้ว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้จะเป็นแบบนี้มั้ยอาจจะคุยโม้ก็ได้ใครจะไปรู้"มึงมันไม่ได้เรื่อง เป็นพี่ว้ากจนน้องปีหนึ่งปีสองกลัวแต่มาแพ้ให้เด็กอักษรคนเดียว เหอะ" พี่คิวพูดออกมาเหมือนเสียอารมณ์เพราะเป็นคนคิดแผนทั้งที"มึงก็รอรับชะตากรรมแบบกูได้เลย" พี่ทศกัณฑ์พูดเสียงเบาหวิว จนฉันแอบสงสารจับใจ"กูไม่มีทางกลัวเมียแบบมึงแน่นอน ผู้หญิงก็แค่ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด""มึงไม่กลัวเตยเลยเหรอ" พี่ทศกัณฐ์ถามซ้ำ"กลัวทำไม ยัยนั่นดิต้องกลัวฉันขาดฉันไปซักคนเตยคงอยู่ไม่ได้ ร้องไห้แงๆ"โอ้อวดนักนะ เดี๋ยวโดนดีแน่พี่คิว!"พี่ทศกัณฑ์!" ฉันเดินเข้าไปเงียบๆ แล้วเรียกพี่ทศกัณฑ์เสียงดัง จนพี่ๆ หันมามองกันพรึบ ส่วนพี่นธีขมวดคิ้วมองฉันอย่างไม่เข้าใจ พี่ชายทั้งคนอ่านออกแน่ๆ"ยะ…ญานิน มาได้ไง" เก่งมากคุณแฟน เสียงสั่นแบบไม่ต้องซ้อมมา"เดินมาค่ะ""น้องญาน
"…" เงียบอยู่นั่นแหละไม่คิดจะพูดอะไรเลยใช่มั้ย หรือว่าเขาไม่อยากคบฉันแล้ว แววตาของเขาที่มองเหมือนกำลังลังเลบางอย่างอยู่เลย"นินทำอะไรผิดหรือเปล่า ทำไมพี่ไม่บอกถ้านินผิดก็พร้อมจะแก้ไข แต่พี่ทศกัณฑ์ไม่ให้โอกาสนินได้รับรู้เลย อึก...อยู่ๆ ก็ไม่เห็นค่ากันแบบนี้""ญานิน…" เขาเรียกชื่อฉันเบาๆ ขณะที่ฉันเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้"พี่เบื่อนินแล้วใช่มั้ย พี่ทศกัณฐ์ไม่รักนินแล้วใช่มั้ย...ฮึก""ไม่ใช่" เขาตอบแล้วค่อยๆ เอื้อมมือมากุมมือฉันพร้อมกับถอนหายใจเขาดันตัวฉันลงกับเตียงอีกรอบ ใช้นิ้วเรียวยาวลูบปัดน้ำตาออกจากพวงแก้มของฉันอย่างอ่อนโยน"ที่จริงแล้วแค่อยากจะทดสอบ แต่ตอนนี้พี่คงแพ้อีกแล้ว" เขาพูดแล้วจ้องตาฉันนิ่ง"หมายความว่ายังไง" คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของฉันเบิกกว้างแล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วชนกัน"…" เขาพ่นลมหายใจออกมาแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนกำลังลำบากใจที่จะพูด "เพราะคิดว่าช่วงนี้เราชอบเอาแต่ใจ ก็เลยอยากดัดนิสัยนิดหน่อย จะได้หันมาง้อพี่บ้างไม่ใช่ตัวเองถูกทุกอย่าง" เขาอธิบายแบบเหนี่ยมอายนิดหน่อยนี่มันอะไรกันเนี่ย…"อย่าบอกว่าที่แกล้งยุ่งกับงานก็เพราะอยากลองดูการกระทำของนินด้วย""…" พยักหน้าเป็นคำตอบ"แล้
Tossakan talk"ไอ้เชี่ยมึงใจเย็น นิ่งไว้ๆ""ฮ่าๆ มึงท่องไว้พุทธโธๆ เดี๋ยวแม่งเสียแผนหมด"เสียงของไอ้เต้กับไอ้คิวที่เกลี้ยกล่อมให้ผมใจเย็น ทั้งที่ภาพตรงหน้าคือผู้ชายกำลังเกาะแกะแฟนผมอยู่แล้วพวกมันก็มาฉุดรั้งตัวผมที่แทบจะพุ่งตัวไปหาญานิน ขณะที่ไอ้นธีเอาแต่นั่งยิ้มน้อยๆ มองผมเหมือนดูหนังตลกตลกเชี่ยไรเดี๋ยวเมียมันเจอมั่งจะรู้สึก"ถ้ามึงเข้าไปตอนนี้น้องมันรู้แน่ว่ามึงไม่ได้ยุ่งกับโปรเจ็ค แต่มาตามดูน้องมันอะ" ไอ้คิวบอกแต่กลับยิ้มขำ "แล้วที่มึงทำมาทั้งหมดน้องก็จะคิดว่ามึงโกหก""เออ มึงต้องนั่งดูอย่างใจเย็น"ใจเย็นอะไรของมันวะ ตอนนี้เหมือนกองไฟในอกผมมันกำลังจะปะทุออกมาอยู่แล้ว"มึงจะทำเสียแผนนะเว่ย จากที่จะดัดนิสัยน้องกลายเป็นน้องได้ดัดนิสัยมึงแทน"'แผน' ที่ว่านั้นมันเริ่มจากปัญหาของผมนี่แหละเรื่องมันมีอยู่ว่าอาทิตย์ก่อนเราทะเลาะกันเรื่องญานินลืมมือถือไว้ในห้องก่อนออกไปเรียน โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับสาย เราเลยทะเลาะกันใหญ่โตแต่สุดท้ายผมก็เป็นคนง้อญานินเพราะเรื่องมันมักจะจบแบบเดิมคือน้องมันถูกเสมอไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คนที่เป็นฝ่ายผิดสุดท้ายแล้วต้องเป็นผมเพราะญานินจะไม่ยอมง้อผมเลย
หลายเดือนต่อมาหลังจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดตอนนั้นจบลง ชีวิตของฉันก็กลับมาสงบสุขและคบกับพี่ทศกัณฐ์อย่างแฮปปี้ใช่ซะที่ไหนกัน!การคบกันมันก็ต้องมีทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดาและทุกครั้งที่ทะเลาะกันนั้นพี่ทศกัณฐ์มักจะเป็นฝ่ายยอมฉันเสมอไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะพี่ทศกัณฐ์รักฉันมากๆ ยังไงล่ะ!"เป็นอะไรหน้าบูดเป็นตูดหมามาเลย" เสียงของนิเนยทักขึ้นตอนที่ฉันกำลังเดินเข้ามาหย่อนตัวนั่งลงกับเก้าอี้ข้างๆ พอใบเฟิร์นได้ยินคำพูดของนิเนยก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสนใจตอนนี้เราอยู่ปีสองกันแล้วนะ เป็นรุ่นพี่แล้วและช่วงนี้ก็เป็นช่วงรับน้องทำให้ค่อนข้างเหนื่อยกับการจัดเตรียมกิจกรรมให้น้องๆ ทำส่วนพี่ทศกัณฐ์ก็อยู่ปีสี่แล้วเขาก็วุ่นวายกับการทำโปรเจ็คหลังจากที่เพิ่งฝึกงานสามเดือนจบแล้วก็เหลือเวลาอีกแค่เทอมกว่าในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้ช่วงนี้เราแทบจะไม่มีเวลาได้ใกล้ชิดกัน"ไม่มีอะไร" ฉันตอบนิเนยแล้วหยิบเอกสารสำหรับวิชานี้ขึ้นมาเตรียมไว้บนโต๊ะเลคเชอร์"ทะเลาะกับพี่ยักษ์เหรอ" นิเนยถามแล้วกอดอกมองฉัน"..." พยักหน้าเป็นคำตอบ"เรื่อง?""เมื่อวานฉันเข้าคอนโดก่อน เพราะเขาบอกว่าจะเลิกดึก พอถามว่าจะให้ไปนั่งทำงานด้วยมั้ยก็
เช้าวันต่อมา"ได้เรื่องมั้ยครับ"เสียงของพี่ทศกัณฐ์ดังขึ้นจากปลายเตียงเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์กับใครซักคนฉันจึงค่อยๆ ขยับเปลือกตาขึ้นมอง"มีหลักฐานครบแล้วใช่มั้ย""ดีเลย งั้นรบกวนคุณลุงจัดการให้ผมหน่อย""น้องดีขึ้นแล้วครับ ตรวจแล้วไม่เป็นอะไร มีรอยช้ำที่โดนตีนั่นแหละ...ผมรู้แล้วน่า ว่าที่หลานสะใภ้ลุงทั้งคนจะไม่ดูแลได้ไง"นี่กำลังพูดถึงฉันอยู่ใช่มั้ย แอบฟังเองก็เขินเองแล้วนะ"ครับ ขอบคุณครับ รอชมผลงานนะแล้วเดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องทางนี้เอง" แล้วพี่ทศกัณฐ์ก็กดวางสายก่อนจะหันมามองทางฉันที่แกล้งขยับเปือกตาขึ้นมาเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน "เช้าอยู่เลยรีบตื่นทำไม""นินปวดหัวค่ะ" ฉันตอบแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง "เหมือนจะเป็นไข้""..." พี่ทศกัณฐ์ลุกขึ้นจากปลายเตียงขยับมานั่งขอบเตียงข้างฉันแล้วเอาหลังมือมาอังหน้าผากไว้ "นอนพักก่อนเดี๋ยวกินข้าวกินยา""ค่ะ" ฉันพยักหน้าทำตามคำสั่งแล้วเขาก็หายออกไปจากห้องตอนนั้นทันทีไม่นานนักก็กลับเข้ามาพร้อมกับข้าวต้ม ยาและน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว แกล้งป่วยซักเดือนดีมั้ยเนี่ยมีบุรุษพยาบาลส่วนตัวซะด้วย"เมื่อกี้คุยกับใครเหรอ" ฉันเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะนอนคิดคนเดียวก็คงไม่รู้คำตอ
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ฉันตรวจ ใส่เฝือกอ่อนที่เท้าและรับยาเสร็จก็มาแจ้งความที่สถานีตำรวจกับพี่เนย์ต่อ มีรุ่นพี่ปีสองและพวกนิเนยอยู่เป็นเพื่อนรอให้พี่ทศกัณฑ์และพี่นธีมารับ"เป็นไงบ้าง" พี่นธีถามทันทีที่มาถึงส่วนพี่ทศกัณฑ์กำลังเดินเข้ามาท่าทางเงียบครึมเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่"ให้รายละเอียดกับตำรวจไว้แล้วค่ะ พรุ่งนี้ต้องมาอีก""เอาเรื่องให้ถึงที่สุดนะเว้ย ต้องไม่ยอมมันรอบนี้ต้องเอาให้มันจมดิน!" ใบเฟิร์นพูดและกำหมัดแน่นหมับ!อยู่ๆ ร่างของฉันถูกดึงไปกอดไว้ในอ้อมแขนขณะที่เจ้าของการกระทำนั้นไม่พูดอะไรเลยซักคำ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนและรุ่นพี่รวมไปถึง...พี่เนย์ยังดีที่ตอนนี้นิเนยมันเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันเปลี่ยนแล้วไม่อย่างนั้นคงดูตลกน่าดูหนุ่มวิศวะกอดกับหญิงสาวในชุดโบราณ"กลับเลยมั้ย" พี่ทศกัณฑ์ปล่อยฉันออกจากอ้อมแขนแต่ก็ไม่ได้เป็นอิสระซะทีเดียวเขายังโอบฉันไว้อย่างหลวมๆ"ค่ะ อยากอาบน้ำพักผ่อนแล้ว" ฉันพยักหน้าตอบรับแล้วหันไปขอบคุณพี่ๆพี่ทศกัณฐ์อุ้มฉันขึ้นออกมาจากตรงนั้นสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีเลยไม่รู้ว่าทำไม พอมานั่งในรถเขาก็ติดเครื่องแต่ก็ไม่ยอมขับออกไป สายตาของเขาหันไปมองพี่เนย์ที่กำ







