หลี่หลงหลินหัวเราะแล้ว “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือพ่ายแพ้ เจ้าสมควรดีใจถึงจะถูก! เหตุใดขุ่นข้องหมองใจอารมณ์ไม่ดีเล่า? หรือว่า เพราะอุบายของข้าทำลายชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ฝีมือการต่อสู้ของเจ้า จึงไม่มีที่ให้ใช้งาน?”ซูเฟิ่งหลิงตัวสั่นหลี่หลงหลินเดาถูกแล้ว!ความฝันของนาง ก็คือทำลายชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือด้วยมือของตน เพื่อล้างแค้นให้วีรบุรุษของสกุลซู!สรุปคือ ตนเองยังไม่ทันออกศึกชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็พ่ายแพ้แล้ว ถึงขั้นต้องการเจรจาร่วมกันภายในหัวใจของซูเฟิ่งหลิงว่างเปล่า คล้ายปล่อยหมัดใส่ดอกฝ้าย พูดไม่ออกว่าทรมานหัวใจนางเปี่ยมความผิดหวัง กลับไม่มีที่ให้ระบาย ทำได้เพียงอึดอัดคับข้องใจอยู่เพียงลำพัง“ต้องโทษท่าน!”สายตาซูเฟิ่งหลิงทอประกายน้ำตา “หากมิใช่ท่านขัดขวางข้า! ข้าก็สามารถได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท พาทหารไปแดนเหนือ พอดีจะได้ต่อสู้เคียงบ่าแม่ทัพจาง ฆ่าพวกชนเผ่าทางตอนเหนือให้เกลี้ยง!”“ตอนนี้เล่า...”“ข้าและเหล่าทหารของภูเขาทิศประจิม คล้ายเป็นเรื่องตลกอย่างหนึ่งไปแล้ว!”หลี่หลงหลินเผยสีหน้าเคร่งขรึม พูดว่า “เจ้าคงไม่คิดว่า นับตั้งแต่นี้ไป ตนเองก็ไม่มีที่ให
ฮูหยินผู้เฒ่าสบมองหลี่หลงหลิน “องค์ชายเก้า หากท่านเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ จะทำให้ต้าเซี่ยอับอายเยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินครุ่นคิด “ไม่มีอะไรไปจากแสดงวิชายุทธ์!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูพยักหน้ายิ้มๆ “ไม่ผิด! เช่นนั้นต้าเซี่ยจะรับมือเยี่ยงไร?”หลี่หลงหลินส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”เขาเป็นองค์ชายอ่อนหัดไม่ร่ำเรียนไร้ความสามารถคนหนึ่ง สำหรับเรื่องทางทหารกลับรู้น้อยมากฮูหยินผู้เฒ่าซูเอ่ยปากว่า “ราชสำนักจะต้องเขียนตำรายุทธวิธีอย่างแน่นอน”หลี่หลงหลินชะงัก “ตำรายุทธวิธี?”ฮูหยินผ้เฒ่าซูเอ่ยปาก “ใช่แล้ว! ทุกครั้งที่ทูตหมานอี๋มา ราชสำนักจะเขียนตำรายุทธวิธี มาแสดงวิชายุทธ์ ปลุกขวัญกำลังใจคน!”หลี่หลงหลินเข้าใจแล้วดังนั้นตำรายุทธวิธี ก็คือราชสำนักสั่งให้สำนักศึกษาแต่ละแห่งและสำนักฮั่นหลิน จัดการตำรายุทธวิธีในทุกยุคสมัย เพื่อนำออกมาข่มขวัญเผ่าหมานเจ้าดู!ตำรายุทธวิธีของต้าเซี่ยพวกเรามีมากเพียงนี้!กลัวแล้วหรือไม่?มองดูแล้วน่าขันอยู่บ้างอย่างไรเสีย หมานอี๋ก็ไม่มีวันตกใจเพราะตำรายุทธวิธีเพียงสองสามเล่มแท้จริงแล้ว กลับไม่ใช่ไม่มีความหมายเลยเขียนตำรายุทธวิธี เพียงทำให้หมานอี๋ดู แต่ยังเป็น
หลี่หลงหลินพูดอย่างลำบากใจ “สกุลซูไม่มีตำรายุทธวิธี นั่นจะทำเช่นไร?”ฮูหยินผู้เฒ่าซูพูดยิ้มๆ “ย่อมต้องเขียนออกมา! เฟิ่งหลิงเด็กคนนี้ เติบโตอยู่ในกองทัพตั้งแต่เด็ก ได้รับสืบทอดวิชายุทธ์ของสกุลซูอย่างแท้จริง เพียงน่าเสียดายพูดไม่เก่ง คิดเพียงฝึกทหาร พูดออกมาไม่ได้”หลี่หลงหลินหัวเราะ “ผู้มีวิชายุทธ์บนโลกนี้ส่วนใหญ่ ต่างเป็นเช่นนี้! ทำได้เพียงต่อสู้ แต่สอนคนต่อสู้ไม่ได้!”ฮูหยินผู้เฒ่าซูพยักหน้า “ใช่! เพราะเหตุนี้ ข้าจึงอยากให้องค์ชายเก้าช่วยซูเฟิ่งหลิง เขียนตำรายุทธวิธีออกมา!”หลี่หลงหลินชะงัก ชี้จมูกตนเอง เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ให้ข้าเขียนตำรายุทธวิธี?”ฮูหยินผู้เฒ่าซูสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้ว!”หลี่หลงหลินโบกมือ “สำหรับวิชายุทธ์ ข้าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ไฉนเลยจะสามารถเขียนตำรายุทธวิธีได้? หากพูดเรื่องเรียงความ พี่สะใภ้สี่หลิ่วหรูเยียนยังเหนือกว่าข้า มิสู้ให้นางช่วย ดีกว่าข้ามากนัก!”มิใช่หลี่หลงหลินถ่อมตนจริงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าซูประเมินตนสูงเกินไปแล้วยามตนเป็นผู้ตรวจการกองทัพอยู่แดนเหนือ นี่เข้าสนามรบกี่วันเล่า?ตนเองไปช่วยซูเฟิ่งหลิงเขียนตำรายุทธวิธี มิใช่สองประโยค
ราชสำนักของต้าเซี่ย กลับเห็นต่างจากราษฎร์เสียงดังเป็นอย่างมาก!ท้องพระโรง ประชุมราชสำนักฮ่องเต้หวู่นั่งบนบัลลังก์มังกร ขุนนางบุ๋นบู๊แบ่งออกเป็นสองฝั่งอัครมหาเสนาบดีตู้เหวินยวนลุกยืนออกมา “ฝ่าบาท! คณะทูตจากชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือออกเดินทางแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึงเมืองหลวง! ภายในคณะทูตมีราชครูเซียวเซวียนเช่อ องค์หญิงเซียวเม่ยเอ๋อร์ ยังมีนักรบผู้กล้าอันดับหนึ่งของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเหยลวี่เกอ ยังมีทหารม้ามากความสามารถของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนืออีกหลายร้อยคน รับผิดชอบคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ!”ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมีสองสกุลใหญ่เย่ลู่คือตระกูลสูงศักดิ์เซียวคือเชื้อพระวงศ์ราชครูเซียวเซวียนเช่อ ก็เป็นเชื้อพระวงศ์เฉกเช่นเดียวกัน!ฮ่องเต้หวู่เลิกคิ้ว เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ราชครูและนักรบผู้กล้าอันดับหนึ่งของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมาต้าเซี่ย เราไม่แปลกใจ แต่เหตุใดองค์หญิงเซียวเม่ยเอ๋อร์ถึงมาด้วยเล่า?”ตู้เหวินยวนส่ายหน้า “กระหม่อมไม่ทราบ! แต่ ในเมื่อชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือส่งเชื้อพระวงศ์มา พวกเราก็ต้องจัดส่งเชื้อพระวงศ์ไปต้อนรับ อย่างเป็นทางการพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู
ส่วนอีกหนึ่งคนก็คือเซียวเม่ยเอ๋อร์องค์หญิงชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือนางนั่งอยู่ในรถม้าที่หรูหรา สวมชุดกระโปรงหนังสั้นในแบบของโม่เป่ย เผยผิวขาวเนียนส่วนใหญ่บนขาเรียวยาวทั้งสองข้างของนาง งดงามราวกับเสือดาวสาวที่เต็มไปด้วยความดุร้ายใบหน้ารูปไข่ที่งดงามของนาง ดวงตาสีฟ้า และรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจผู้คน ประกอบกับรูปร่างที่เผ็ดร้อนเย้ายวนนั้น มีเพียงคำว่าปีศาจที่จะสามารถอธิบายได้!ส่วนเหยลวี่เกอนักรบผู้กล้าหาญคนแรกของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ เป็นชายร่างสูงใหญ่ สูงประมาณสองร้อยหมี่ มีกล้ามเป็นมัดๆ ผมหนา เหมือนหมีดำตัวใหญ่ ขี่ม้าตัวใหญ่และสูง เดินตามอยู่ข้างๆ เซียวเม่ยเอ๋อร์“ฮี่ๆ...”เซียวเม่ยเอ๋อร์มองเมืองหลวงในระยะไกล พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านราชครู นี่คือเมืองหลวงของต้าเซี่ยหรือ ช่างเป็นเมืองที่งดงามจริงๆ เมื่อไหร่พวกเราจะยึดครองที่นี่ได้?”เซียวเซวียนเช่อยิ้มบาง “องค์หญิง อย่ารีบร้อน! จงหยวน มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ เป็นถิ่นกำเนิดของอัจฉริยะบุรุษมากมาย ไม่อาจมองข้ามได้ พวกเราอย่ารีบร้อนเกินไป ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถอะ!”เซียวเม่ยเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย “ข้าได้ยินมาว่าฮ่องเต้ต้า
เมื่อองค์ชายสี่หลี่จือเห็นคณะทูตจากชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมาถึง เขาก็รีบลงจากม้าแล้วนำขุนนางกรมธรรมการกลุ่มหนึ่งไปทักทายพวกเขาอย่างรวดเร็ว “หลี่จือ องค์ชายสี่แห่งต้าเซี่ยได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกคนจากแดนไกล...”เซียวเม่ยเอ๋อร์เปิดม่าน เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามไม่มีใครเทียบได้ “ขอบพระทัยเพคะ องค์ชายสี่”หลี่จือตะลึงงันไปทันที!ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามมาก่อนแต่สตรีที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล มีความดุร้ายอย่างเซียวเม่ยเอ๋อร์นั้นหาได้ยากมากในต้าเซี่ยเมื่อเซียวเม่ยเอ๋อร์เห็นท่าทีของหลี่จือ นางก็เยาะเย้ยทันที “บุรุษจากต้าเซี่ยก็คงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้แล้ว! ช่างน่าเบื่อจริงๆ...”นักล่าจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับเหยื่อที่ได้มาง่ายเกินไปจู่ๆ ใบหน้าของหลี่จือก็แดงเรื่อ เขาพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียวเซียวเม่ยเอ๋อร์มองไปที่หลี่หลงหลิน หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เขาเป็นใคร? กล้าเมินต่อข้า! ช่างน่าสนใจดี...”หลี่จือรีบพูดว่า “เขาคือองค์ชายเก้า หลี่หลงหลิน...”จู่ๆ เซียวเม่ยเอ๋อร์ก็เข้าใจ “อ่อ เขาเป็นองค์ชายเก้าที่ไม่ได้เรื่องผู้นั้นน่ะหรือ! ข้าเคยได้ยินชื่อของเขามาบ้าง!”ห
ตอนนี้เขามีอำนาจทหารอยู่ในมือ ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ชื่อเสียงก็รุ่งโรจน์ แล้วข้าล่ะ?เมื่อครู่ขอร้องให้ท่านตาไปบอกท่านยาย หาทางให้เสด็จพ่อปล่อยข้าจากการกักบริเวณแต่ทันทีที่ข้าออกมา ก็ต้องมาขัดแย้งกับเจ้าเก้าหรือ?ข้ายังอยากจะมีชีวิตต่ออีกหลายวันหลี่จือยิ้มประจบประแจงกล่าวว่า “ท่านราชครูอย่าถือสาเลย! น้องเก้าของข้าเป็นคนเจ้าอารมณ์! อย่าไปถือสาเขาให้มากนักเลย! ท่านลงจากหลังม้า พวกเราก็จะเดินเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับพวกท่าน...”เซียวเซวียนเช่อโกรธมาก “มีเหตุผลเสียที่ไหน!”ทันทีที่มาถึงเมืองหลวง ยังไม่ได้เข้าไปในประตูเมืองด้วยซ้ำ ก็ถูกวางอำนาจใส่แล้วเขาเป็นราชครูชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?สิ่งที่น่าโมโหที่สุดก็คือ คนที่ทำให้ตนอับอาย จริงๆ แล้วคือองค์ชายเก้าแห่งต้าเซี่ยผู้ไร้ประโยชน์ที่มีชื่อเสียงผู้นั้น!เซียวเซวียนเช่อไม่อาจกลืนความโกรธนี้ได้จริงๆในเวลานี้ เสียงที่มีเสน่ห์และน่ารักของเซียวเม่ยเอ๋อร์ก็ดังออกมาจากรถม้า “ในเมื่อต้าเซี่ยมีกฎเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ควรเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็อยากจะดูว่าเมืองหลวงของต้าเซ
สิ่งที่ทำให้เซียวเม่ยเอ๋อร์ตกใจยิ่งกว่านั้นคือมีชาวบ้านมาต้อนรับทั้งสองฝั่งข้างทาง!ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ในมือถือใบผักเน่าและไข่เน่า...ไม่สิ!เซียวเม่ยเอ๋อร์ตกตะลึงในใจชาวบ้านในต้าเซี่ยเหล่านี้ ล้วนมีสีหน้าโกรธเคือง เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ต้อนรับ!“พวกหมานอี๋ ไสหัวออกไปซะ!”“ต้าเซี่ยไม่ต้อนรับพวกเจ้า!”“สุนัขจิ้งจอก! สัตว์เดรัจฉาน!”ในสายตาของทุกคนในต้าเซี่ย เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เมื่อคณะทูตจากชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเข้ามาใกล้ ก็ขว้างของเน่าเสียในมือทั้งหมดไปที่หัวของพวกเขา!คณะทูตชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือไม่ทันได้ป้องกันตัว ก็ถูกของสกปรกขว้างใส่เต็มตัวไปหมด สภาพดูไม่ได้ยิ่งนักแม้แต่เซียวเซวียนเช่อก็โดนไข่เน่าขว้างใส่ จึงอดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “พวกสารเลวเอ๊ย! นี่คือวิธีต้อนรับแขกมาเยือนของต้าเซี่ยหรือ?”เหยลวี่เกอยืนอยู่ตรงหน้าเซียวเม่ยเอ๋อร์เหมือนหอคอยเหล็ก ช่วยบดบังใบผักเน่าและไข่เน่าให้กับนางองค์ชายสี่หลี่จือและกลุ่มขุนนางจากกรมธรรมการก็พลอยถูกลูกหลงไปด้วย ถูกขว้างใส่จนกรีดร้องออกมา“พวกเจ้าดูให้ดี ข้าคือองค์ชายสี่ ไม่ใช่หมานอี๋!”“พวกข้าคือขุนนางราชสำนัก...”ยิ่ง
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “เจ้าเก้านี่มักจะทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ”ฮ่องเต้หวู่ทรงยกน้ำแกงปลาเบื้องหน้าขึ้น ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานละมุน รสชาติยังคงติดตรึง ยิ่งกว่าความอร่อยที่รับรู้ทางรสสัมผัสคือความรู้สึกอิ่มเอมในพระทัยเมื่อเห็นฝ่าบาททรงพอพระทัยยิ่งนัก ฮองเฮาหลินจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันสามารถทำน้ำแกงปลาถวายฝ่าบาทได้ทุกวัน เพื่อบำรุงพระวรกายของฝ่าบาทเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระโอรสจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นความกตัญญูของเขาเพคะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงดื่มน้ำแกงปลาในชามจนหมดสิ้น ก็รู้สึกสบายพระวรกาย “ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่สดอร่อยถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าที่ตงไห่จะมีปลาพันธุ์ดีรสเลิศเช่นนี้อยู่ด้วย วันนี้ข้าถือว่าได้อิ่มหนำสำราญแล้ว!”เมื่อเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงสำราญพระทัย ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของฮองเฮาหลินก็คลายลง นางกลัวว่าฮ่องเต้หวู่จะทรงลงพระอาญาแก่หลี่หลงหลิน ในความเห็นของฮองเฮาหลินแล้ว น้ำแกงปลาชามนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของหลี่หลงหลินทีเดียวฮ่องเต้หวู่มองไปที่เว่ยซวินอย่างสนพระทัยยิ่ง ตรัสว่า “สหาย เล่าให้ข้
เรื่องในราชสำนักล้อเล่นไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องนำพาภัยพิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้ยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเคร่งขรึม “ข้าตั้งใจจะเรียกตัวองค์รัชทายาทเข้าเมืองหลวงมาพบข้าทันที ข้าจะถามเขาต่อหน้า ว่าไอ้ ‘เหตุใดไม่กินโจ๊กเนื้อเล่า’ นี่มันหมายความว่ากระไรกันแน่!”ทันใดนั้น ฮองเฮาหลินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทูลว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่พระโอรสพูด ดูเหมือนว่า...ก็ไม่ผิดนะเพคะ”“อะไรนะ?”ในแววตาของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเย็นชา “มิน่าเล่าหลี่หลงหลินถึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าแม้แต่เจ้ายังเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา! เหลือเชื่อจริงๆ! มีแม่เช่นไรย่อมมีลูกเช่นนั้น!”เพียงชั่วพริบตา ความประทับใจดีๆ ที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อฮองเฮาหลินมาตลอดหลายปีก็มลายหายไปสิ้นฮองเฮาหลินทูลเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะทรงเข้าพระทัยความหมายของหม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”กล่าวจบ ฮองเฮาหลินก็ทรงหยิบสาส์นฉบับนั้นออกมา ถวายให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท นี่คือลายมือขององค์รัชทายาทเพคะ ขอฝ่าบาททอดแววตาด้วยเพคะ”ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง ในแววตาเต็มไปด้วยโทสะ “ข้าไม่ดู! ต่อให้เป็นล
ฮองเฮาหลินทรงประหลาดพระทัยยิ่งนัก บนใบหน้าอันงดงามสมเป็นมารดาแห่งแผ่นดินปรากฏแววตกตะลึง “ฝ่าบาท เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสถึงพระโอรสเช่นนั้นเพคะ?”ฮองเฮาหลินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ทอดพระเนตรเห็นว่าฮ่องเต้หวู่ผู้ซึ่งปกติทรงโปรดปรานหลี่หลงหลินยิ่งนัก ยามนี้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทรงแสดงท่าทีรังเกียจหลี่หลงหลินกระทั่งเมื่อทรงทราบว่าปลานี้หลี่หลงหลินส่งมาจากตงไห่ด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้ ก็ไม่ยอมเสวยน้ำแกงปลาต่อฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พอนึกถึงหลี่หลงหลินขึ้นมา ก็รู้สึกเดือดดาลในท้อง ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะเสวยน้ำแกงปลาใดๆ ทั้งสิ้น“ทำไม? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่าเหตุใด! เหตุใดองค์รัชทายาทที่ปกติก็ดูดีๆ อยู่ พอไปถึงตงไห่จึงได้ทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!”ฮ่องเต้หวู่กริ้วจนพระพักตร์แดงก่ำ แววตาลุกวาบด้วยโทสะขอบตาของฮองเฮาหลินแดงก่ำขึ้นทันที นางไม่เคยเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงกริ้วถึงเพียงนี้มาก่อน ร่ำไห้สะอื้นไม่หยุด “ฝ่าบาท พระโอรสของหม่อมฉันเพียงแค่อยากจะบำรุงพระวรกายให้ฝ่าบาท เหตุใดจึงต้องทรงจ้องจับผิดเรื่องความเหลวไหลของเขาอยู่เรื่อย การส่งปลาด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้มันเหลวไหลมา
ฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรไปรอบๆ พระตำหนัก แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของฮองเฮาหลิน ก็ยิ่งทำให้โทสะพุ่งขึ้น “ฮองเฮาหลินอยู่ไหน! ข้าต้องการพบนางเดี๋ยวนี้!”ขันทีน้อยประจำตำหนักฉางเล่อรีบหมอบราบกับพื้น “ทูลฝ่าบาท วันนี้ฮองเฮาเสด็จออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ออกไป? ไปไหน?”คิ้วของฮ่องเต้หวู่ขมวดแน่น โทสะยิ่งพลุ่งพล่าน เดิมทีก็ทรงกริ้วเรื่องของหลี่หลงหลินอยู่แล้ว พอมาถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ กลับหาตัวฮองเฮาหลินไม่พบอีกขันทีน้อยกล่าวเสียงสั่น “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงผู้รับใช้ดูแลกิจวัตรประจำวันของฮองเฮา มิกล้าสอดรู้เรื่องที่เสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง ตรัสว่า “เว่ยซวิน ส่งคนไปตามหาฮองเฮาหลินกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าจะต้องถามนางให้รู้เรื่องว่าอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทอย่างไร!”เว่ยซวินคิดในใจดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะทรงกริ้วจริงจัง แม้แต่ฮองเฮาก็คงยากจะรอดพ้นความผิดไปได้เว่ยซวินกล่าวเสียงหนัก “ฝ่าบาท กระหม่อมจะส่งคนไปตามหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้น กลิ่นหอมระลอกแล้วระลอกเล่าโชยมาปะทะจมูก ตามมาด้วยเสียงใสกังวานราวระฆังเงินเป็นระลอกเว่ยซวินก
เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างส่งเสียงฮือฮาผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนหาใช่จำนวนน้อยๆ ไม่!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชาเจ้ากรมกลาโหมเอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมเห็น ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนนี้คือภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง หากจัดการไม่เหมาะสม ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนก่อการจลาจลขึ้น เกรงว่า...”เจ้ากรมกลาโหมไม่กล้ากล่าวอะไรต่อหากเขากล่าวอะไรต่อไปอีก จะต้องทรงพระพิโรธเป็นแน่ แต่ก็จำเป็นต้องทูลเตือนฝ่าบาท ไม่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หลงหลินจะเคยทูลรับรองสิ่งใดต่อหน้าฝ่าบาทก็ตาม ก็จำเป็นต้องทำให้ฝ่าบาททรงตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ผู้ลี้ภัยหนึ่งแสนคนส่วนใหญ่เป็นพวกที่ควบคุมได้ยาก คนเหล่านี้รวมตัวกันอยู่นอกเมืองหลวงได้สร้างผลกระทบเลวร้ายไม่น้อยแล้ว หากถูกผู้ไม่ประสงค์ดีปลุกปั่น ย่อมเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่เป็นแน่!แม้ว่าตอนนี้จางไป่เจิงจะนำทัพกลับราชสำนักแล้ว กำลังทหารในเมืองหลวงจะเข้มแข็ง ก็ยังคงเป็นปัญหาที่จัดการได้ยากอยู่ดีเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกัน“ฝ่าบาท เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตาของแคว้นต้าเซี่ย โปรดอย่าได้ทรงประมาทเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขณะนี้
“อะไรนะ!”ฮ่องเต้หวู่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง!เขาไม่เคยคาดคิดว่าหลี่หลงหลินจะกล่าววาจาเหลวไหลถึงเพียงนี้ นี่มันยิ่งกว่าการเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเสียอีก! ยามนี้ราษฎรยากจนถึงขั้นไม่มีปัญญาซื้อหาธัญญาหาร แล้วจะมีเนื้อที่ไหนให้กินกัน?เจ้ากรมคลังลดเสียงลง กล่าวว่า “ฝ่าบาท วาจาเหลวไหลเช่นนี้ออกมาจากโอษฐ์ขององค์รัชทายาทจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ทีแรกกระหม่อมคิดว่าเป็นเพราะตนเองตาฝ้าฟางไป แต่ฎีกาหลายฉบับล้วนรายงานตรงกัน เกรงว่าวาจานี้คงเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาทตรัสจริงๆ...”เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮาคาดไม่ถึงว่าหลี่หลงหลินจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้!ไม่เพียงแต่สร้างความเยือกเย็นในใจของราษฎร ยังสร้างความเยือกเย็นในใจของขุนนางในราชสำนักอีกด้วย นี่คือการกระทำชั่วร้ายที่ยากจะสาธยายให้หมดสิ้น อาลักษณ์จะต้องบันทึกเรื่องนี้ลงในพงศาวดารเป็นแน่ ทำให้ชื่อเสียงของหลี่หลงหลินฉาวโฉ่ไปชั่วกาลนาน!ฮ่องเต้หวู่ส่ายพระพักตร์ ทรงครุ่นคิดในพระทัยไม่ใช่ เจ้าเก้าไม่น่าจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้ อย่างน้อยในเมืองหลวง ราษฎรส่วนใหญ่ก็เคยได้รับความเมตตาจากเขา หรือว่าก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดง?ฮ่องเต้หวู่ตรัสเสียงเย็น “
ณ ท้องพระโรงบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างสงบเสงี่ยม ก้มหน้าคารวะถวายบังคมฮ่องเต้หวู่ทอดพระเนตรกวาดสายตาไปยังหมู่ขุนนาง พลางตรัสเรียบเรื่อย “เหล่าขุนนางทุกท่าน หากมีเรื่องก็กราบทูล หากไม่มีเรื่องก็เลิกประชุมเถิด”นับตั้งแต่หลี่หลงหลินเดินทางไปยังตงไห่ ราชสำนักก็ดูสงบขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้หวู่ซึ่งแต่เดิมก็เอนเอียงไปทางเก็บตัวเงียบๆ ก็เริ่มชินกับจังหวะสงัดเช่นนี้ ยิ่งตอนนี้จางไป่เจิงนำทัพกลับสู่เมืองหลวง ปัญหากำลังพลไม่พอในเมืองหลวงก็คลี่คลายลง บรรดาขุนนางที่เคยซ่องสุมคิดร้ายในเงามืด ก็พากันลดราวาศอกแต่แล้ว เจ้ากรมคลังก็ก้าวออกมา สีหน้าเคร่งเครียด “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่เห็นเป็นกรมคลัง จึงขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวว่า “ว่ามา”แม้ปัญหาเรื่องทหารจะคลี่คลาย แต่เงินในท้องพระคลังก็ยังร่อยหรอ หากกรมคลังเสนอฎีกาเมื่อใด มักไม่พ้นเรื่องเงินไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัดกลุ้มมาเนิ่นนาน เจ้ากรมคลังกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท ขณะนี้เขตตงไห่ประสบภาวะขาดแคลนเสบียงจนเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรอดอยากปากแห้ง ร้องทุกข์ระงม แต่ละเขตในตงไห่ต่างก็ส่งฎีกาขอความช่วยเหลือจากราชสำนัก...”ฮ
กงซูหว่านมองดูแบบร่าง โครงสร้างเรียบง่ายมาก แต่นางไม่รู้ว่าควรจะเรียกมันว่าอะไรหลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเรียบ “นี่คือกระป๋อง”“กระป๋อง? มันสามารถถนอมอาหารได้หรือเพคะ?”หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย “แน่นอน หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้เวลาจะล่วงเลยไปแปดปี สิบปีก็ยังไม่เสีย”“นานขนาดนั้นเชียวหรือเพคะ?”กงซูหว่านเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในความเข้าใจของกงซูหว่าน การเก็บรักษาอาหารได้นานสักไม่กี่เดือนก็ถือว่าน่าทึ่งแล้วหลี่หลงหลินยิ้มบางๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของกระป๋องยังเล็กกระทัดรัด เหมาะแก่การพกพาในยามออกศึกยิ่งนัก”“หากพี่สะใภ้รองสามารถทำมันขึ้นมาได้ ข้าก็ตั้งใจจะเปิดโรงงานกระป๋องที่ตงไห่ แปรรูปปลาหวงฮื้อใหญ่จำนวนมหาศาลที่จับขึ้นมาโดยเฉพาะ”หลี่หลงหลินยิ้มบาง หากผลิตกระป๋องได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องหวั่นไหวต่อภัยแล้งและความอดอยากอีกต่อไปกงซูหว่านยังคงตกตะลึง “โรงงานกระป๋องหรือเพคะ? ถึงข้าจะทำตามแบบได้เป๊ะๆ แล้วจะไปหาคนงานจากที่ใด?”ยามนี้ชาวเมืองตงไห่ต่างก็แย่งกันออกทะเลหาปลา กำลังคนขาดแคลนเป็นอย่างยิ่งหลี่หลงหลินตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ให้ชาวตงไห่เขาหาปลากันต่อไ
วันต่อมา ห้องหนังสือจวนอ๋องหลี่หลงหลินยกมือนวดหว่างคิ้ว มือวาดบางอย่างบนกระดาษกงซูหว่านขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “องค์ชาย หม่อมฉันอิงตามวิธีของท่านแล้ว วันนี้ตั้งใจไปตั้งร้านแผงลอยในบริเวณคนพลุกพล่านเป็นพิเศษ เผยแพร่วิธีทำน้ำแข็งออกไป เหล่าราษฎร์สามารถใช้งานได้ ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความยินดี เพียงแต่บัดนี้เกลือหมางเซียวในร้านขายยาทุกแห่งของตงไห่ไม่เพียงพอ”หลี่หลงหลินพยักหน้า “เผยแพร่ออกไปก็ดีแล้ว เช่นนี้เนื้อปลาของเหล่าราษฎร์ก็สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น ไม่ต้องสิ้นเปลือง”“พี่สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว หากนี่คือเมืองหลวง เพียงตีพิมพ์เรียงความในหนังสือพิมพ์ก็เพียงพอแล้ว แต่อยู่ที่ตงไห่ยังต้องให้พี่สะใภ้ออกแรงเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเอง”ภายในคำพูดหลี่หลงหลินเปี่ยมความห่วงใย อย่างไรเสียกงซูหว่านก็เป็นสตรีมีพรสวรรค์ไม่ออกนอกบ้าน อยู่แต่ในห้องหอ จู่ๆ ขอให้นางไปสอนวิธีทำน้ำแข็งแก่ราษฎร์ ช่างทำให้อึดอัดคับข้องใจโดยแท้แต่หลี่หลงหลินคิดไปคิดมา ในบรรดาพี่สะใภ้มีเพียงพี่สะใภ้รองเข้าใจวิธีใช้เกลือหมางเซียวทำน้ำแข็ง ทำได้เพียงมอบหน้าที่สำคัญนี้ให้กงซูหว่านหัวเราะเบาๆ “ไม่ลำบากเพคะ จะ