“โอ๊ย ตื่นเต้นอะแก” ฉันเดินวกไปวนมาอย่างตื่นเต้นในห้องแต่งตัวโดยมีเพื่อนสาวสองคนของฉันคอยตามประกบ “แกใจเย็น ๆ ก่อนได้ไหมเนี่ยเดี๋ยวชุดพังหมด” มนบ่นเหมือนแม่ตามเคยแถมยังคอยเดินตามจัดชุดให้ฉัน “งานแต่งงานทั้งทีเลยนะเว้ยจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง” “เรารู้ว่าแกอะตื่นเต้น แต่ช่วยอยู่เฉย ๆ ให้พี่ช่างแต่งหน้าซับหน้าก่อนได้ไหม” วิยื้อแขนของฉันไว้พลางพยักเพยิดหน้าไปทางพี่ช่างแต่งหน้าที่ถือแปรงรออยู่นานสองนาน “อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ฉันรีบผงกหัวขอโทษแล้วเข้าไปนั่งที่หน้ากระจกเหมือนเดิม “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้อง เจ้าสาวส่วนมากที่พี่เห็นก็อาการเหมือนน้องนี่แหละค่ะ เดี๋ยวพอเข้าไปเจอเจ้าบ่าวก็ดีขึ้นเอง” “พี่คิณหล่อมาก ฉันแวะไปดูมาแล้ว” มนก้มลงมากระซิบฉัน “พี่คิณก็หล่ออยู่แล้วปะ แฟนฉันทั้งคน” ฉันแอบขิงใส่เพื่อนสนิทจนเพื่อนสาวทั้งสองแอบเบะปากด้วยความหมั่นไส้ พี่ช่างแต่งหน้าเองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอา สงสัยคงเจอมาเยอะแล้วละมั้ง พอช่างแต่งหน้าซับหน้าแล้วแต่งเพิ่มใ
ห้าปีต่อมา ฉันเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ปีกว่าแล้ว และเข้ามารับช่วงต่อในบริษัทของผู้เป็นพ่อ ยอมรับเลยว่างานค่อนข้างหนักหน่วงเสียจนฉันแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรือแม้แต่ออกไปเที่ยวเล่น ทานข้าว ดูหนังกับพี่คิณเลยสักนิด เมื่อก่อนพี่คิณแบ่งเวลาให้ฉันได้ยังไงกันนะ ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเวลาแทบจะจับโทรศัพท์ยังจะไม่มี “คุณฐานิดาคะ คุณอคิราห์ติดต่อมาว่าติดต่อคุณไม่ได้ค่ะ” เลขาฯสาวเดินเข้ามาในห้องก่อนที่ฉันจะเงยหน้าขึ้นไปมอง พอได้ยินฉันก็รีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะข้างกองเอกสารกองโตขึ้นมาดู ให้ตายสิ ลืมนัดพี่คิณไปได้ยังไงเนี่ย “ขอบคุณที่เข้ามาบอกนะ เดี๋ยวฉันขอโทร.หาพี่เขาก่อน” เธอพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ฉันรีบกดโทรศัพท์แล้วโทรหาแฟนหนุ่มทันทีด้วยความรู้สึกผิด ไม่นานนักพี่เขาก็รับสาย [สวัสดีครับ] “พี่คิณ วันนี้หนูคงไปทานอาหารด้วยไม่ได้แล้วนะคะ พอดีว่าหนูมีประชุมตอนเย็นอีก” [อ่า... เหรอครับ] “หนูขอโทษนะ”
“ทะเล” ฉันลากเสียงยาวพลางวิ่งลงจากรถแล้วด้าวเท้าเข้ามาเหยียบบนหาดทรายขาวละเอียดนำหน้าพี่คิณที่กำลังก้าวเท้าลงจากรถตู้ พวกเราเดินทางกันมาหลายคนเลยตัดสินใจที่จะเหมารถตู้มาสองคันเพื่อลดปริมาณรถลง ถ้าต้องขับมาเองได้มาเป็นขบวนแน่ ประหยัดน้ำมันแถมรักโลกด้วย “ยายนิดาเดินดี ๆ เดี๋ยวล้ม” มนเดินตามฉันเหมือนแม่ ในมือประคองหมวกกันแดดบนศีรษะหวั่นจะปลิวไปตามสายลมที่พัดพลิ้ว “มาทาครีมกันแดดด้วย” “ฉันไม่ชอบอะมันเหนียว” “ทา ๆ ไปเถอะ ผิวไหม้ขึ้นมาอย่ามาบ่นนะ” ฉันได้แต่เบะปากมองบนอย่างไม่พอใจในขณะที่มนบีบครีมใส่มือแล้วมาลูบทาบนแขนของฉันยกใหญ่ เหมือนแม่เลยจริง ๆ “พวกเราไปถ่ายรูปตรงนั้นกันไหม” วิชี้ไปทางโขดหินก้อนใหญ่ก่อนพวกเราจะเดินย่ำหาดทรายเพื่อไปถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน “ห้องนอนได้ห้องละสองคนนะ” พี่คุณเดินมาพร้อมกับกุญแจห้อง “ฉันนอนกับนิดานะคะ” พี่ธิดาว่าพลางเดินเข้ามากอดคอฉัน “ได้ค่ะ” ฉันส่งยิ้มรับ “แล้วพี่นอนกับใครล่ะ” พี่คุณเอ่ยทักท้วง ได้ข่าวว่าหลังจากที่พี่ธิดาเรียนจบทั้งส
“หยุดยาวนี้ไปเที่ยวทะเลกันไหม” ฉันพลิกตัวมานอนค่ำบนเตียงนอนในขณะที่เพื่อนของฉันอีกสองคนกำลังนอนเปื่อย ๆ ในห้องนอน คอนโดฯ ของมน เจ้าของห้องนอนไถโซเชียลไปมาในขณะที่วิกำลังนอนอ่านหนังสืออย่างเบื่อหน่าย “พ่อฉันอะไม่เท่าไร แต่พ่อแกกับพ่อวิจะให้ไปเหรอ” มนเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามทั้งฉันและวิ “หยุดยาวป๊าไปต่างประเทศ แอบไปเขาก็ไม่รู้หรอก” วิพูดพร้อมกับปิดหนังสือในมือลงเพื่อหันมาให้ความสนใจ “ใครสั่งใครสอนให้ลูกฉันเป็นเด็กใจแตกเนี่ย” มนเอ่ยแซว แต่กับเรียกสายตาของฉันและวิให้หันไปจ้องมองจนคนที่ถูกจับจ้องกระพริบตาถี่รัวอย่างประหม่า “แล้วแกล่ะนิดา พ่อแกให้ไปเหรอ” “พี่คิณบอกว่าจะไปขอพ่อให้” “แกคิดว่าพี่คิณจะขอพ่อแกได้เหรอ พ่อแกเขาก็ดูไม่ค่อยปลื้มที่แกมีแฟนสักเท่าไรนะ ถ้าไม่ติดที่เกรงใจแม่แกอะ” วิว่าอย่างขำขัน ฉันเองก็ขำพอกัน พ่อฉันหวงฉันมาก ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่พอแม่เล่าให้ฟังฉันก็กระจ่างแจ้งเลย เพราะตอนเป็นวัยรุ่นพ่อเจ้าชู้มาก ๆ พ่อเลยกลัวว่ากรรมจะตามสนองกลัวว่าฉันจะเจอผู้ชายที่ไม่ดี แต่แม่ก็ได้ล้างบาปใ
“อยากไปเที่ยวทะเลชะมัดเลย” ฉันไถหน้าจอโทรศัพท์มือถือดูโซเชียลไปมาอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้ฉันสอบเสร็จหมดแล้วเตรียมที่จะขึ้นปีสองอย่างสมบูรณ์ ส่วนพี่คิณน่ะเหรอก็วุ่นอยู่กับโปรเจกต์จบจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะนอนพักเสียด้วยซ้ำ “ไว้พี่เรียนจบแล้ว เราไปด้วยกันนะคะ” พี่คิณยกยิ้มมุมปากพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวฉันเบา ๆ “ฉันอยากให้พี่ไปพักผ่อน ทำไมถึงได้ลากฉันมาดูหนังได้ล่ะคะเนี่ย” ฉันเลิกคิ้วขึ้นถาม ถึงแม้ในใจจะดีใจมากก็ตามที “ช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย พี่เลยหาเวลามาอยู่กับหนูไงคะ” “แฟนใครเนี่ยน่ารักจัง” ฉันกอดแขนของคนพี่พลางซบใบหน้าลงกับไหล่แกร่ง ช่วงนี้พี่คิณดูผอมลงหรือเปล่านะ ต้องเป็นเพราะพักผ่อนไม่พอแน่ ๆ “ไปดูหนังกันเถอะครับ หนังจะเข้าแล้ว” “โอเคค่ะ” พี่คิณพาฉันเดินเข้ามาในโรงหนัง พวกเรานั่งดูภาพยนตร์จนจบเรื่องก่อนจะเดินออกมาจากโรงหนัง หนังเรื่องเมื่อกี้เป็นหนังที่ฉันอยากดูมากแล้วพี่คิณก็ตามใจพาฉันมาดูเพราะรู้ว่าฉันชอบดูหนังผีมากแค่ไหนถึงพี่คิณจะแอบกลัวผีอยู่หน่อย ๆ ในโรงหนังเมื
ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า สายตาพร่ามัวมองเพดานห้องสีขาวที่ลอยไปมาในอากาศก่อนจะกลับมารวมกันจนเห็นเป็นภาพได้ชัดเจน ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อขจัดความเมื่อยล้าแต่กับถูกแรงรัดจากวงแขนของใครบางคนดึงร่างกายเปลือยเปล่าภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเข้ามาแนบชิดเนื้อหนังอุ่น เดี๋ยวนะ ที่เมื่อคืนฝันว่างูรัดไม่ใช่งูจริง ๆ หรอกเหรอ ฉันลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างตกตะลึงสายตาก้มลงมองร่างกายของตัวเองที่ขลุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาก่อนจะบกมือขึ้นมาหยิบมันขึ้นอย่างลุ้นระทึก ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าปกคลุมทั้งฉันและชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งตรอกย้ำว่าเมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องจริง บทเพลงรักอันเร่าร้อนที่ถูกบรรเลงขึ้นเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริง เมื่อฉันตั้งสตินึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของฉันก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกับมีแสงแดดมาส่องหน้า “พี่คิณคะ” ฉันเขย่าปลุกอีกฝ่าย “อือ” พี่คิณส่งเสียงครางต่ำในลำคออย่างไม่พอใจยิ่งซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอของฉัน ลมหายใจอุ่นรินรดต้นคอเสียจนมันจั๊กจี้ในหัวใจ “ตื่น