เซี่ยหลานยิ่งมิอยากเชื่อเข้าไปใหญ่ ในความคิดของนาง องค์รัชทายาทฉินซูเป็นเพียงคนโง่ไร้การศึกษา เอาแต่หลงมัวเมาในสุราและนารี จะให้นางเชื่อว่าประโยคกลอนนี้เป็นของฉินซู นางยอมเชื่อเสียเองว่าตัวนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหลงเฉิงยังง่ายเสียกว่า เรื่องนี้เป็นไปมิได้เลยฉงชูโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "จากที่ข้าได้รู้จักองค์รัชทายาทช่วงนี้ ข้ามิแปลกใจเลยหากเขาจะสามารถคิดกลอนประโยคที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้""มิจริงหรอก ชูโม่… เจ้าคงถูกองค์รัชทายาทล่อลวงเสียแล้ว ถึงได้เข้าข้างเขาเช่นนี้" เซี่ยหลานมองชูโม่อย่างประหลาดใจ ราวกับนางมิเคยรู้จักสหายของตัวเอง ขณะเดียวกัน "ตงฟางไป๋" ก็เยาะเย้ยขึ้นว่า "อย่างไรเล่า? พวกเจ้าชาวเป่ยเยี่ยนที่เมื่อกี้ทำเป็นกร่าง ตอนนี้กลับต่อกลอนที่คุณชายข้าคิดขึ้นมามิได้แล้วรึ?" มู่หรงจื่อเยียนเริ่มร้อนใจ หันไปกระซิบถามเหล่าบัณฑิตที่มาด้วย "พวกเจ้าคิดกลอนประโยคต่อไปออกหรือยัง? บอกข้ามาเร็ว!" เหล่าบัณฑิตมองหน้ากันไปมา แต่ทุกคนกลับส่ายหัวพร้อมกันอย่างมิเต็มใจ"พวกเจ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ!" มู่หรงจื่อเยียนตะโกนอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหนาน
เงาฝ่ามือยังมิทันตกลงมา แต่กระแสลมจากพลังฝ่ามือก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว หนานกงจื่อชินหรี่ตาลงทันที ก่อนจะคว้าตัวมู่หรงจื่อเยียนให้หลบไปอยู่ด้านหลัง และในขณะเดียวกันก็เร่งลมปราณขึ้นมาก่อนจะส่งฝ่ามือออกไปเพื่อรับมือกับพลังนั้น"ปัง!!"กระแสลมปราณระเบิดออกอย่างรุนแรง ทำให้กลุ่มคนจากแคว้นเป่ยเยี่ยนต่างกระเด็นลอยออกไปทุกทิศทาง! แม้แต่หนานกงจื่อชินเองก็ยังมิสามารถควบคุมร่างกายได้ เขาถูกแรงกระแทกจนลอยไปชนกับโต๊ะไม้ด้านหลังอย่างแรง"โครม!!"โต๊ะไม้ถูกทุบจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนหนานกงจื่อชินก็ถูกถูกซากไม้ทับร่างอยู่ในกองเศษไม้ เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างมองขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความตกตะลึงมู่หรงจื่อเยียนเมื่อได้สติ รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปประคองหนานกงจื่อชินด้วยความร้อนใจ นางถามด้วยความกังวล "พี่จื่อชิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่?" "ข้ามิ..." หนานกงจื่อชินยังพูดมิทันจบ ก็รู้สึกว่าพลังลมปราณภายในร่างพลุ่งพล่านมิหยุด สุดท้ายก็รู้สึกคาวในลำคอ เลือดสด ๆ คำหนึ่งไหลออกมาจากมุมปากอย่างมิอาจควบคุมได้"พี่จื่อชิน!!" มู่หรงจื่อเยียนตกใจจนแทบสิ้นสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว คนที่สามารถทำร้ายหนานกงจื่อชิ
“ดีเลย อยากจะตบหม่อมฉันสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือสิ หม่อมฉันฉงชูโม่ หากกะพริบตาแม้แต่นิดเดียว ถือว่าท่านชนะ!” ฉงชูโม่พูดอย่างแน่วแน่ พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉินซูเห็นใบหน้าสวยงามน่าทะนุถนอมตรงหน้า สมองพลันร้อนวูบ เขายื่นปากเข้าไปจุมพิตเบา ๆ หนึ่งที“!!!” ฉงชูโม่เบิกตาโต ใบหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยความมิเชื่อ หลังจากนั้น นางก็สะบัดมือตบออกไปโดยสัญชาตญาณ!“เพียะ… ครืน… โครม!!”ฉินซูถูกนางตบจนลอยทะลุหน้าต่างอีกฝั่ง แล้วร่วงลงมาจากชั้นสองของโรงสุรา“องค์รัชทายาท!!” พี่น้องตระกูลตงฟางหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ รีบกระโดดจากหน้าต่างตามลงไปเซี่ยหลานเองก็ตกตะลึง รีบวิ่งมาหาฉงชูโม่ พลางยกนิ้วโป้งให้“ชูโม่ ทำได้ดีมาก ข้ารู้สึกสะใจเหลือเกินที่เห็นองค์รัชทายาทจอมเจ้าชู้ถูกซัดเยี่ยงนี้!”ฉงชูโม่พูดด้วยความเสียใจ “เมื่อครู่ข้าเผลอใช้พลังเต็มที่ไปหน่อย!”“ว่ากระไรนะ!!” เซี่ยหลานหน้าซีดเผือด หัวใจนางเต้นมิเป็นจังหวะฉงชูโม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ทั้งเมืองยอมรับว่าเป็นรองเพียงเจ้าสำนักหอดูดาวหลวง แล้วองค์รัชทายาทที่อ่อนแอเช่นนั้นจะทนต่อการตบเต็มแรงของนางไหวได้อย่างไร จะมิตายคาที่หรอกหรือ!?เซ
เมื่อเห็นฉงชูโม่หัวเราะอย่างมีความสุขจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ฉินซูก็ถึงกับกลอกตาและเริ่มบ่นออกมา "เจ้าตบข้าจนตกจากชั้นสองแล้ว ยังจะมีหน้ามาหัวเราะได้อีก มิรู้สึกผิดบ้างเลยหรือ?""หึ! ท่านสมควรโดนแล้ว ว่าแต่ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไร?" ฉงชูโม่เอ่ยด้วยความสงสัยในใจเพราะก่อนหน้านี้ นางจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่ลงมือ นางมิได้ออมแรงไว้แม้แต่น้อยปกติแล้วจอมยุทธ์ทั่วไป หากโดนนางตบไปขนาดนี้ ต่อให้มิตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส แต่ฉินซูตอนนี้กลับมีเพียงรอยฝ่ามือแดงก่ำที่แก้ม และบวมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือว่า ฉินซูจะแอบซ่อนฝีมือไว้ แสร้งทำตัวเป็นหมูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเสือซ่อนเล็บ?ฉงชูโม่คิดในใจอย่างระแวงมากขึ้น ขณะมองฉินซูด้วยสายตาสงสัยฉินซูทำท่าโกรธแล้วพูดว่า "ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า การที่ข้ามิเป็นอะไรนี่ ดูเหมือนเจ้าจะผิดหวังมากเลยนะ อย่างนี้เจ้าคงอยากจะฆ่าข้าให้ตายจริง ๆ ล่ะสิ เจ้าคิดหรือว่าจะรับโทษฐานปลงพระชนม์องค์รัชทายาทไหว?"ฉงชูโม่รีบแจง "หม่อมฉันมิได้หมายความเช่นนั้น หม่อมฉันแค่แปลกใจ เหตุใดท่านถึงมิเป็นอะไรเลย ในเมื่อตอนตบ ข้าใช้ลมปราณไปด้วย""เจ้าน่าจะจำผิดแล้วล่ะ หากเจ้าใช้
เพราะเซี่ยเหอปู่ของนาง นับตั้งแต่ที่ฉินซูได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เขาได้ยื่นฎีกาต่อหน้าธารกำนัลมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อถอดถอนฉินซู และเสนอให้แต่งตั้งอ๋องฉีเป็นองค์รัชทายาทแทนหากฉินซูได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิคืนมา คนแรกที่เขาต้องจัดการต้องเป็นปู่ของนางอย่างแน่นอน!เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยหลานก็มิได้มีท่าทีแข็งกระด้างแล้วและฝืนยิ้มด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง“โอ้ องค์รัชทายาท หม่อมฉันเพียงแค่เย้าเล่นเท่านั้น จะทรงจริงจังอะไรถึงเพียงนั้นเล่าเพคะ จริง ๆ เลย มาเพคะ ให้หม่อมฉันตรวจดูหน่อยว่าท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่”เซี่ยหลานนั่งยอง ๆ ข้างฉินซูพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงเริ่มตรวจร่างกายให้อีกฝ่ายฉินซูที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสตรีงามทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขในเวลานี้ทั้งเซี่ยหลานและฉงชูโม่ต่างก็ก้มตัวลงมา โดยมีความงามที่ไม่มีที่สิ้นสุดปรากฏอยู่ใต้คออันนวลเนียนฉินซูส่งเสริมหลักการที่ว่า หากจะมิมองก็น่าเสียดาย เขาจึงเหลือบมองเป็นครั้งคราวเซี่ยหลานกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจร่างกายของฉินซู จึงมิทันสังเกตเห็นสายตาแปลก ๆ ของเขาฉงชูโม่ตระหนักรู้ดีว่ามีบางอย่
“ชูโม่ พระ… พระองค์คงมิได้แกล้งทำใช่หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินซูกระอักเป็นเลือด เซี่ยหลานก็พูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกแต่ในขณะเดียวกัน นางก็กังวลว่านี่อาจเป็นกลอุบายของฉินซู ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามฉงชูโม่หันกลับมาโดยมิพูดอะไร พร้อมกับพุ่งมาหาฉินซูและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายด้วยมือข้างเดียวจากนั้นนางก็ใช้วิชายุทธ์อย่างเงียบ ๆ และปราณบริสุทธิ์ก็ซึมผ่านข้อมือของฉินซูเข้าไปหลังจากนั้นมินาน สีหน้าของฉงชูโม่ก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเพราะนางตรวจพบว่า ลมปราณในร่างกายของฉินซูนั้นผิดปกติเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันนางก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของฉินซูซีดลงกว่าเดิมนางถามด้วยความมิอยากเชื่อ “ท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?!”“ถามมาได้ เมื่อครู่ใครตบข้าจนร่วงเล่า… แค่ก แค่ก...”ฉินซูพูดได้เพียงครึ่งประโยคก่อนที่เขาจะที่จะไออีกครั้งเขามิได้เสแสร้ง ด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดเผยว่าตนเป็นจอมยุทธ์ ดังนั้นตอนที่ฉงชูโม่ตบเขาที่โรงเตี๊ยมเมื่อครู่ เขามิได้ต่อต้าน แต่ใช้กายเนื้อเพื่อรับแรงตบเนื่องจากกำลังภายในของฉงชูโม่ถูกใช้หมดแล้ว ฉินซูจึงได้รับบาดเจ็บภายในมานิดหน่อย แต่ก็มิได้เบาหรือสาหัสอะไรฉงชูโม่
“ที่ท่านนำยาพิษออกมาก็เพื่อให้พวกเรากินมันเข้าไปรึ?!”ซุยฮ่าวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ “ถูกต้อง แต่พวกเจ้ามิต้องกังวลมากเกินไปหรอก พวกนี้เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า ตราบใดที่กินยาแก้พิษเป็นระยะ ๆ ก็จะไม่มีทางตายเพราะพิษ”“คุณชายซุย แม้ข้าต้องการจะทำอาชีพขุนนางอย่างสดใส ทว่าหากต้องกินยาพิษและถูกควบคุมโดยคนอื่น ชาตินี้ข้าก็มิอยากเป็นขุนนางแล้ว”“ข้าก็เช่นกัน หากมิมีอิสระ ข้าก็ขอไปอยู่อย่างสันโดษในป่าในเขาดีกว่า”“ข้าเองก็มิเอาด้วย ขอลา!”ขณะพูด คนส่วนใหญ่ก็พากันหันหลังกลับซุยฮ่าวยิ้มเย็นพลางพูดว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดว่าจะออกไปได้หรือ?”พูดจบ หน้าต่างบนชั้นสามก็ถูกใครบางคนเปิดออกหลังจากนั้น ชายฉกรรจ์หลายคนก็กระโดดลงมาจากชั้นบนและขวางทางเหล่าบัณฑิตเมื่อเห็นดาบใหญ่แวววาวในมือของอีกฝ่าย บรรดาบัณฑิตทั้งหลายก็หน้าซีดด้วยความหวาดกลัว มิกล้าแม้แต่จะหายใจซุยฮ่าวไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วพูดอย่างใจเย็น “ข้าว่าพวกเจ้าเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ที่ข้าให้พวกเจ้ากินยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าชนิดนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าเชื่อฟังมากขึ้นและมิทรยศตระกูลซุย ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟัง ข้ารับประกันว่ามิเพียงชีวิ
ซุยฮ่าวหัวเราะเยาะ “เหอะ ๆ พวกเจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงเรียกบัณฑิตจากทั่วหล้ามารวมตัวกันที่เมืองหลงเฉิงเพื่อกราบไหว้ขงจื๊อเพียงเท่านั้นรึ?”ทุกคนถามพร้อมกันว่า “มิใช่หรอกหรือขอรับ?”“แน่นอนว่ามิใช่ จุดประสงค์ของฝ่าบาทคือการคัดเลือกคนที่มีความสามารถมากที่สุดจากเหล่าบัณฑิตและราชบัณฑิต จากนั้นก็จะทำการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นที่จะจัดขึ้นในอีกมิกี่เดือน”“ว่ากระไรนะ?! กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเรามีโอกาสที่จะได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นหรือขอรับ?”ทุกคนถามขึ้นมาอย่างตื่นเต้นซุยฮ่าวพยักหน้าช้า ๆ “ถูกต้อง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้ว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร เท่าที่ข้าทราบ ฝ่าบาทจะทรงจัดการสอบวรรณกรรมก่อนเทศกาลวันผู้สูงอายุ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะต้องโดดเด่นออกมา ใครสามารถผ่านการสอบวรรณกรรมและได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ตระกูลซุยของข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”“คุณชายซุยวางใจได้ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ขอรับ!”“มิเลวนี่ หากเจ้าได้เป็นตัวแทนของต้าเหยียนไปเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้น ก็จะถือเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษและวงศ์ตระกูลของเจ้าด้วย”“ใช่ขอรับ ๆ น
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ