“นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป
“พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน
“เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย
“เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ
“แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา
“ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหงิดเล็กน้อยราวกับว่าหมั่นไส้ฉันอย่างนั้นแหละ
“แกก็อย่าไปให้ความหวังมันมากดิ ต่อให้พี่คิณจะหล่อก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนดีปะ”
“นี่แกว่าพี่คิณฉันเป็นคนไม่ดีเหรอ”
“ไม่ใช่ แค่อยากให้ดูไปก่อนแต่ถ้าพี่คิณเขาเป็นผู้ชายอบอุ่นแบบนี้จริง ๆ อะ แกจะคบกับพี่เขาฉันก็ไม่ขัดหรอก ใช่ไหมวิ” วิพยักหน้าก่อนจะหันหน้ามาทางฉันพร้อมกับยกมือขึ้นเท้าคาง
“ถ้าเพื่อนเราเป็นแฟนกับพี่คิณจริง ๆ ก็ดีน่ะสิ ฉันอยากเห็นพี่ชายของพี่คิณตัวเป็น ๆ อะ”
“พี่ชายของพี่คิณเหรอ” ฉันเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
“อย่าบอกนะแกคุยกับพี่เขาทุกวันแกไม่รู้ว่าพี่คิณมีพี่ชายอะ” มนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“รู้ แต่พี่ชายพี่คิณคือใครเหรอทำไมแกถึงอยากเห็นอะวิ”
“อ้าว ตระกูลบูรณ์พิภพมีแต่ผู้ชายหน้าตาดีแถมคุณคุณานนต์พี่ชายของพี่คิณเป็นถึงเจ้าของกิจการของตระกูลบูร์พิภพด้วยนะ หน้าตาก็คงจะหล่อพอ ๆ กับพี่คิณเนี่ยแหละ คงจะให้ความรู้สึกแบบพี่คิณในเวอร์ชันที่โตกว่าอะแก”
“ข้อมูลแน่นเหมือนกันนะเนี่ยวิ” มนเอ่ยแซวเพื่อนสาวที่ปกติไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องผู้ชายมาก่อน พอเห็นว่าวิสนใจก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ
“ข้อมูลเบสิกปะแก แต่ผู้ชายเพอร์เฟกต์เบอร์นั้นอะ คงมีแฟนแล้วแหละ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ คุณสมบัติที่ผู้หญิงทั่วโลกต้องการอย่างนั้นอะ” ฉันส่ายหน้ารู้สึกเสียดายที่ผู้ชายดี ๆ แบบนี้ทำไมถึงได้มีจำนวนน้อยนิดเหมือนกับการหาข้าวในกุ้งผัดข้าวที่พี่คิณทำมาให้ในวันนี้
เอ๊ แต่ผู้ชายที่พูดถึงนั่นมันพี่ชายของพี่คิณไม่ใช่เหรอ เชื้อต้องไม่ทิ้งแถวแน่ ๆ เพราะจะมีผู้ชายสักกี่คนนอกจากพ่อกับพ่อค้าร้านอาหารตามสั่งที่จะทำกับข้าวให้ฉันกินตอนเช้าได้แบบนี้
ฉันอมยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปากกินอย่างมีความสุขจนรู้สึกได้ถึงความอาฆาตของเพื่อนทั้งสองคน แต่ฉันไม่สนใจหรอก จะทำให้กุ้งผัดข้าว เอ๊ย ข้าวผัดกุ้งของพี่คิณหม่นหมองหมดอร่อยไม่ได้
“แกคุยไลน์กับพี่เขาอีกแล้วเหรอ” วิเอ่ยถามขณะที่พวกเราสามคนกำลังนั่งทานชาบูในร้านอาหารร้านหนึ่ง
“นิดหน่อยอะ” ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะนั่งทานอาหารในจานของตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย
“แกไม่กลัวผิดใจกับพี่เมนิลแล้วหรือไง” มนถามขึ้นมาทำเอาฉันหยุดชะงักแล้วเงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมามองเพื่อนรัก
“ไม่รู้ดิ พอพูดถึงก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเลย”
“กลัวอะไร กลัวสู้พี่เขาไม่ได้ กลัวพี่เขาโกรธ หรือว่ากลัวคนอื่นมองแกไม่ดีอะ” วิเอียงคอพลางเอ่ยถามฉันอย่างสงสัย
“ก็กลัวทั้งหมดอย่างที่แกว่า” อันที่จริงฉันก็กลัวทั้งหมดนั่นจริง ๆ นั่นแหละ ใครจะไปคิดว่าแฟนเก่าของพี่คิณจะเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้ แล้วฉันก็ไม่อยากให้ใครรู้สึกไม่ดีเพราะฉันด้วย
“เราถามจริงเหอะ แกจะคบกับใครทีก็ต้องกลัวว่าแฟนเก่าเขาคิดยังไงด้วยเหรอ แฟนเก่า ก็ต้องแปลว่าจบกันแล้วหรือเปล่า”
“แต่แฟนเก่าของพี่คิณคือพี่เมนิลพี่รหัสของฉันเลยนะ แถมพี่เมนิลก็เหมือนยังชอบพี่คิณอยู่ด้วย”
“พี่เมนิลก็พี่เมนิลเหอะ แกมีอะไรสู้พี่เมนิลไม่ได้อะ” ฉันนั่งไหล่ตกอย่างห่อเหี่ยว อะไรที่ฉันสู้พี่เมนิลไม่ได้น่ะเหรอ หน้าตาพี่เขาก็มีดีกรีเป็นดาวคณะ แถมยังเป็นสาวฮอตอีก ใคร ๆ ก็ชอบพี่เขา ขนาดฉันยังชอบเลย
“ถามจริงถ้าพี่คิณเกิดชอบแกจริง ๆ แกก็จะปล่อยพี่คิณไปน่ะเหรอ ไม่แฟร์กับพี่คิณปะ”
“ตอนแรกแกยังบอกดู ๆ กันไปอยู่เลยทำไมคราวนี้มาเข้าข้างพี่คิณเฉย” มนถอนหายใจพลางมองมาจ้องมาทางฉันด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ฉันแค่สมมติ”
“นี่ถ้าแกชอบพี่คิณอะ แกก็จีบไปเลยอย่างน้อยก็ให้รู้ว่าพี่คิณชอบแกหรือเปล่าจะได้ไม่ต้องมานั่งกลุ้มเรื่องที่ยังไม่เกิดไง ค่อย ๆ แก้ปัญหาไป
ทีละเรื่องเข้าใจปะ” วิกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“แล้วถ้าพี่คิณไม่ชอบฉันอะ”
“ก็บอกจีบไปก่อนไง ถ้าไม่จีบจะทำให้พี่เขาชอบได้ไงล่ะนิดา” ฉันเบะริมฝีปากพลางเขี่ยหมูในจานด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
“คนอย่างฉันใครจะมาชอบอะ”
“ก็บอกให้ลองก่อนไง” วิแทบจะแยกเขี้ยวใส่ฉันด้วยความหงุดหงิด
ดีที่มีมนคอยตบไหล่เบา ๆ ให้ใจเย็นลง ไม่นึกว่าพอกลายเป็นเรื่องความรักจะทำเอาสองคนนี้สลับขั้วกันขนาดนี้“เออลองดูก็ได้ค่ะโค้ชเทวิกา”
“ยอมรับนะ ถึงฉันจะสวยและแซ่บมากแต่ประสบการณ์ความรัก วิมีเยอะกว่า” มนหัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนจะดื่มน้ำอัดลมแก้เขิน
“ก็แค่นี้แหละ” วิว่าก่อนจะใช้ตะเกียบคีบผักในหม้อชาบูมาใส่จานตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันได้แต่มองเพื่อนทั้งสองสลับไปมาแล้วก็ถอนหายใจแล้วก้มหน้าก้มตาทานต่อ
หลังจากแยกทางกับเพื่อนสนิททั้งสองฉันก็เดินมาที่ร้านหนังสือตามลำพังเพื่อหาอะไรอ่านเล่นเสียหน่อย ไม่ได้เข้าร้านหนังสือนานแล้วไปเดินเล่นแก้เบื่อหน่อยแล้วกัน
“อ้าวนิดา” ฉันหันไปมองตามเสียงเรียกระหว่างที่กำลังหยิบหนังสือมาดูอย่างสนใจ
“พี่เมนิล” สาวรุ่นพี่เดินมาหาฉันพร้อมส่งยิ้มให้
“มาหาหนังสืออ่านเหรอ”
“ค่ะ เบื่อ ๆ ก็เลยมาหาอ่านเล่นพี่ล่ะคะมาหาหนังสือเหมือนกันเหรอ”
“เปล่าหรอกพี่มาเดินเล่นแถวนี้เลยแวะมาทักอะ”
“งั้นเหรอคะ” ฉันยิ้มอ่อนก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับหนังสือต่อ
“ช่วงนี้สนิทกับพี่คิณเหรอ” คำถามของพี่เมนิลทำเอาหัวใจของฉันหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่มก่อนจะตีหน้ายิ้มหันกลับมาหาสาวรุ่นพี่ที่ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม
“ก็เฉย ๆ นะคะ”
“เห็นพี่คิณเอาข้าวกล่องมาให้ทุกวันเลยนี่”
“พี่คิณเขามาหาเพื่อนน่ะค่ะ เลยแวะมาให้”
“ช่วงนี้ปีสี่เขาฝึกงานกันหมด ใครเขาจะว่างมาที่คณะกันล่ะ” น้ำเสียงของคนพี่เริ่มเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นพลางกอดอกมองมาทางฉัน สีหน้าที่ยิ้มแย้มกลายเป็นสีหน้าที่ดูจะคาดคั้นเอาคำตอบจากฉัน
“คือ... พี่คิณบอกหนูอย่างนั้นน่ะค่ะ หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉันตอบตามความจริง
“งั้นเหรอ” รุ่นพี่ตรงหน้าปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า ฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่ามันเป็นสายตาของความดูแคลนหรือเปล่า
“พี่เมนิลมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอกจ้ะ” หญิงสาวยกยิ้มขึ้นมาจนฉันรู้สึกแปลกใจ “พี่แค่อยากรู้น่ะ ว่าพี่คิณกลายเป็นเด็กส่งอาหารตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ค่ะ” ฉันตอบรับเพียงสั้น ๆ
“แปลกจังนะ ไม่คิดว่าพี่เขาจะให้ความสำคัญกับการทานอาหารของหลานรหัสขนาดนี้” ฉันยกยิ้มเจื่อน ๆ
“พี่เมนิลก็น่าจะรู้นี่คะว่าพี่คิณเป็นคนยังไง”
“รู้เหรอว่าพี่คิณกับพี่สนิทกัน” ฉันพยักหน้ารับ
“พี่คิณเป็นคนบอกหนูว่าพี่สองคนเคยคบกันแต่ว่าเลิกกันไปนานมากแล้ว”
“ก็ไม่ได้นานมากจนพี่ลืมว่าพี่คิณเป็นคนยังไงหรอกนะ”
“ไม่ลืมก็ดีแล้วค่ะ ถึงยังไงพี่คิณก็เป็นรุ่นพี่แถมยังเป็นรุ่นพี่ในคณะด้วยมีมิตรที่ดีต่อกันก็ดีกว่ามีศัตรูใช่ไหมคะ”
“จ้ะ พี่ไปก่อนนะ”
“ค่ะพี่เมนิล บ๊ายบายค่ะ” ฉันโบกมือลาพี่รหัสสาวก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากร้านหนังสือทำเอาฉันหายใจโล่งขึ้นมาเยอะเลย อะไรกันเนี่ยทำไมถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้นะ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่เมนิลจะมีรังสีที่น่ากลัวอย่างนี้
เสียงแจ้งเตือนข้อความโทรศัพท์ดังขึ้นจนฉันต้องรีบหยิบขึ้นมาดู
[พี่รออยู่หน้าห้างนะครับ]
“ค่ะ” ฉันรีบตอบกลับก่อนจะรีบเดินออกจากร้านหนังสือมุ่งไปที่ลานจอดรถอย่างอารมณ์ดี
พอมาถึงลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้าฉันก็กวาดสายตามองหาร่างสูงของพี่คิณทันที รุ่นพี่หนุ่มโบกมือมาทางฉันก่อนที่ฉันจะรีบพุ่งเข้าไปหาพี่เขาทันทีอย่างกับมีปีก
“เป็นไงอิ่มไหม”
“หมายถึงชาบูหรือข้าวกล่องเช้านี้คะ”
“ทั้งคู่นั่นแหละ”
“ก็ต้องอิ่มอยู่แล้วล่ะค่ะ แทบจะกลิ้งได้อยู่แล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ” พี่คิณหัวเราะร่วนก่อนจะเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ “ขึ้นรถสิ”
“เป็นไงมาไงถึงมารับหนูได้ล่ะคะ”
“พี่ขับรถผ่านมาแถวนี้พอดีอ่ะ”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้ารับเข้าใจก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถก่อนพี่คิณจะปิดประตูลง สายตาของฉันเหลือบไปเห็นพี่เมนิลที่เดินมาพร้อมชายหนุ่มอีกคนแต่สายตากลับจับจ้องมาทางฉันด้วยสีหน้าบึ้งตึงเหมือนจะไม่พอใจ
“นั่นพี่เมนิลนี่คะ” ฉันบอกพี่คิณที่เพิ่งเข้ามานั่งบนรถ พี่คิณเงยหน้าขึ้นมามองตามที่ฉันบอก
“ก็คงมาเที่ยวเหมือนเรานั่นแหละ เราอย่าลืมรัดเข็มขัดด้วยนะ”
“ค่ะ ๆ ๆ” ฉันรีบเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยแล้วคาดรัดให้เรียบร้อยก่อนที่พี่คิณจะขับรถออกไปจากห้างสรรพสินค้า พี่คิณนิ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ฉันก็เดาไม่ออกว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“เป็นไงอร่อยไหม”
“ข้าวกล่องหรือชาบูคะ”
“ทั้งคู่เลย”
“ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วยิ่งข้าวกล่องยิ่งอร่อยค่ะ” ฉันฉีกยิ้มกว้าง
“แล้วอยากทานอะไรอีกล่ะ”
“อื้มม” ฉันเม้มริมฝีปากพลางใช้สมองครุ่นคิด “หนูไม่รู้จะทานอะไรแล้ว พี่คิณอยากทำอะไรก็ทำเลยแล้วกันค่ะ ทำแบบเป็นกล่องสุ่มไปเลย”
“แน่ใจเหรอว่าจะทานได้”
“พี่คิณทำอะไรก็อร่อยหมดนั่นแหละค่ะ”
“โอเค เดี๋ยวพี่กลับไปคิดว่าจะทำอะไรให้เราทานดี”
“เอาแบบที่ไม่รบกวนเวลาพี่มากเกินไปนะคะ เห็นช่วงนี้พี่ยุ่ง ๆ นี่นา” พี่คิณยกยิ้มทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ท้องถนน
“เรื่องของเราพี่มีเวลาเสมอแหละ” ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาตามจังหวะหัวใจที่เต้นถี่ ๆ ขึ้นมาเสียใจต้องเสหน้าหลบไปมองถนนแทน
บ้าเอ๊ย ทำไมมันเขินอย่างนี้เนี่ย
“แก ๆ ๆ” ฉันรีบวิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาหาเพื่อนสนิททั้งสองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร “มีอะไรวิ่งหน้าตั้งมาเลย” มนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มนแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าวันนี้คณะวิศวะฯ แข่งบาสเกตบอลกับคณะแพทย์” น้ำเสียงเหนื่อยหอบระคนตื่นเต้น ฉันหอบหายใจพลางรีบลากเพื่อนทั้งสองให้ลุกขึ้น “เชี่ย ศึกแดงเดือด” มนอุทานก่อนจะรีบโกยหนังสือลงกระเป๋าเป้โดยมีวิที่เงยหน้าขึ้นมามองตาใส “จะไปกันเหรอ” “แกไม่อยากมีแฟนคณะแพทย์หรือไง พี่หมอน่ะไทป์แกไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว” ฉันรีบหยิบหนังสือใส่กระเป๋าผ้าของเพื่อนรักแล้วจูงมือเพื่อนทั้งสองให้วิ่งตามอย่างเร่งรีบ ทั้งมนและวิต่างรีบวิ่งตามฉันให้ทันโดยมีฉันวิ่งนำอยู่ไม่ไกล ฮือ ถ้าชีวิตมีพี่คิณเป็นเส้นชัย นิดาก็พร้อมสับจนเท้าแหลก พอมาถึงโรงยิมพวกเราก็รีบเข้าไปข้างในพลางบดเบียดสอดแทรกผู้คนให้มาอยู่ด้านหน้า “น้องนิดามาแล้ว” ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก พี่ธิดาเพื่อนสาวในกลุ่มพี่คิณรีบกวักมือเรียกฉันและเพื่อน ๆ “น้องนิดามาดูด้วยเหรอ” พี่มิลพ่อหนุ่มจอมแพรวพราวเอ่
“นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป “พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน “เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา “ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหง
“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ในโรงอาหาร “นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้ “ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง “ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ” “หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา” “หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา” “หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก” “เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น “คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ” “อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจ “ก็อย่า
“ไปเดินเล่นกันไหม” “คะ?” ถ้อยคำเชิญชวนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำเอาฉันต้องถามกลับอีกรอบให้แน่ใจ “ไปเดินเล่นด้วยกันหรือเปล่า พวกแม่ ๆ เขาคุยกันอยู่ ไม่อยากไปขัดท่าน” “เอ่อ... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างเหนียมอายก่อนจะเดินข้างพี่คิณออกไป แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา” “หนูก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่คิณเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่แต่งตัวพิลึกแบบนี้” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงติดงอแง อีกนิดฉันจะปาดน้ำตาโชว์พี่คิณที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้วเนี่ย “ก็ว่าอยู่ ไม่คิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้” พี่คิณว่าอย่างขบขัน ฉันได้ยินพี่เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยจนฉันต้องหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “ก็ฉันไม่อยากให้ใครมาชอบฉันนี่คะ” “งั้นที่บอกว่าถ้ารู้ว่าเป็นพี่จะไม่แต่งตัวแบบนี้คือ...” เดี๋ยวนะ บอกแบบนี้ก็หมายความว่าอยากให้พี่คิณชอบน่ะสิ “ไม่ค่ะ ๆ ๆ คือหนูรู้อยู่แล้วไงว่าพี่ไม่มีทางชอบหนูหรอก” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของพี่เขาพลางส่ายหน้าระรัวด้วยความลนลานแล้วส่งยิ
“บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน “แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา “แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น “นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ “นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเ
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ “เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย “ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด “อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่