เมื่อตื่นเช้ามา เขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องเพราะกลับไปแล้ว และฉันเป็นคนนอนตื่นสายด้วยจึงไม่รู้ว่าเขาออกไปตอนไหน
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ฉันคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจอผู้ชายคนนี้อีก...
!!
ความคิดที่มุ่งมั่นของฉันยังไม่ทันจบลง สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่วางอยู่บนหัวเตียง
นาฬิกาข้อมือราคาแพงของเขา สร้อยล็อกเกตที่เขาบอกจะมาเอาคืน ตอนนี้ยังคงอยู่ในห้องฉันเหมือนเดิม แล้วยังมีของชิ้นใหม่ตามเพื่อนมาอีกชิ้นด้วย
ลืมจริงหรือตั้งใจ ?
ฉันเม้มปาก มองของที่เขาทิ้งเอาไว้แล้วกำหมัดทุบกับที่นอนอย่างหงุดหงิด
“ไอ้บ้าคิว !”
หลายชั่วโมงต่อมา
“เอาอะไร”
“สปาเกตตีซอสมะเขือเทศปลาหมึก” ฉันตอบยัยเค้กแล้วเล่นมือถือตนเองดูอะไรเรื่อยเปื่อย
“มาม่าผัดขี้เมาทะเล” ต้องตาที่นั่งข้างฉันพูดต่อ
“ยัยคะนิ้งมันจะเอาอะไร ไม่มาสักที สงสัยเมื่อคืนหนัก” เค้กบ่นอุบอิบก่อนจะกดมือถือตามคะนิ้งในแชตกลุ่มของพวกเรา
คำพูดของยัยเค้กทำให้สมองฉันเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ฉันไม่อยากมีความลับกับเพื่อนเลย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรบอกหรือเปล่านะ
แล้วถ้าพวกมันรู้ทีหลังล่ะ ฉันจะถูกมองอย่างไร
“พวกแก...” ฉันพูดออกไปแค่นั้น เสียงอีกคนก็ดังขึ้นมาแทรก
“มาแล้ว” ต้องตาพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าร้านก็เห็นยัยคะนิ้งกำลังเดินเข้ามาพอดี
“ไง เมื่อคืนพี่เขาจัดหนักให้แกเหรอ” ยัยเค้กพูดแซะแต่ยัยคะนิ้งกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“จัดหนักอะไร ส่งฉันหน้าหอแล้วกลับไปเลย” ยัยนั่นตอบแล้วหยิบน้ำขึ้นมาจิบ
“เขามีอะไรที่น่าสนใจกว่าแกป้ะ” ยัยเค้กหัวเราะเบา ๆ เหมือนสมน้ำหน้าเพื่อน ส่วนฉันได้แต่นั่งเงียบฟังพวกมันเพราะเรื่องนี้เข้าฉันเต็ม ๆ
“จะมีอะไรน่าสนใจกว่าฉัน เมื่อคืนฉันจัดเต็มขนาดนั้น” คะนิ้งพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
“หมายถึงอ่อยจัดเต็มใช่ไหม” ประโยคนี้ต้องตาเป็นคนพูด
“เออ อีกนิดเดียวก็จะแก้ผ้าให้ดูแล้ว ถุย !” คะนิ้งตอบอย่างประชด ฉันก็ได้แต่เงียบฟังอย่างกังวล
ส่วนเค้กก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา สองคนนี้มักจะไม่ถูกกัน เพราะยัยเค้กมันบอกว่าคะนิ้งทำตัวไม่น่ารักนั่นละ สำหรับฉันก็เฉย ๆ นะ ไม่ได้คิดอะไรมากกับนิสัยของเพื่อนหรอก ตอนนี้ยิ่งสอนใครไม่ได้ใหญ่เลยเพราะฉันก็ไม่ใช่คนดีอีกแล้ว
“หรือพี่เขารู้ว่าฉันมีแฟนถึงไม่อยากยุ่งวะ”
“รู้ตัวก็ดีนะ ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอก” เค้กคนเดิมที่ชอบตอกย้ำคะนิ้ง
“แต่เท่าที่รู้มาพี่คิวเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้นะเว้ย ได้ฉายาคาสโนวาแห่งเอนจิเนียร์มาแล้ว ไม่น่าปล่อยให้ผู้หญิงน่ารักอย่างฉันหลุดมือป้ะ” ฉันถอนหายใจออกมาเบา ๆ ยิ่งได้ยินสิ่งที่ยัยคะนิ้งพูดยิ่งอึดอัด “ไม่งั้นเขาจะยอมมาเหรอ ที่ฉันชวน”
ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขานะ แต่ความกังวลของยัยนั่นมีผลมาจากฉันนี่ละ เพราะเมื่อคืนเขามาหาฉัน
“แกไม่น่าสนใจพอไง”
“รำคาญ”
“พอ ๆ ข้าวมาแล้ว” ฉันรีบตัดบทแล้วสนใจกับข้าวที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ
แล้วบทสนทนาเรื่องผู้ชายก็จบลงแค่นั้น
บางทีก็อยากภาวนาอีกเรื่อง นั่นคือขอให้ยัยคะนิ้งเลิกสนใจพี่คิวเสียที แต่ดูเหมือนจะยากพอควรเพราะเท่าที่เห็นมามันสนใจคนนี้มากสุดแล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็ไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้ากันต่อ เพราะอยู่หอมันก็เบื่อ ๆ ทีแรกว่าจะหาหนังดูสักเรื่องแต่ไม่มีเรื่องที่พวกเราถูกใจเลยแม้แต่เรื่องเดียว เลยเปลี่ยนเป็นเดินชอปปิงแทน
“ไปห้องน้ำนะ เดี๋ยวมา” ฉันบอกพวกมันที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งร้านนี้ถือเป็นร้านที่สาว ๆ มหาวิทยาลัยย่านนี้รู้จักดีเพราะถือว่าใหญ่ที่สุดและมีของให้เลือกเยอะที่สุดด้วย
ฉันเดินออกมาจากร้านก็เดินเลี้ยวไปตามทางเดิน เข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมา แต่ยังไม่ถึงร้านฝีเท้าของฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งเดินมาทางนี้เข้า
“...” ผู้ชายคนนั้นพอเห็นฉันก็เหมือนจะตกใจเหมือนกัน แต่เขาก็ส่งยิ้มให้นิด ๆ แล้วก็แกล้งหันไปมองทางอื่น
ส่วนผู้หญิงตอนแรกไม่เห็นฉัน เมื่อเห็นฉันยัยนั่นก็ยิ้มให้เหมือนกัน แต่สาบานเลยว่าฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย
รอยยิ้มเย้ยหยันนั่นใครจะดูไม่ออก
“ผีเน่ากับโลงผุ” ฉันพูดขึ้นลอย ๆ ตอนที่กำลังจะเดินผ่านสองคนนั้นไป พอยัยนั่นได้ยินก็หยุดเดินแล้วทำท่าจะหันมาเอาเรื่องฉัน
“ปิ่น ไม่เอา”
“พี่ดรีม ก็เมียเก่าพี่มันปากหมาใส่อะ” เมียเก่าเป็นสรรพนามที่ไม่ควรใช้กับฉันหรอกนะเพราะฉันกับไอ้พี่ดรีมไม่เคยมีอะไรกันแม้แต่ครั้งเดียว
ตลอดเวลาที่คบกันเขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสุด ๆ มากสุดก็แค่จูบ จับไม้จับมือ จนฉันวางแผนอนาคตเอาไว้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้
“ปากหมาก็ดีกว่านิสัยหมา ๆ ละวะ” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปยิ้มให้สองคนนั้น “พวกหมาเดือนสิบสอง”
“อีเด็กนี่ !” นังนั่นทำท่าจะเข้ามาตบฉัน แต่ฉันก็กอดอกยืนยิ้มให้ รอฝ่ามือของมันมาปะทะใบหน้า เอาสิ ตบมาฉันจะสวนคืนให้รัว ๆ
“ไปเถอะ” พี่ดรีมพยายามฉุดกระชากลากว่าที่เจ้าสาวของเขาออกไป ขณะที่ฉันที่ยืนยิ้มอยู่ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสีหน้าทีละนิด
ฉันอวดเก่งไปอย่างนั้นละ พอเห็นเขามากับคนใหม่ หัวใจที่เคยคิดว่าหายดีมันก็จุกขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มมีน้ำใส ๆ เอ่อนองเกาะขอบตาแล้วด้วย
ฉันหันหลังจะเดินกลับไปที่ร้านก็เห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งสวนมาพอดี ผู้ชายคนนั้นหันมามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนที่คิ้วเข้มจะค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าทันที
พี่คิวมากับผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เรื่องนี้ยัยคะนิ้งต้องรู้ด้วยไหม แต่คงไม่สำคัญหรอกมั้ง ต่างคนต่างไม่ได้จริงจังอยู่แล้วนี่
โลกนี้ไม่มีใครดีที่สุดสินะ เราต่างมีเรื่องเลว ๆ เป็นของตนเอง รวมถึงฉันด้วย
“ทำไมไปนานจัง” ต้องตาหันมาถามแล้วถือชุดที่ตนเองเลือกไว้ยื่นให้พนักงาน ยัยเค้กก็กำลังเดินมาทางฉันด้วย
“เจอแฟนเก่ากับเมียใหม่” ฉันตอบออกไปตามตรงแค่เรื่องของพี่ดรีม ส่วนเรื่องพี่คิวไม่ได้บอก
“แล้วเป็นไง” เค้กถามแล้วเดินมายืนใกล้ ๆ
“มีเสียดสีกันนิดหน่อยแต่ไม่มีอะไร” ฉันบอกแล้วเดินไปดูเสื้อผ้าต่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์เสียแล้วสิ
“แกร้องไห้มาหรือไง จะร้องทำไมวะ มันก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วป้ะ” ยัยคะนิ้งพูดแล้วส่ายหน้า
“คนอย่างแกมันจะไปรู้สึกอะไร ความหนักแน่นในความรักอะแกสัมผัสไม่ได้หรอก ยัยคนเจ้าชู้ !” เค้กต่อว่าคะนิ้งเสร็จก็เดินหนีไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันที ยัยนิ้งจึงไหวไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง
พอซื้อเสื้อผ้ากันเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกลับหอพัก กลับมาเก็บเสื้อผ้า รีดผ้าที่ซักไว้แล้วงีบพักสมองเสียหน่อย จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมือถือสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้า
'Kanink'
“อือ” ฉันกดรับสายของยัยคะนิ้งแล้วลุกไปเปิดไฟ เพราะตอนนี้เวลาค่ำแล้ว ทั้งห้องจึงเกือบมืดสนิท
(แก ไปร้านเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย...)
“ตอนไหน” ฉันถามแล้วทิ้งตัวนอนอีกรอบอย่างเพลีย ๆ
(สองทุ่มไปรับ)
“แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ”
(พวกนั้นไม่ชวนดีกว่า เดี๋ยวบ่นอีก เมื่อวานก็ไป)
“แกไม่คิดจะพักบ้างหรือไง” ฉันถอนหายใจออกมา เพราะเมื่อคืนเราก็เที่ยวกันแล้ว ดื่มมาแล้วก็ใช่ว่าจะรู้สึกดี
(ฉันเหงาอะ นะเตย... แกไปเป็นเพื่อนหน่อย ฉันเลี้ยง แกอกหักด้วยไง ต้องไปปลดปล่อย) ยัยคะนิ้งพยายามหาเหตุผลมาให้ฉันไปด้วย
“อืม ร้านไหน” ฉันคงเป็นคนที่ปฏิเสธคนไม่เก่งที่สุดแล้วมั้ง เพราะฉันมักจะใจอ่อนกับทุกเรื่องเสมอ
(ร้าน XXX ไม่ไกล)
“อืม มารับแล้วกัน”
พิเศษใส่ไข่หลังจากที่คุยกันไว้ว่าเราจะไปเที่ยวในวันหยุดของพี่คิวแล้ว สถานที่ที่เราเลือกไปก็เป็นทะเล เป็นเกาะที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศโชคดีว่าวันที่เราเดินทางมาไม่ใช่วันหยุดของคนส่วนใหญ่ ทำให้ผู้คนบางตาและสงบมากกว่าที่คิดไว้ บวกกับเกาะแห่งนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ที่พักไม่แอะอัด นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ตั้งใจมาพักผ่อนและหาที่เงียบสงบอยู่กันใต้หล้ากับไต้ฝุ่นเล่นทรายด้วยกัน มีอุปกรณ์ที่พ่อของพวกเขาขนมาให้มากมาย หลังจากจัดการกับลูกแล้วพี่คิวก็เดินมาหาฉันที่กำลังจัดแจงของกินเล่นซึ่งสั่งมาจากร้านใกล้ ๆ นี้“ถ่ายรูปไหม เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”พี่คิวถามเพราะเห็นว่าฉันแต่งตัวเตรียมพร้อมมาเพื่อถ่ายรูปแล้ว ที่พี่คิวยอมให้ใส่ทูพีซตัวนี้มาก็เพราะว่านักท่องเที่ยวไม่มาก เวลานี้มันก็ไม่โป๊มากเพราะมีเสื้อคลุมตัวยาวบาง ๆ คลุมอยู่“ถ่ายสิ แต่งตัวมาขนาดนี้แล้ว”ฉันบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปลื้องเสื้อคลุมตัวนั้นออกแล้วเดินนำสามีตนเองออกไปตรงบริเวณชายหาด เวลานี้แดดค่อนข้างแรง ฉันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรนักเพราะปกติทำงานอยู่แต่ในห้อง ไม่ค่อยโดนแดดอย่างนี้“สวย ๆ นะ แบบรูปเดียวลงได้เลย”เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะถือกล้องไว้ในระ
ตอนพิเศษ 4หลายปีต่อมาเราตัดสินใจมีเด็ก ๆ ไว้เป็นเพื่อนยามเหงาสองคน จากนั้นก็ทำการปิดอู่ทันทีเพราะฉันกับพี่คิวคิดไว้แล้วว่าจะให้เขามีพี่น้องไว้คอยปรึกษากัน ทีแรกตั้งใจจะให้อายุห่างกันสักสามปีแต่คนที่สองดันมาไวกว่าที่คิดคนพี่ชื่อใต้หล้า คนน้องชื่อไต้ฝุ่น เป็นชื่อที่พี่คิวตั้งให้เขาทั้งคู่ เรามีลูกชายทั้งสองคนขณะที่ใบชากับพี่ฮ่องเต้นั้นมีลูกชายหนึ่งกับลูกสาวอีกคน คนโตชื่อน้องฮัท แก่กว่าใต้หล้าหนึ่งปี แต่คนน้องนั้นอายุเท่าไต้ฝุ่น ชื่อว่าน้องฮานึล ตอนนี้กำลังน่าหยิกเลยทีเดียว“คุณแม่ !!”เสียงของใต้หล้าดังขึ้นมาแต่ไกล เขาจูงมือน้องชายที่อายุได้เพียงสามขวบเดินเข้ามาด้วย แต่ใบหน้าบิดเบี้ยวเหมือนกำลังจะร้องไห้“น้องเป็นอะไรคับ”“ฮือ ~”ทันทีที่ฉันย่อตัวไปถามลูกชายเขาก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮทันที ก่อนจะโผตัวเข้ามากอดฉันราวกับอัดอั้นตันใจ“ฝุ่นจะแย่งรถของใต้ ก็เลยล้มเอง” ลูกชายวัยห้าขวบอธิบายเมื่อฉันหันไปมองเขาเพราะต้องการเหตุผล“ฝุ่นล้มเองเพราะซนใช่ไหมครับ” ฉันดันตัวลูกชายออกอย่างเบามือแล้วถามเขาด้วยความเป็นห่วง “เจ็บตรงไหนไหมเอ่ย”“ตงนี้ ~ ฮึก” เขาตอบเสียงสั่นเจือด้วยเสียงร้องไห้เบา ๆ“ไม่ร้อ
ตอนพิเศษ 3ฉันหัวเราะใส่พี่คิวอย่างนึกตลก คนที่เคยเก่งเรื่องอย่างว่าพอโดนแกล้งถึงกับหน้าเสีย จนฉันต้องยอมหยุดแกล้งแต่โดยดี“เตยล้อเล่น”“เดี๋ยวเถอะ ร้องจริงนะ” พี่คิวทำหน้าเครียดแต่มือก็อยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามผิวกายของฉันทั่วร่างจนขนอ่อน ๆ ของฉันมันลุกชันจากสัมผัสนั้นฉันก็แกล้งเขาไปไม่จริงจัง ทั้งที่จริงสำหรับฉันแล้วพี่คิวคือที่สุด เพราะเขาคือคนแรกและคนเดียวของฉัน ไม่คิดอยากมีใครมาแทนที่อีกแล้ว“อื้อ !”ฝ่ามือเย็นเฉียบของเขาลูบลงที่ต้นขา ขยับมาที่ขาอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ ขยับมาที่กลีบดอกไม้สีระเรื่อและใช้ปลายนิ้วนั้นลากผ่านเพื่อแหวกเข้าหารอยแยกที่ผลิแย้ม“แกล้งกันดีนัก” เขาทำเสียงแข็ง แทรกนิ้วเข้าไปในช่องทางรักที่เริ่มมีน้ำหวานระบายออกมาจากการถูกสัมผัสที่ปลุกเร้าหัวใจของฉันวาบหวาม ถึงแม้จะเป็นคนที่คุ้นเคยแต่มันไม่เคยชินกับการถูกรุกล้ำตรงส่วนนั้นเลยสักนิด เหมือนมันคือการเริ่มใหม่ ราวกับเป็นครั้งแรก“อ๊า... พี่คิวขา เตยเสียว” ฉันร้องกระเส่าไม่รู้ตัวเมื่อถูกนิ้วเรียวยาวนั้นสอดแทรกและขยับเคลื่อนที่เข้าออกเนิบนาบ ปรนเปรอปลุกเร้ากลายเป็นความสยิวซ่านอย่างต่อเนื่องเขาใช้นิ้วกลางจ้วงแทงจนเกิดเป็น
ตอนพิเศษ 2“ประจำเดือนมาไหม เดือนนี้รู้สึกว่าไม่วานให้ไปซื้อของ”“ไม่”“ขาดไปกี่วันแล้ว”พี่คิวตั้งคำถามที่ตอนนี้มันถือว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับเราสองคน ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ละก็ฉันคงได้อายหน้าร้อนแน่ ๆ ก็มีที่ไหนล่ะที่จะมาถามเรื่องแบบนี้กัน“ห้าวันแล้วค่ะ แต่ช่วงนี้เตยนอนไม่ค่อยหลับเลยคิดว่าน่าจะเป็นเพราะตรงนั้น”“ลองตรวจดูหรือยัง หืม” เสียงพี่คิวยังคงถามต่อ หลังจากที่เขาเพิ่งเลิกงานมา ไม่รู้ไปโดนอะไรเข้า วันนี้ถึงได้เซ้าซี้นัก“ยังเลย ที่ซื้อมาก็หมดแล้วค่ะ ตรวจบ่อย วันนี้ก็ลองตกแต่งรูปขายของทั้งวัน ลืมไปเลย”ช่วงนี้ฉันรู้สึกว่าตนเองเบื่อ ๆ เพราะอยู่บ้านคนเดียวไม่มีอะไรทำ เลยขอพี่คิวสั่งของจากร้านค้าต่างประเทศมาขาย ก่อนหน้านี้ลองสั่งมาน้อย ๆ ลงขายในแพลตฟอร์มต่าง ๆ พอจับจุดได้ เจอตัวที่ขายดีเลยสั่งมาถ่ายรูปเอง ลงโพรโมตเพิ่มยอดขายได้มากเลยทีเดียว“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ทำแก้เบื่อ อย่าจริงจังจนเครียด” พี่คิวพูดแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวพี่ไปซื้อ”เขาจริงจังกับการพยายามมีลูกมากถึงแม้ว่าจะแพ้พนันพี่ฮ่องเต้ เพราะใจจริงเราสองคนก็อยากมีเจ้าตัวน้อยไว้กอดเหมือนกัน หลังจากวั
ตอนพิเศษ 1หลังจากที่เราทั้งคู่ตัดสินใจว่าอยากมีเจ้าตัวน้อยไว้เชื่อมความสัมพันธ์ หลังจากวันนั้นเราก็เลือกโรงพยาบาลเพื่อคอยรับคำปรึกษาและคอยดูแลเราสองคนต้องเข้าตรวจสุขภาพและรับประทานยาบำรุงตามที่หมอสั่ง หลังจากนั้นก็ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ผลตรวจที่ออกมาแน่นอนว่าเราสองคนยังสุขภาพสมบูรณ์และแข็งแรง ไม่มีโรคร้ายใด ๆ สามารถมีลูกได้“ลองโหลดแอปนี้มาแล้ว เขาบอกว่าดี” พี่คิวยื่นโทรศัพท์ของเขาที่หน้าจอกำลังแสดงแอปพลิเคชันหนึ่งซึ่งหน้าตาคล้ายปฏิทินวันนี้เป็นวันหยุดของพี่คิว วันที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่วันนี้คุณหมอก็ยังคงนัดตรวจร่างกายอีกครั้งเพื่อติดตามผลและตรวจร่างกายเพิ่ม“นับวันไข่ตก”“...” เขาไม่ตอบแต่ยิ้มกริ่มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบแทน“แม่นยังไงพี่คิว”“ก็ถ้าเราอึ๊บ ! กันช่วงที่เป็นสีชมพูโอกาสท้องก็มีเยอะมาก ๆ ไง” เขาพูดหน้าตาเฉยแต่ฉันกลับใบหน้าร้อนวาบ“ทุกวันเลยเหรอ เตยก็ตายพอดี ไม่ได้พัก” ฉันยัดโทรศัพท์ของเขากลับไปให้ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปทางหน้าต่าง รอให้ความร้อนบนใบหน้ามันลดลงถึงหันกลับมามอง แต่พี่คิวก็ยังยิ้มอยู่“พี่ศึกษามาแล้วครับ ถ้าอยากได้ลูกที่เก่งและสมบูรณ์เราต้องพักวั
EP. 41เราซื้อบ้านอยู่ด้วยกันสองคนแถวชานเมือง แต่ไม่ได้ใกล้กับบริษัทที่พี่คิวทำงานเท่าไร นั่นเป็นเพราะเขาวางแผนจะลาออกในปลายปีนี้และออกมาทำบริษัทของตนเองโดยหุ้นกับเพื่อนสนิทอีกสามคนเรียกว่าแยกย้ายกันไปเก็บประสบการณ์และกลับมาสร้างฐานตนเองนั่นละ“พี่คิว...” ฉันกรอกเสียงใส่ปลายสายอย่างอ้อน ๆ เพราะจะวานให้เขาซื้อของสำคัญให้(ครับ ว่าไง)“กลับมาแล้วใช่ไหมคะ เตยจะฝากซื้อยา”(ได้ ยาอะไร)“ยาคุมไง เมื่อคืนบอกไปแล้วว่ามันหมด ขาดไปหนึ่งวันแล้วด้วย เดี๋ยวเตยส่งรูปให้นะ พี่คิวแค่ยื่นให้เภสัชดู” (ครับ)แล้วฉันก็จัดการถ่ายรูปกล่องยาคุมกำเนิดที่รับประทานประจำให้พี่คิวทางกล่องข้อความแอปพลิเคชันไลน์ ก่อนกลับมาเตรียมกับข้าวบนโต๊ะกินข้าวต่อ จะว่าไปแล้วการอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันก็เหงาพอสมควร จากที่ตอนแรกฉันคิดว่าจะหางานทำแต่พี่คิวไม่ยอม บอกว่าให้อยู่บ้านไปก่อนจะได้ดูแลสามีได้เต็มที่ และตอนที่เปิดบริษัทด้วยกันกับเพื่อนจะให้ฉันมีตำแหน่งเป็นคนทำบัญชีด้วยชีวิตที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันแต่ฉันกลับรู้สึกว่ามันโคตรน่าเบื่อเหลือเกิน หรือฉันควรจะหาน้องหมามาเลี้ยงสักตัวดีนะ“คิดถึง...” “อ๊ะ พี่คิว จานเกือบร