แพรไหมตอนนี้เข้าไปนั่งในรถบัสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงหันไปส่งยิ้มหวานให้เขาผ่านกระจกใสของหน้าต่างรถ พร้อมกับโบกมือลาเขากลับเช่นกัน แล้วรถก็แล่นออกจากท่ารถไปโดยที่ทั้งสองยังไม่รู้จักชื่อของกันและกันด้วยซ้ำ นคินทร์ยืนนิ่งมองตามรถบัสที่กำลังเคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ
ไม่นานแพรไหมก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลที่บิดาของเธอรักษาตัวอยู่ เดิมทีบิดาและเธอตั้งใจจะเดินทางมาเยี่ยมครอบครัวของพี่ชายบิดาที่ย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้กับครอบครัว แต่บิดาของเธอกลับมาล้มป่วยหนักเอาเสียก่อน จึงต้องอยู่พักรักษาตัวที่นี่ยาวเลย เพราะหลานชายของท่านเป็นหมอรักษาคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้
จึงเป็นการง่ายต่อการรักษาและการดูแลของญาติ ๆ เพราะที่ไทยเธอและบิดาไม่มีญาติที่ไหนแล้วบวกกับคุณหมอแจ้งว่าบิดาของเธอยังไม่สามารถเดินทางไกลได้ในช่วงนี้
“ขอโทษที่มาสายค่ะ พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย”
ทันทีที่มาถึงหญิงสาวก็กล่าวขอโทษพยาบาลพิเศษและคุณหมอที่ดูแลบิดาของเธออย่างรู้สึกผิด แพรไหมจะต้องรีบมาฟังผลตรวจอาการของบิดาและต้องมาเปลี่ยนเวรกับพยาบาลพิเศษที่จ้างมาดูแลบิดาอีกด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอคุยด้วยหน่อยครับ”
คุณหมอหนุ่มผายมือเชิญให้หญิงสาวออกไปคุยกันด้านนอก แพรไหมหันไปมองร่างบิดาที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง แล้วจึงหันไปหาพยาบาลพิเศษสาว
“ซาร่าคุณกลับก่อนได้เลยนะฉันคุยกับคุณหมอเสร็จฉันจะกลับมาดูแลคุณพ่อต่อเอง” หญิงสาวบอกเป็นภาษาอังกฤษ
“ไม่เป็นไร เชิญคุณตามสบายฉันจะรอจนคุณกลับมาก่อนแล้วฉันถึงจะไป”
ซาร่าพยาบาลสาวรับรู้เรื่องที่เธอบอกแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนป่วยที่เธอดูแลต้องอยู่คนเดียวภายในห้อง ได้ยินเช่นนั้นแพรไหมจึงส่งยิ้มหวานให้พยาบาลพิเศษสาวด้วยความรู้สึกขอบคุณก่อนจะเดินตามคุณหมอหนุ่มออกไปคุยด้านนอก
“มีอะไรหรือเปล่าคะพอล”
แพรไหมเป็นฝ่ายเริ่มถามเมื่อดูจากสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของพอล หมอหนุ่มลูกครึ่งเชื้อสายไทย-อังกฤษซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเอาแต่จ้องมองหน้าแต่ไม่ยอมเอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“อาการของคุณอานะ คือว่า…”
หมอหนุ่มอ้ำอึ้งลังเลไม่กล้าบอกหญิงสาวออกไปตามตรงถึงอาการของบิดาของเธอ เขารู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของผู้หญิงตรงหน้าเกรงว่าหากบอกเธอออกไปตรง ๆ เธอจะรับไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตน้องสาวของเขาก็มีเพียงบิดาอยู่คนเดียวเหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้เธอไม่เหลือใครเลยก็ได้ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาอึดอัดใจที่จะพูดออกไปตรง ๆ
“พอลพูดมาเถอะ แพรทำใจไว้บ้างแล้วพ่อเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วใช่มั้ย”
แพรไหมตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ จากอาการของบิดาเธอพอจะเดาได้ว่าระยะเวลาที่บิดาจะอยู่กับเธอนั้นเหลือไม่มากแล้ว หมอหนุ่มเพียงแต่พยักหน้ารับพร้อมกับส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยให้หญิงสาวตรงหน้าเขาสงสารจับใจ แม้ภายนอกผู้หญิงคนนี้จะดูเข้มแข็งแต่เขารู้ว่าภายในใจของเธอนั้นอ่อนไหวเพียงใด เธอมักจะแอบหนีไปร้องไห้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ หลายครั้งที่เขาแอบเห็น
“นานแค่ไหนคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเศร้า
“อาจจะหนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือน พี่ตอบแพรแน่นอนไม่ได้หรอก ท่านพร้อมจะจากเราไปได้ทุกเวลา พี่คิดว่าแพรควรใช้เวลาที่เหลืออยู่กับท่านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ”
คุณหมอหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงหม่นไม่ต่างกัน คำพูดของหมอหนุ่มทำให้แพรไหมรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หน้าอกข้างซ้าย ทั้งที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอคิดว่าจะไม่เป็นอะไร เพราะคิดว่าทำใจกับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อถึงเวลานี้จริง ๆ เธอกลับทำใจไม่ได้อย่างที่คิดไว้ ขาเรียวเล็กเดินถอยหลังทีละก้าวราวกับมันอ่อนแรงลง พร้อมกับร่างบางที่ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ที่มีไว้สำหรับให้ญาติผู้ป่วยนั่งรอ
ร่างกายของเธอตอนนี้มันรู้สึกชาไปทั้งตัวเหมือนคนไม่มีความรู้สึกแต่มันกับรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่หน้าอกข้างซ้ายมากขึ้นราวกับมีเข็มเป็นพัน ๆ เล่มมาทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทั้งที่รู้ว่าโรคที่บิดาเป็นนั้นไม่มีทางรักษาได้แล้ว ยิ่งเมื่อรู้ว่าเหลือเวลาอยู่ด้วยกันสั้นเพียงนิดเดียวเช่นนี้ เธอกับทำใจยอมรับไม่ได้เลยไม่ได้เลยจริง ๆ
“พี่ขอโทษนะที่ต้องพูดตรง ๆ และขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้”
คุณหมอหนุ่มบอกอย่างรู้สึกผิดในฐานะหมอเขาหมดหนทางในการรักษาแล้ว แต่ในฐานะพี่ชายเขาเป็นห่วงความรู้สึกของน้องสาวคนนี้มาก หากบิดาของเธอจากโลกนี้ไปแล้วหญิงสาวต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง เธอจะเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้ คิดแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้เพาะหลังจากที่เสียมารดาไปเธอไม่เคยอยู่ห่างกับบิดาเลยสักครั้ง
หลังประชุมเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน นคินทร์เองก็กลับมาทำงานต่อที่ห้อง ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่า ต้องรีบหาโรงงานไม้เพื่อขึ้นแบบ“คุณแพร วันนี้ผมมีนัดอีกมั้ย”“ไม่มีแล้วค่ะ”“งั้นดีเลย คุณไปเอาแผนที่โรงงานไม้ ที่ผมให้คุณหาไว้มา”“ทั้งหมดเลยเหรอคะ”“ครับ ทั้งหมด ตอนนี้เลย แล้วมาเลือกวันนี้เราจะไปกัน”“เรา..” เธอย้ำพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง“ครับเรา”“แล้วคุณจะไปวันไหนคะ”“วันนี้”“ วันนี้..” เธอทวนคำเสียงดังอย่างตกใจ“ครับ คุณติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”“ เปล่าค่ะ รอสักครู่นะคะ”แพรไหมรับคำเสียงอ่อนแรงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผู้ชายคนนี้จะใช้งานเธอโหดเกินไปแล้ว ทำงานเก่งก็จริงแต่เธอไม่ใช่เครื่องจักรนะ ต้องกินข้าวนี่บ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย หิวจนตาลายไปหมดแล้วแต่ด้วยหน้าที่ ต้องทำตามที่เจ้านายสั่ง ไม่เอ่ยปากบ่นสักคำ เธอเป็นอย่างนี้เสมอ อดทนได้กับทุกเรื่องจะไม่ร้องขอความเห็นใจจากใคร แม้ว่าตัวเองจะไม่ไหวก็จะฝืนทำจนถึงที่สุด40 นาทีต่อมา.....“นี่คุณพาผมมาถูกทางรึเปล่า”“ถูกแล้วนะคะ เนี่ยก็จีพีเอสบอกให้เดินตรงมาทางนี้ห้าสิบเมตรแล้วจะมีซอยให้เลี้ยวขวา”พูดไปพลาง ตาก็มองแผนที่ในมือถือสลั
ตั้งแต่ทำงานด้วยกันมา แพรไหมมักจะสังเกตใส่ใจกับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เสมอ หญิงสาวไม่ได้ทำบ่อยจนน่าโมโห เธอรู้กาลเทศะว่าเวลาไหนควรทำหรือไม่ควรทำ มักเลือกเวลาที่เหมาะสมในการแสดงความห่วงใยส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่เขาไม่ได้ขยับร่างกายจากกองเอกสารนาน ๆ แล้วต้องพบแขกทั้งภายในและภายนอก เธอจะทำเช่นนี้เพื่อให้เขาได้ใช้เวลาสามถึงห้านาทีในการปรับอารมณ์ ให้สดชื่นขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาจะเครียดใส่คนอื่นมากเกินไป“ขอบคุณครับ ปกติดูแลทุกคนแบบนี้ตลอดเลยหรือเปล่า”“เปล่าค่ะ ทำแค่ตอนที่คุณพ่อมีเรื่องเครียด ๆ จากงานมาท่านบอกว่าแบบนี้จะพอช่วยได้”“เหงามั้ย”“ไม่ค่ะ ฉันเริ่มชิ้นแล้ว พร้อมมั้ยคะใกล้ได้เวลาประชุมแล้ว”“ครับ”เขาพยักหน้าพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังห้องประชุม ก็เห็นทุกคนมารอกันอยู่พร้อมหน้าก่อนแล้ว“ที่ผมเรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้ ก็เรื่องปัญหาที่พวกคุณสรุปมาให้ ผมได้ทำแผนงานคร่าว ๆ มาให้ เอกสารอยู่ด้านหน้าของทุกคนแล้ว ผมอยากให้ทุกคนช่วยดูแล้ววิเคราะห์แผนงานที่ผมทำ หากใครมีข้อเสนอหรืออยากแนะนำเปลี่ยนแปลงตรงไหนแจ้งมาได้เลยครับ"เวลาผ่านไปชั่วครู่หลังที่ทุกคนได้อ่านเอกสารที่นคินทร์เตรียม
“มองตาผมสิ ถ้าผมไม่ใช่คนแรกของคุณ ผมก็คงไม่ต้องคิดมากแบบนี้ ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วผมพร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”“คุณจะมารับผิดชอบฉันทำไม ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะค่ะฉันลืมมันไปหมดแล้ว”“ลืมไปหมดแล้วงั้นเหรอ คุณสามารถลืมครั้งแรกของตัวเองได้ง่ายดายขนาดนี้เลยเชียว”นั่นสิ เธอจะลืมครั้งแรกของตัวเองได้ยังไง เป็นคำตอบที่โง่มากที่ตอบออกไปแบบนั้น แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า จะให้คนที่ไม่ได้รักมารับผิดชอบได้อย่างไร และเธอก็อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่อยากลืมอดีตที่ไม่ดี ความทรงจำที่เจ็บปวดไปให้หมด“ค่ะ ลืมหมดแล้ว”“โกหก ไม่มีผู้หญิงคนไหนลืมครั้งแรกของตัวเองได้หรอก”“แล้วคุณต้องการอะไรคะ ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว จะมารื้อฟื้นทำไม”“ผมเป็นผู้ชาย ที่สำคัญเป็นพี่ชายของเพื่อนรักคุณด้วย ผมคงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้”“แล้วยังไงต่อคะ คุณจะรับผิดชอบผู้หญิงที่คุณเจอเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่ได้รักด้วยซ้ำ แต่ดันเมาแล้วเผลอไปมีอะไรด้วย อย่างฉันหรือไง”“ใช่ ..”“…..”“ตั้งแต่คืนนั้น ผมก็บอกตัวเองว่าผมต้องรับผิดชอบคุณ”“เพราะอะไรคะ ในเมื่อคุณก็ไม่ได้ชอบฉันหรือว่ารับผิดชอบเพียงเพราะหน้าที่ ฉันบอกเลยว่าถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ต้องค่ะ ฉ
ตลอดการเดินทาง ภายในรถมีแต่ความเงียบสนิท ได้ยินเพียงลมหายใจของกันและกันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างเงียบ นคินทร์จึงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน“ดูเหมือนว่าคุณจะสนิทกับครอบครัว ของผมมากเลยนะครับ”“ก็ระดับหนึ่งค่ะ” แพรไหมบอกสีหน้าเรียบตึง แสดงออกชัดว่าไม่อยากคุยกับเขา-ระดับหนึ่งอย่างนั้นหรือ- นคินทร์คิดในใจในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูด จึงปล่อยให้ความเงียบปกคลุมภายในรถอีกครั้ง ไม่นานรถเก๋งคันหรูก็ขับมาถึงที่หมาย“ส่งฉันแค่ตรงนี้ก็พอค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”“แต่ผมหิวน้ำ”“ในรถคุณก็มีน้ำค่ะ”ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำก่อนยื่นส่งให้พร้อม นคินทร์ยิ้มขันกับท่าทีของคนรู้ทัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมแพ้“แต่ผมอยากดื่มน้ำเย็น”“นี่! คุณดิน ตอนนี้มันดึกมากแล้วนะคะ ถ้าใครมาเห็นว่าฉันอยู่กับผู้ชายสองต่อสองเข้า มันจะดูไม่ดี”“แต่ว่าเราเคย..”“เราไม่เคยมีอะไรกันทั้งนั้นค่ะ เชิญคุณกลับไปได้แล้ว ขอบคุณอีก
ภาพความสนิทสนมของทั้งสามคนอยู่ในสายตาของ ลูกชายเจ้าของบ้านอีกคนตลอดเวลา นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มของบิดาและน้องสาวของเขา แสดงสีหน้ามีความสุขอย่างเต็มอิ่ม ผ่านรอยยิ้มแบบนี้ มันเป็นภาพที่เห็นแล้วก็ทำให้เขามีความสุขตามไปด้วยทั้งที่ความสุขอยู่แค่ตรงหน้า แต่เขากลับไปไขว่คว้าหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ต่อจากนี้นคินทร์ตั้งใจจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสุขที่มี ให้อยู่กับตนเองได้นานที่สุด“แจ๋วทำไมถึงจัดโต๊ะสี่ที่ล่ะ”ประภาสถามด้วยความสงสัยเพราะแขกมาเพิ่มแค่คนเดียวและเจ้าลูกชายคนโตก็น่าจะกลับมาในอีกสองวันข้างหน้า“อะไรกันครับคุณพ่อ จะไม่ให้ผมทานข้าวด้วยหรือไงกัน หรือว่าได้ลูกสาวคนใหม่แล้ว จะทิ้งลูกชายคนนี้”“พูดอะไรอย่างนั้นค่ะพี่ดิน ดาวเป็นคนชวนแพรมาเอง ละไหนบอกว่าอีกสองวันถึงจะกลับ แล้วทำไมมาปรากฏตัวที่นี่ได้ พวกเราก็ตกใจกันน่ะสิ”“นั่นสิดิน เดี๋ยวน้องก็น้อยใจหรอกพูดแบบนี้ พ่อเห็นไปหลายวัน ใครจะไปรู้ว่าวันนี้จะกลับมาแล้ว”ชายสูงวัยกล่าวก่อนจะหันไปปลอบหญิงสา
“น้องแพร อีกสองวันแผนกเราจะมีผู้จัดการแผนกคนใหม่เข้ามาทำงานที่นี่ พี่ธันกับพี่ปรึกษากันแล้วว่าจะให้น้องแพรเป็นผู้ช่วยเขาชั่วคราวสักสองอาทิตย์ จนกว่าเราจะหาผู้ช่วยคนใหม่ได้ หรือไม่ก็ต้องทำให้คนในแผนกเราเคลียร์งานออกจากมือให้ได้เสียก่อน น้องแพรคิดว่าพอจะทำได้มั้ยคะ”“แล้วผู้ช่วยผู้จัดการแผนกที่ว่า มีหน้าที่ทำอะไรบ้างคะ”“ก็คอยอัปเดตงานในทีม ให้ผู้จัดการแผนกทราบ แล้วก็คอยช่วยเรื่องเอกสาร รวมถึงการติดต่องานก็ต้องมีช่วยบ้าง เหมือนเป็นเลขานั่นแหละ”“เลขาเลยเหรอคะ แพรกลัวจะทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำค่ะ”“ไม่ต้องกังวลไป ทุกคนในทีมจะคอยช่วยแพรอีกที อีกอย่างผู้จัดการแผนกคนนี้ จะมาช่วยแก้ไขปัญหาในบริษัทตอนนี้บอกตามตรงบริษัทของเรากำลังเจอวิกฤตใหญ่อยู่ น้องแพรเป็นเพื่อนคุณดาวน่าจะพอรู้เรื่องมาบ้าง ฟังแบบนี้แล้วพอไหวมั้ยคะ”“ค่ะ สบายมากค่ะพี่นัด แพรจะช่วยเต็มที่เลย”นี่เป็นโอกาสดีที่หญิงสาวจะได้ช่วยเหลือผู้มีพระคุณอย่างประภาส มีหรือที่เธอจะปฏิเสธ ถึงจะช่วยได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็เต็มใจช่วย“ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากด้วยนะ ส่วนวันนี้ให้น้องแพรดูขั้นตอนการทำงานกับรายละเอียดงานในส่วนที่แผนกเรารับผิดชอบจากแฟ้ม