“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ใน
โรงอาหาร“นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้
“ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง
“ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ”
“หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา”
“หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา”
“หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก”
“เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น
“คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ”
“อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วย
ความเกรงใจ“ก็อย่างที่บอกแหละ พี่คิณคือลูกของเพื่อนแม่ฉัน แล้วเขาก็เห็นสภาพน่าอนาถของฉันด้วย” ฉันปล่อยมือออกจากริมฝีปากของเพื่อนทั้งสอง
“ให้ตายเถอะ” มนบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นมากุมขมับอย่างเหนื่อยหน่าย
“แต่ก็ไม่น่าเป็นไรนี่ พี่เขามีแฟนแล้วด้วยต่อให้แต่งตัวสวยยังไงพี่เขาก็ไม่น่าสนใจปะ” วิขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เป็นประโยคที่เล่นเอาใจเจ็บมากเลยนะวิ
“แกแต่ว่าพี่คิณเขาไม่ได้คบกับพี่เมนิล”
“ถามจริงแกรู้ได้ไงวะ” มนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“พี่เขาบอกฉันเองอะ พี่เขาบอกว่าแค่บังเอิญไปเจอกันเฉย ๆ”
“คำพูดของผู้ชายเชื่อได้เหรอ” วิกล่าวเสริม
“ฉันก็ไม่รู้อะแต่ว่าพี่เขาซื้อเสื้อให้ฉันด้วย”
“พี่เขาดูไม่ได้จนต้องซื้อเสื้อให้เลยเหรอวะ” มนว่าพลางสายหน้าแล้วกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ
“ไม่แก พี่เขาชมฉันว่าน่ารักด้วยแหละ” เพื่อนทั้งสองหันมามองฉันอย่างตกตะลึง ใบหน้าของฉันเห่อร้อนยามที่นึกถึงตอนที่พี่คิณเอ่ยชมฉันจนแทบจะหุบยิ้มที่มุมปากไม่ลง
“มน เราว่านิดาอาการหนักแล้วว่ะ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ เขาแค่ชมตามมารยาทหรือเปล่า” ฉันหุบยิ้มลงกะทันหันราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางหน้าผาก
“แล้วขอไลน์กันนี่มันตามมารยาทไหมอะ” ฉันโน้มใบหน้าเข้ามาหาเพื่อนสนิทก่อนจะเอ่ยถามด้วยความรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะงั้น กลัวว่าจะต้องคิดไปเองอีกตามเคย
“ว่าไงนะ” มนเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
“พี่เขาขอไลน์ฉัน แกว่าขอตามมารยาทหรือเปล่า”
“ตอนพี่เขาขอพี่เขาพูดว่าอะไร” มนเค้นถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ด้วยความอยากรู้
“ก็พี่เขาบอกว่าเดือนหน้ามีหนังใหม่น่าดู อยากชวนไปดูด้วยกันอะ”
วิเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกก่อนจะดึงตัวของมนให้กลับมานั่งที่เดิมอย่าเรียกว่าดึงดีกว่าให้เรียกว่ากระชากจนมนแทบจะตกเก้าอี้
“แกดึงฉันทำไมเนี่ยยายวิ”
“พี่คิณมา” พวกเราทั้งสามคนตัวแข็งทื่อก่อนจะหันขวับไปจับจ้องทางชายหนุ่มรุ่นพี่ที่กำลังเดินมาตามลำพัง ร่างสูงสวมใส่เสื้อช็อปของคณะพร้อมกับล้วงมือลงกระเป๋าบนเสื้อช็อปก้าวเดินมา ใบหน้าหล่อยังคงแสดงสีหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“พี่คิณ มาทำอะไรคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากที่พี่คิณเดินมาหยุดอยู่ตรงโต๊ะที่กลุ่มฉันนั่งอยู่
“เมื่อเช้าพี่เดินผ่านร้านชานมพอดีเลยซื้อมาฝาก” พี่คิณวางถุงแก้วชานมไข่มุกสามแก้วลงบนโต๊ะ
“เฮ้ยอยากดื่มพอดีเลยค่ะ” ดวงตาฉันวาวเป็นประกายจ้องมองชานมไข่มุกร้านโปรดบนโต๊ะด้วยความดีใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นไป “ขอบคุณนะคะ”
“จะได้ไม่บ่นอยากดื่มชานมไข่มุกตอนเที่ยงคืนอีก” ฉันหรี่ดวงตามองคนพี่อย่างคาดโทษ “ทานให้อร่อยนะ”
พี่คิณหันมาคลี่ยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนอีกสองคนแล้วหันกลับมาหาฉัน
“พี่ไปเรียนก่อนนะ” ฉันมองตามแผ่นหลังกว้างของคนพี่เดินออกไปจนลับหายเข้าไปในตึกเรียน
“มาแค่เนี่ย” มนว่าอย่างเสียดาย “ไหนดูซิมีอะไรกิน”
“แกบ่นอยากกินชานมไข่มุกตอนเที่ยงคืนกับพี่คิณเนี่ยนะ” วิมองตามแก้วชานมที่ถูกมนหยิบออกมาวางไว้ตรงหน้าเธอ ก่อนจะนำไปวางไว้ตรงหน้าฉัน ส่วนอีกแก้วเธอก็เจาะดื่มเองอย่างสบายอารมณ์
“ก็คนมันหิวนี่” ฉันบ่นพึมพำก่อนจะดึงแก้วชานมไข่มุกเข้าหาตัวก่อนจะเจาะหลอดแล้วดูดดื่มมันอย่างชื่นใจ ชานมไข่มุกเจ้าโปรดจะเยียวยาคุณเอง
“เรื่องนิดาบ่นหิวมันไม่แปลกหรอก แต่แปลกที่พี่คิณซื้อมาเนี่ยดิ” วิยกชานมไข่มุกขึ้นมาดื่ม “แถมยังรู้เจ้าโปรดมันด้วยนะ”
“อะแฮ่ม ๆ” มนกระแอมไออยู่ข้างฉันขณะที่พวกเรากำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน
“มีอะไร” ฉันกระซิบถามพลางลอบมองอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้อง
“คุยกับใครอยู่อะ ไม่ละสายตาเลยนะ” มนแอบชำเลืองมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของฉันที่อยู่หน้าข้อความแชตของฉันและพี่คิณค้างไว้
“ทำไมจ๊ะ อิจฉาอะดิ” ฉันยักคิ้วโอ้อวดพลางยืดชูคอขึ้นอย่างภูมิใจ
“ไหนบอกว่ากลัวพี่เมนิลไง สภาพอย่างนี้ไม่น่ากลัวแล้วนะ” มนว่าก่อนจะหันไปมองตรงยังโพรเจกเตอร์ที่ถูกฉายอยู่ด้านหน้า
“แต่ฉันพูดจริงนะ” ฉันวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนจะแสดงสีหน้าคร่ำเครียด “พอรู้ว่าพี่เมนิลเป็นแฟนเก่าพี่คิณฉันยิ่งรู้สึกลำบากใจยังไง
ก็ไม่รู้อะ”“พี่เมนิลเป็นแฟนเก่าพี่คิณเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย”
“ฉันก็เพิ่งรู้ตอนพี่คิณบอก เห็นบอกว่าคบกันได้ไม่นาน”
“แสดงว่าพี่เมนิลก็อาจจะโดนพี่คิณทิ้ง ถึงได้ดูยังชอบพี่คิณอยู่” ฉันถอนหายใจยาว
“แล้วฉันจะเอาอะไรไปสู้แฟนเก่าเขาเนี่ย”
“ถ้าแฟนเก่าดีจริงเขาจะเลิกกันทำไมวะ” มนกระทุ้งศอกใส่เรียวแขนของฉันเพื่อเรียกกำลังใจ “มั่นใจในตัวเองหน่อยดิ พี่คิณไม่ได้ดูเจ้าชู้ขนาดที่ตกเหยื่อไปทั่วซะหน่อย”
“แต่ถ้าพี่เมนิลเอาจริงขึ้นมา ฉันก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับพี่รหัสตัวเองนะ”
“แกจะกลัวอะไรล่ะ พี่รหัสไม่ได้ทำให้แกเรียนไม่จบสักหน่อย”
“แต่ฉันไม่อยากมีปัญหากับใครตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาเรียนนะ” มนถอนหายใจอย่างอารมณ์เสีย
“นี่ ผีเสื้ออุตส่าห์เข้ามาดมแล้วนะ ถ้าแกเห็นว่าดอกไม้อื่นมันสวยกว่า แกก็ปล่อยไปแค่นั้น” ฉันตีหน้าเศร้าหันมามองเพื่อนสนิทอย่างหมองหม่น
จริงอยู่ที่ว่าพี่คิณทำท่าเหมือนสนใจฉันจริง ๆ แต่แฟนเก่าของพี่คิณเป็นถึง พี่เมนิลเชียวนะ พี่เมนิลดาวคณะ มาตรฐานสูงขนาดนั้นเขาจะหันมามองเด็กที่ยังไม่โตแบบฉันไปทำไมกันนะ“แกคิดว่าพี่คิณเขาสนใจฉันจริง ๆ เหรอ”
“ฉันเองก็ยังไม่มั่นใจมาก แต่อย่างน้อยก็น่าจะพิเศษกว่าคนอื่นก็แล้วกัน” ฉันพยักหน้ารับช้า ๆ อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังขึ้นมาสักหน่อยก็ยังดี
“นี่พวกแกคุยอะไรกันอะ อาจารย์หันมามองค้อนตั้งหลายรอบแล้ว” วิกระซิบบอกเรียกให้ฉันกับมนกันไปมองหน้าห้องอีกครั้งโดยไม่ปริปากพูดอะไรต่อ
ฉันกลับมาถึงบ้านก่อนจะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานข้างเตียงอีกเช่นเคยก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียงนอนนุ่มอย่างเหนื่อยหน่าย
โทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนข้อความเข้าอีกครั้ง ฉันรีบกดเข้าไปดูอย่างไม่รีรอ
พี่คิณส่งข้อความมา
[ถึงบ้านหรือยังครับ]
“ถึงแล้วค่ะ” ฉันพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
พี่คิณอ่านอย่างรวดเร็วราวกับว่าเปิดแชตค้างไว้ สักพักก็มีสายเรียกเข้าโทร.เข้ามาทำเอาฉันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตกใจ
พี่คิณโทร.มา กรี๊ดดด
ฉันรีบกดปุ่มรับโทรศัพท์อย่างฉับไว
“สวัสดีค่ะพี่คิณ”
[ถึงบ้านแล้วเหรอ]
“ค่ะ ถึงแล้วค่ะ พี่คิณล่ะคะ กลับบ้านหรือยัง” ฉันพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวเพราะความตื่นเต้น ต้องไม่ให้พี่คิณรู้ว่าตอนนี้ฉันแทบจะดีดดิ้นบนเตียงนอนนุ่ม
[ถึงแล้วล่ะ เป็นไง ชาเมื่อเช้าอร่อยไหม]
“อร่อยมากเลยค่ะ ต้องขอบคุณพี่มากนะคะที่ส่งชานมเจ้าโปรดมาเยียวยาหนู” ฉันแอบได้ยินเสียงพี่เขาคำในลำคอเล็ดลอดมาจากปลายสาย ทำเอาฉันยิ้มไม่หุบเลย
[ยังไงตอนเช้าพี่ก็ต้องผ่านอยู่แล้วเดี๋ยวพี่ซื้อไปฝากแล้วกัน]
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ หนูเกรงใจอะ อีกอย่างให้ดื่มชานมไข่มุกทุกวันหนูกลัวว่า หนูจะอ้วนอะสิ”
[ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ว่าแบบนี้ก็น่ารักดีนิ]
ใบหน้าของฉันร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างกับกระทะร้อน ฉันรีบลุกขึ้นมาส่องตัวเองในกระจกพวงแก้มขาวของฉันขึ้นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด
“แล้วถ้าเกิดว่าฉันอ้วนขึ้นแล้วไม่มีใครจีบ หาแฟนไม่ได้พี่จะรับผิดชอบฉันไหมคะเพราะพี่เป็นคนทำให้ฉันอ้วนน่ะ”
[ให้พี่รับผิดชอบยังไง]
“อืมมม” ฉันลากเสียงยาวพลางใช้สมองครุ่นคิด
[พี่รับผิดชอบเราได้นะ อยากทานอะไรล่ะเดี๋ยวพี่ทำให้]
“พี่คิณทำอาหารเป็นด้วยเหรอคะ” ฉันตาประกายลุกวาวเมื่อได้ฟัง
[ทำได้สิ พี่รับผิดชอบให้เราทานอิ่มได้ทุกมื้ออยู่แล้ว]
“นี่พี่จะขุนหนูจริง ๆ เหรอคะเนี่ย” ฉันแอบขำออกมาเบา ๆ
[แน่นอน อยู่กับพี่ไม่อดตายหรอกมีแต่อ้วนขึ้น]
“หนูอยากทานไข่เจียว”
[ง่าย ๆ เดี๋ยวพี่ทำไปให้พรุ่งนี้ แค่นี้ก่อนนะพี่ต้องไปทำงานต่อ]
“ค่ะ แค่นี้นะ” ฉันรีบกดวางสายก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบแนบอกภายในหัวใจเต้นตึกตักระรัวจนเหมือนว่ามันกำลังจะทะลุออกมาระเบิดนอกร่างอย่างนั้นแหละ
นี่ฉันกำลังจะได้กินไข่เจียวฝีมือพี่คิณจริง ๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ
ไม่สิ ไม่ ๆ ๆ แค่ได้โทร.คุยกับพี่คิณแค่นี้ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อมากพอยู่แล้ว
ฉันเหลือบไปมองร่มคันนั้นที่พี่คิณให้มาในวันฝนตกหนัก มันยังคงถูกแขวนไว้ที่ข้างโต๊ะทำงานโดยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งกับมัน
ถ้าพี่คิณจะน่ารักขนาดนี้ ให้หนูไปแย่งชิงกับพี่เมนิลหนูก็ยอมค่ะ
ฉันรีบเด้งตัวตรงก่อนจะเดินกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะทำงาน สายตาจับจ้องไปยังแล็ปท็อปที่ถูกวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอื้อมไปเปิดมันขึ้นมาแล้วเข้าไปส่องสื่อโซเชียลของพี่เมนิลสักหน่อย
โอ้โหคนติดตามหลักหมื่น คนกดใจเป็นพัน
ฉันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
แล้วฉันจะสู้เขาได้ยังไงเนี่ยยย
“แก ๆ ๆ” ฉันรีบวิ่งหน้าตื่นหน้าตั้งมาหาเพื่อนสนิททั้งสองที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะในโรงอาหาร “มีอะไรวิ่งหน้าตั้งมาเลย” มนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยถามด้วยความงุนงง “มนแกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าวันนี้คณะวิศวะฯ แข่งบาสเกตบอลกับคณะแพทย์” น้ำเสียงเหนื่อยหอบระคนตื่นเต้น ฉันหอบหายใจพลางรีบลากเพื่อนทั้งสองให้ลุกขึ้น “เชี่ย ศึกแดงเดือด” มนอุทานก่อนจะรีบโกยหนังสือลงกระเป๋าเป้โดยมีวิที่เงยหน้าขึ้นมามองตาใส “จะไปกันเหรอ” “แกไม่อยากมีแฟนคณะแพทย์หรือไง พี่หมอน่ะไทป์แกไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว” ฉันรีบหยิบหนังสือใส่กระเป๋าผ้าของเพื่อนรักแล้วจูงมือเพื่อนทั้งสองให้วิ่งตามอย่างเร่งรีบ ทั้งมนและวิต่างรีบวิ่งตามฉันให้ทันโดยมีฉันวิ่งนำอยู่ไม่ไกล ฮือ ถ้าชีวิตมีพี่คิณเป็นเส้นชัย นิดาก็พร้อมสับจนเท้าแหลก พอมาถึงโรงยิมพวกเราก็รีบเข้าไปข้างในพลางบดเบียดสอดแทรกผู้คนให้มาอยู่ด้านหน้า “น้องนิดามาแล้ว” ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเรียก พี่ธิดาเพื่อนสาวในกลุ่มพี่คิณรีบกวักมือเรียกฉันและเพื่อน ๆ “น้องนิดามาดูด้วยเหรอ” พี่มิลพ่อหนุ่มจอมแพรวพราวเอ่
“นี่ข้าวเช้า” ตั้งแต่วันนั้นพี่คิณก็เอาข้าวเช้ามาส่งให้ฉันทุกวันที่ฉันมีเรียนในตอนเช้า “ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มรับพลางมองตามแผ่นหลังกว้างของหนุ่มรุ่นพี่เดินออกไป “พี่คิณเขาไม่ไปฝึกงานเหรอ เห็นมาที่คณะได้ทุกวัน” มนเอ่ยถามขณะนั่งดื่มกาแฟอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉัน “เห็นพี่คิณบอกว่ามาหาเพื่อนอะเลยแวะเอาข้าวเช้ามาให้” ฉันหันมายิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อนสนิทก่อนจะเปิดกล่องข้าวดู วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งแบบจุก ๆ พอฉันบอกพี่คิณเมื่อคืนว่าอยากกินกุ้งพี่เขาเลยบอกว่าจะทำข้าวผัดกุ้ง อย่าเรียกว่าข้าวผัดกุ้งเลยกุ้งผัดข้าวดีกว่าแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าวแล้วเนี่ย “เพื่อนพี่เขาก็น่าจะไปฝึกงานปะ พี่ปีสี่อยู่ติดมหาวิทยาลัยที่ไหน” วิว่าก่อนจะกัดแซนด์วิชที่ตัวเองเตรียมมาจากบ้านพลางไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ “แกพูดอย่างนี้แกกำลังให้ความหวังว่าพี่เขาตั้งใจเอาข้าวมาให้ฉันอยู่นะ” ฉันหันไปทำตาประกายใส่เพื่อนรักที่หันกลับมามองฉันด้วยหางตา “ก็น่าจะจริงปะ ดูจากดาวอังคารผู้ชายทำแบบนี้ให้ก็น่าจะคิดว่าพี่เขาจีบแกแล้วไหม” เพิ่งเคยเห็นเทวิกาของเราพูดด้วยน้ำเสียงปนหงุดหง
“ไปดูตัวมาเป็นยังไงบ้างจ๊ะเพื่อนสาว ไม่ทักมาเลยนะ แสดงว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือใช่ปะ” ประโยคทักทายจากมนที่เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือยามที่เห็นฉันเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามบนโต๊ะไม้ในโรงอาหาร “นั่นสิ เงียบไปเลยเกิดไรขึ้นไหม” วิถามเสริมด้วยความอยากรู้ “ผิดคาดมากเวอร์” ฉันนั่งลงก่อนจะรีบสุมหัวกับเพื่อนสนิททั้งสอง “ทำไมอะ เขาหล่อเหรอ” “หรือว่าเขาเกิดชอบแกขึ้นมา” “หรือว่าแกไปถูกตาต้องใจเขา” “หรือเขาเป็นคนที่พวกเรารู้จัก” “เดี๋ยว พวกแกใจเย็น ๆ” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของทั้งสองก่อนที่จะไปกันใหญ่มากกว่านี้ ทั้งสองเม้มริมฝีปากแน่นแล้วตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “เล่ามาเลย ๆ ไว” มนเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น “คืองี้ ลูกชายของเพื่อนแม่ที่ฉันไปเจออะ คือพี่คิณ” “อะไรนะ” ทั้งสองอุทานออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกันอย่างแตกตื่นจนฉันตั้งรีบยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของสองเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง แล้วหันไปมองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารพลางค่อมศีรษะขอโทษขอโพยด้วยความเกรงใจ “ก็อย่า
“ไปเดินเล่นกันไหม” “คะ?” ถ้อยคำเชิญชวนด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยทำเอาฉันต้องถามกลับอีกรอบให้แน่ใจ “ไปเดินเล่นด้วยกันหรือเปล่า พวกแม่ ๆ เขาคุยกันอยู่ ไม่อยากไปขัดท่าน” “เอ่อ... ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับอย่างเหนียมอายก่อนจะเดินข้างพี่คิณออกไป แล้วเดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินของห้างสรรพสินค้าโดยไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนด้วยซ้ำ “ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเรา” “หนูก็ไม่คิดว่าจะเป็นพี่คิณเหมือนกันค่ะ ไม่งั้นหนูก็คงไม่แต่งตัวพิลึกแบบนี้” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงติดงอแง อีกนิดฉันจะปาดน้ำตาโชว์พี่คิณที่เดินอยู่ข้าง ๆ ฉันแล้วเนี่ย “ก็ว่าอยู่ ไม่คิดว่าเราจะแต่งตัวแบบนี้” พี่คิณว่าอย่างขบขัน ฉันได้ยินพี่เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อยจนฉันต้องหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “ก็ฉันไม่อยากให้ใครมาชอบฉันนี่คะ” “งั้นที่บอกว่าถ้ารู้ว่าเป็นพี่จะไม่แต่งตัวแบบนี้คือ...” เดี๋ยวนะ บอกแบบนี้ก็หมายความว่าอยากให้พี่คิณชอบน่ะสิ “ไม่ค่ะ ๆ ๆ คือหนูรู้อยู่แล้วไงว่าพี่ไม่มีทางชอบหนูหรอก” ฉันรีบยกมือห้ามปรามความคิดของพี่เขาพลางส่ายหน้าระรัวด้วยความลนลานแล้วส่งยิ
“บอกฉันทีลมอะไรหอบให้แกแบกพวกฉันมาซื้อเสื้อผ้าได้เนี่ย” มนว่าอย่างแปลกใจพร้อมกับเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าในร้านอย่างคุ้นชิน “แม่ฉันนัดกับเพื่อนสนิทสมัยมัธยมแล้วเอาฉันไปด้วยอะดิ” ฉันว่าอย่างเบื่อหน่ายพลางเดินตามเพื่อนรักที่กำลังเลือกดูเสื้อผ้าอย่างสนอกสนใจ มนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่งต่างจากฉันที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำไปซ้ำมา ส่วนวิที่เดินตามมาอยู่อีกฝั่งก็มองเสื้อผ้าที่เข้ากับสไตล์การแต่งตัวของตัวเองที่จะออกแนวสาวน้อยน่ารักตามแบบฉบับของเทวิกา “แม่นัดเจอเพื่อนแล้วเกี่ยวอะไรกับแกอะ” วิที่ยืนเงียบอยู่สักพักเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ก็เพื่อนแม่จะหอบลูกชายมาด้วยนี่สิ ฉันว่านะต้องนัดดูตัวแหง ๆ” เพื่อนทั้งสองของฉันหยุดชะงักตัวแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็งก่อนจะหันมามองหน้ากันราวกับว่าโลกกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ฉันได้แต่มองเพื่อนสาวอย่างแปลกใจที่ทั้งสองนั้นดูอึ้งยิ่งกว่าฉันเสียอีกก่อนที่ทั้งสองจะรีบกรูกันเข้ามาหาฉันอย่างแตกตื่น “นี่แม่แกเขาดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าแกจะขึ้นคาน” มนว่าเอ่ยแซวจนฉันต้องหรี่ตามองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ “นี่ที่แกมาเลือกเสื้อผ้าเ
วันนี้เป็นวันหนึ่งที่ฉันต้องมานั่งอุดอู้เรียนอยู่ในคาบเลกเชอร์ที่แสนจะน่าเบื่อ เครื่องปรับอากาศทำความเย็นฉ่ำ ๆ ภายในห้องชวนให้ง่วงนอนจนตาปรือ “เป็นอะไรเนี่ย” วิสะกิดไหล่ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มสัปหงกด้วยความงัวเงีย “ฉันหนาวอะ เลยง่วง” ฉันหาวฟอดใหญ่พลางยกมือขึ้นป้องปากแล้วฟุบใบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเพราะไม่อาจจะทนความง่วงนอนที่เข้ามารุมเร้าเสียจนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด “อีกไม่กี่นาทีก็หมดเวลาแล้ว แกจะมาหลับตอนนี้ไม่ได้นะ” มนใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนของฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังหน้าห้องที่ยังมีอาจารย์เปิดสไลด์พร้อมกับอธิบายโดยที่ฉันไม่ได้เข้าใจเนื้อหาหรือแม้แต่จะฟังมันอย่างตั้งใจด้วยซ้ำ ฉันได้แต่หรี่ตามองข้อความที่ขึ้นมาผ่านตาให้ผ่านพ้นไปในแต่ละนาทีอย่างใจจดใจจ่อแม้ในหัวจะโล่งจนเหมือนได้ยินเสียงลมพัดผ่านความว่างเปล่าก็ตามที จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเลิกคลาส เพื่อน ๆ ในห้องต่างเริ่มทยอยเดินออกกันมาด้วยท่าทีที่เหมือนหมดแรงกันเป็นแถบ รวมถึงฉันด้วย ฉันและเพื่อนสาวอีกสองคนเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบกับลมแรงที่พัดเข้าตีหน้าจนผมที่ปล่อยสยายของฉันปลิวไม่