ในตอนนี้สวีหลายได้จับกระบี่ไว้ในมือของเขาแล้ว และเมื่อหันไปเห็นฉากนี้เขาก็ตกตะลึงทันทีตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน เขาเดินเข้ามาหยุดข้าง ๆ สวีหลายก่อนจะเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่รอง เมื่อครู่นี้ท่านทำได้อย่างไร?” เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิด คิดว่ากรงเล็บของสัตว์ร้ายตนนั้นถูกสวีหลายฟันจนขาด สวีหลายส่ายหัวก่อนพูดด้วยสีหน้าหนักใจว่า “มิใช่ฝีมือข้า!” ขณะพูด เขาก็สอดส่ายสายตาไปรอบ ๆ เพื่อพยายามค้นหาผู้ที่ออกมือช่วยเหลืออยู่ในเงามืดแต่เมื่อสวีหลายกวาดตามองไปทั่วทิศ แต่กลับมิพบร่องรอยของผู้ที่ออกมือช่วยเหลือเลย เห็นสัตว์ร้ายตัวนั้นยังคงแยกเขี้ยวหมายจะกัดอีกครั้ง สวีหลายจึงตวัดกระบี่ยาวในมือ ฟันหัวของมันจนขาดออกจากร่างทันที หลังจากสังหารสัตว์ร้ายไปแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ออกมือช่วยเหลือ ข้าแซ่สวีผู้นี้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากท่านมิรังเกียจ เชิญแสดงตัวออกมาพูดคุยกันสักคราเถิด” เสียงของเขาเปล่งออกมาด้วยกำลังภายใน มีพลังแผ่ก้องสะท้อนไปทั่วหุบเขา ในระยะไกล ฉงชูโม่ที่กำลังนั่งสมาธิหมุนเวียนลมปราณ เมื่อได้ยินเสียงนี้ นางก็ตื่นเต้นจนลุกขึ้
“รู้สิ เมื่อครู่ข้าก็ถูกสัตว์ร้ายตนนี้เล่นงานอยู่เช่นกัน แถมข้ายังได้รับบาดเจ็บอีกด้วย โชคดีที่ท่านผู้อาวุโสคนนั้นมาช่วยไว้ หลังจากที่เขาสังหารสัตว์ร้ายไปแล้ว เขาก็มุ่งหน้ามาทางนี้ แปลกจริง ตอนนี้เขาหายไปที่ใดแล้วเล่า?” ฉงชูโม่พูดพลางกวาดสายตาดูรอบ ๆ ด้วยความสงสัย สวีหลายถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ท่านผู้อาวุโสที่เจ้าพูดถึง เขามีลักษณะเช่นใด?” “เขาสวมหน้ากากแปลก ๆ ข้ามิได้เห็นใบหน้าของเขา แต่เขาสวมชุดคลุมสีดำ จากเสียงของเขาข้าเดาว่าเขาเป็นคนชรา” “ดูท่าว่าเป็นยอดคนเร้นกายจากยุทธภพแล้วจริง ๆ น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีวาสนาได้พบหน้า” คำพูดของสวีหลายเจือไปด้วยความเสียดายเล็กน้อยตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่รอง ที่นี่มิควรอยู่นาน เราออกไปพูดคุยข้างนอกเถอะ” สวีหลายมิตอบ เพียงแค่หมุนตัวเดินออกไปข้างนอกทันที ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยรีบตามไปฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “ตู๋กูโฉ่วเยวี่ย เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหัวเราะพลางตอบ “ข้ามาตามหาเจ้าและองค์รัชทายาทที่หลงโย่วนี่แหละ ขณะข้าเดินผ่านป่าต้นเฟิงข้าได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่ามาจากทางนี้ ข้าจึงตามเสียงมาดู คิดมิถึงว่า
"นี่ ๆ งั้นก็ตกลงตามนี้ ถึงยามนั้นข้าจะไปหาท่านที่สำนักกระบี่สักการะ" ฉงชูโม่ถามด้วยความมิสบายใจ "พี่สวี เหตุใดท่านถึงแต่งงานกับบุตรีของสำนักกระบี่สักการะอย่างกะทันหันเช่นนี้ หรือว่ามีเรื่องยากลำบากอะไรอยู่หรือ?" สวีหลายยิ้มเล็กน้อย สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ "ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์รักใคร่กันดี ไม่มีเรื่องยากลำบากอะไรเลย นางที่แต่งงานกับข้าต่างหากที่ต้องลำบาก" เมื่อฉงชูโม่ได้ยินเช่นนั้น ในใจของนางรู้สึกว้าวุ่น มีความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป นางมิรู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยรีบเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นว่า "ชูโม่ พวกเรารีบไปดูองค์รัชทายาทกันเถอะ หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ พวกเราคงอธิบายต่อฝ่าบาทมิได้แน่" "อืม" ฉงชูโม่พยักหน้า แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ฉินซูอยู่ทันที สวีหลายและตู๋กูโฉ่วเยวี่ยตามไปติด ๆ มินานนัก พวกเขาก็มาถึงป่าเต้นเฟิง เสียงของฉินซูดังมาจากยอดไม้ "นี่ ชูโม่ เจ้ากลับมาได้ถูกเวลา รีบมาช่วยข้าที ข้าลงไปมิได้!" เมื่อฉงชูโม่และคนอื่น ๆ มองไปบนต้นไม้ พวกเขาก็อดที่จะหัวเราะออกมามิได้ ภาพที่เห็นคือ ฉินซูกำลังโอบกอดต้นไม้แน่น เสื้อคลุมของเขาพันก
ใบหน้าของฉงชูโม่แดงระเรื่อ รีบปล่อยมือจากฉินซูทันที ส่วนฉินซูเองก็ลอบถลึงตาใส่ตู๋กูโฉ่วเยวี่อย่างมิพอใจในใจคิดว่า ‘เหตุใดเจ้าต้องมายุ่งเรื่องของข้าด้วย?’เมื่อเห็นท่าทีของฉงชูโม่ที่แปลกไป สวีหลายจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปที่ฉินซู และเข้าสู่ภวังค์ความคิดหลังจากผ่านไปสองก้านธูป…พวกเขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมริมทะเลสาบ เมื่อหาที่นั่งได้แล้ว ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยจึงพูดขึ้นว่า "องค์รัชทายาท ศิษย์พี่รอง เชิญนั่งรอก่อน กระหม่อมจะไปเรียกเจ้าของร้านให้เอาสุราดี ๆ มาสักสองไห" เขาพูดจบก็เดินออกไปข้างนอกสวีหลายยกมือคารวะเล็กน้อยแล้วเตือนฉินซูว่า "องค์รัชทายาท ที่มณฑลหลงโย่วแห่งนี้วุ่นวายมาก ท่านควรรีบกลับไปเสียก่อนที่จะเกิดปัญหา" ฉินซูโบกมืออย่างมิใส่ใจ "มิเป็นไร ข้ามีชูโม่และโฉ่วเยวี่ยอยู่ด้วย ข้าย่อมปลอดภัยแน่นอน แต่เจ้าน่ะ? ชูโม่มาตามหาเจ้าไกลเพียงนี้ เจ้าไม่มีอะไรจะพูดกับนางบ้างหรือ?"สวีหลายยิ้มเบา ๆ และตอบว่า "กระหม่อมกับนางเป็นเพียงสหายกัน องค์รัชทายาททรงอย่าได้เข้าพระทัยผิดพ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูยักไหล่ "ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง แต่เจ้าดูเร่งรีบที่จะปฏิเสธความสัมพันธ์กับนางเช่นนี้ เจ้าหมายความ
แน่นอนว่า เรื่องที่คลุมเครือและเหตุการณ์ที่ฉินซูฉวยโอกาสใกล้ชิด ฉงชูโม่ก็ละเลยมิได้เล่าถึง ขณะที่ฉงชูโม่เล่า ใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยมิรู้ตัวเมื่อสวีหลายเห็นเช่นนั้น เขายิ้มบาง ๆ พร้อมพูดเป็นนัยว่า "ดูท่าองค์รัชทายาทจะมิใช่คนเสเพลอย่างที่เล่าลือกันไว้ แถมพระองค์ยังดูจะดีต่อเจ้ามิน้อยเลย""ดีตรงไหนกัน เขาทำทุกอย่างก็เพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น ข้าขี้เกียจจะพูดถึงเขาแล้ว"แม้ปากของฉงชูโม่จะกล่าวด้วยท่าทีมิไยดี แต่เมื่อพูดถึงฉินซู มุมปากของนางกลับยกขึ้นโดยมิรู้ตัว สวีหลายได้แต่ยิ้มส่ายศีรษะเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องทั่วไปกับนางในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น ฉินซูก็กลับเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนหน้านี้ เขาออกไปสูดอากาศแล้วพบว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแอบใส่บางอย่างลงในไหเหล้าเล็ก ๆ ไหหนึ่ง!ทำให้ฉินซูอดสงสัยมิได้ว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยทำเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อะไร หรือว่า ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยถูกน้องชายคนหนึ่งของเขาซื้อตัวไปแล้ว?คิดเช่นนี้ ฉินซูจึงเกิดความสงสัยและในดวงตา แฝงแววอาฆาตเขาตัดสินใจแล้วว่า หากตู๋กูโฉ่วเยวี่ยคิดจะลงมือกับเขาจริง ๆ ก็อย่าหาว่าเขาไ
ก่อนที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็ยื่นมือมาหยิกเนื้อส่วนเกินที่เอวของเขาอย่างแรง“โอ๊ยยย!!”ฉินซูร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงเหมือนหมูกำลังถูกเชือด พลางลูบจุดที่ถูกหยิกเนื้อพร้อมกับถามด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวว่า “เจ้ามาหยิกข้าด้วยเหตุใดเล่า?”ฉงชูโม่ยกกำปั้นเล็ก ๆ อย่างโอหัง “หากกล้าพูดเหลวไหลอีก หม่อมฉันจะซัดท่านแน่ จะเชื่อหรือไม่ก็ลองดู!” “ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาทเชียวนะ...” ยังมิทันที่ฉินซูจะพูดจบ ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ฮึ! แค่องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด อีกอย่าง อย่าลืมสิว่าหม่อมฉันได้รับพระบรมราชานุญาตเป็นพิเศษ หากหม่อมฉันจะตีท่าน หม่อมฉันมิต้องรับผิดชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ”ฉินซูใบหน้าเง้างอถมึงทึง ก่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ก็ได้ ข้ายอมเจ้าก็แล้วกัน” เขาหันไปทางตู๋กูโฉ่วเยวี่ยพร้อมกับยักไหล่ แสดงให้เห็นว่าเขาทำอะไรมิได้ ส่วนตู๋กูโฉ่วเยวี่ยก็ได้แต่ยิ้มอย่างจนใจจากนั้น พวกเขาก็เริ่มกินดื่มและพูดคุยกันไปอย่างผ่อนคลายมินานนัก สวีหลายก็ดื่มเหล้าในไหเล็กนั้นจนหมด เขามองไหในมือแล้วกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “มิเสียทีที่เป็นสุราสลักบุปผาอายุหลายปีของหอสุราอมตะ แม้จะใส่ยาสลายพลังลงไป แ
อีกฝ่ายมิปฏิเสธประโยคหลังและพูดเสียงเรียบ “หลายปีมานี้ข้าพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็พบวิธีฝึกฝนที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดและพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปได้”ฉงชูโม่ถามด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ? ในเมื่อความแข็งแกร่งของท่านเทียบได้กับระดับสวรรค์ขั้นต้นแล้ว นั่นหมายความว่าใช้เวลาอีกมินานท่านก็จะแข็งแกร่งเทียบเท่าหัวหน้าโหรหลวงตาแก่ตายยากผู้นั้น?”ในภาพจำของฉงชูโม่ คุณสมบัติของสวีหลายนั้นโดดเด่นยากหาใครเปรียบ หากมิใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในตระกูลสวี อีกทั้งเขายังถูกไล่ออกจากสำนักหอดูดาวหลวงและถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวง ตอนนี้เขาคงได้ขึ้นไปอยู่ระดับสวรรค์ขั้นปลายซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้วสวีหลายโบกมือแล้วพูดว่า “ทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เส้นทางการฝึกฝนในตอนนี้ของข้าเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งนัก แต่โชคดีที่ไม่มีความขัดแย้งกับวิชายุทธที่ข้าเคยฝึกฝนมาก่อน”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “พี่สวี ท่านควรบอกเรื่องนี้กับข้าให้เร็วกว่านี้สิ หากข้ารู้มาก่อน ข้าคงจะขอร้องผู้อาวุโสท่านนั้นแก้ไขวิชายุทธที่มิสมบูรณ์ให้ท่าน”“โอ้? ผู้อาวุโสท่านนั้นที่เจ้าพูดถึงคือคนที่แอบช่วยข้าสังหา
ฉงชูโม่ถามด้วยความสับสน “มีเรื่องอันใดอีกหรือเพคะ?”“หูเฟิงกับคนจากสำนักเบญจพิษสมคบคิดกัน ดังนั้นแน่นอนว่าเราต้องจัดการกับเขาก่อน”“อ้อ ใช่สิ หม่อมฉันลืมไปเลย”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นอย่างขุ่นเคือง “หึ ขุนนางชั่วช้าผู้นั้นบังอาจสมรู้ร่วมคิดกับสำนักในยุทธภพ และตั้งใจที่จะปลงพระชนม์องค์รัชทายาท กระบี่แห่งสำนักหอดูดาวหลวงเล่มนี้ของข้าได้รับการออกแบบมาเพื่อสังหารขุนนางชั่วผู้ทรยศโดยเฉพาะ”ฉงชูโม่พูดด้วยความโกรธ “เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลกันเถิด!”กลุ่มของพวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมและมุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการมณฑล……ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหูเฟิงกำลังดื่มชาและฮัมทำนองดนตรีอย่างมีความสุขหูก่วงเผิงถามอย่างมิสบายใจ “ท่านพ่อ คนจากสำนักเบญจพิษเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถจัดการกับฉินซูองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดได้จริงหรือ?”“วางใจเถิด พิษของสำนักเบญจพิษนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าเหยียนของเรา รองเจ้าสำนักเฝิงลงมือด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่มีทางที่องค์รัชทายาทผู้รอวันปลดจะรอดไปได้”“เช่นนั้นก็ดี แต่หลังจากที่ฉินซูตายไป ก็มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งให้องค์ชายองค์ใดเ
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ