บริเวณหว่างคิ้วของฉินเหยี่ยนแผ่กระจายไอสังหารที่เย็นยะเยือก ความเย็นชาปรากฏในแววตาของเขาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ซุนฉีถึงกับสะดุ้งในใจ เพราะตั้งแต่ติดตามฉินเหยี่ยนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นความโกรธแค้นและน่ากลัวจากสีหน้าของฉินเหยี่ยนฉินเหยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “จับตาดูจวนอ๋องหนิงไว้ หากฉินเซียวออกจากจวนเพียงลำพังเมื่อใด จงรีบมารายงานข้า”ซุนฉีตกใจและถามอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะลงมือกับอ๋องหนิงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เขาส่งคนมาลอบสังหารข้า แถมยังสังหาหลิงเอ๋อร์ หากมิได้องค์รัชทายาทช่วยไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว ความแค้นลึกซึ้งเพียงนี้ หากมิฆ่าฉินเซียว ข้ามิถือว่าเป็นคนอีกต่อไป!”“แต่กระหม่อมเกรงว่ามิง่ายอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ฝ่าบาทได้สั่งกักบริเวณอ๋องหนิงแล้ว หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท อ๋องหนิงคงมิออกจากจวนแน่”“เจ้าจับตาดูเขาไปก่อน กักบริเวณเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในท้ายที่สุดเสด็จพ่อก็ต้องปล่อยเขาเป็นอิสระอยู่ดี”ฉินเหยี่ยนหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ช่วงนี้ข้าออกไปข้างนอกมิสะดวกหากข้างนอกมีความเคลื่อนไหวใด ๆ เจ้าจงรีบมารายงานข้า”ซ
จากนั้นเขาก็กำลังจะคุกเข่าลงซุนฉีก็ห้ามอีกฝ่ายเอาไว้และพูดว่า “ลูกพี่ ตรงนี้มิเหมาะที่จะพูดคุยกัน เปลี่ยนสถานที่ดีหรือไม่?”“ขอรับ ๆ เชิญคุณชายเข้ามาด้านในขอรับ”มู่ลี่รีบเชิญซุนฉีเข้าไปหลังจากเข้าไปในบ้าน ซุนฉีก็ตรงเข้าประเด็น “ท่านอ๋องจิ้นมีคำสั่งให้เจ้าพาคนของเจ้าไปช่วยงานข้า”“หา? ท่านอ๋องจิ้นถูกลอบปลงพระชนม์ไปแล้วมิใช่หรือ? ทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงต่างก็ลือเรื่องนี้กันให้ทั่ว เหตุใด…”มิทันที่เขาจะพูดจบ ซุนฉีก็โบกมือ “ท่านอ๋องแกล้งตาย มิเช่นนั้นข้าคงมิรู้การมีตัวตนอยู่ของพวกเจ้า”“ก็จริง สวรรค์ช่างมีตา ช่างดีเหลือเกินที่ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่”“มิต้องพูดให้มากความ คนของเจ้าอยู่ที่ใด? ไปรวบรวมพวกเขามา ค่ำแล้วพวกเราจะได้ลงมือกัน”มู่ลี่พยักหน้า จากนั้นก็ไปหาชายฉกรรจ์มาสี่ห้าคนทั่วร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ และมีดวงตาที่คมปลาบ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าพวกเขาคือนักสู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาหลังจากที่ทุกคนมาถึงแล้ว มู่ลี่ก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านใต้เท้า มิทราบว่าต่อไปพวกเราต้องทำอะไรหรือขอรับ?”“ลักพาตัว!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ลี่และคนอื่น ๆ ต่างมองหน
สิ้นเสียงคำรามอันอ่อนหวาน ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็ตกลงมาจากฟากฟ้า!คนผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามชวนให้จกจะลึง อาภรณ์ที่พลิ้วไหวสง่า ราวกับนางฟ้าที่ลงมาจุติยังใต้หล้ามนุษย์ปรากฎว่านั่นคือฉงชูโม่!นางกำลังจะไปเฝ้าสังเกตการณ์ละแวกจวนอ๋องหนิง และบังเอิญได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือในตอนที่เดินผ่านพอดีทำให้ซุนฉีถูกจับได้คาหนังคาเขา!เมื่อซุนฉีเห็นชัดเจนว่าคนที่มาคือฉงชูโม่ เขาก็ตกใจมากเขาโยนสตรีที่อยู่บนไหล่ไปทางฉงชูโม่โดยมิลังเล พลางหันหลังและวิ่งหนีไปฉงชูโม่รับสตรีนางนั้นด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็สะบัดนิ้ว“เป๊าะ!”กระแสลมแรงพัดออกมาจากนิ้วของนาง และกระแทกเข้ากับจุดฝูทู่[footnoteRef:0]ของซุนฉีอย่างแม่นยำ! [0: จุดฝูทู่ คือจุดฝังเข็มที่ต้นขาด้านหน้า] ซุนฉีรู้สึกขาชาและล้มลงกับพื้น!ฉงชูโม่ถามสตรีนางนั้นว่า “เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?”“ฮือ ๆ … ข้ามิ… มิเป็นไร ขอบคุณท่านแม่ทัพใหญ่ฉงที่ช่วยข้าไว้” หญิงสาวตกใจมากจนร้องไห้ด้วยสีหน้าหวาดกลัวหากนางมิได้พบกับฉงชูโม่ นางก็นึกมิออกว่าจุดจบของนางจะเป็นอย่างไรฉงชูโม่ปลอบนางอีกมิกี่คำแล้วเดินไปหาซุนฉีนางเหลือบมองซุนฉีและ
ได้ยินที่เขาพูดเช่นนั้นเซี่ยหลานก็หันกลับมาโอบแขนรอบคอของฉินซูนางพูดด้วยท่าทางที่แอบปลื้มใจ “ท่านก็มิรีบพูดเสียแต่เนิ่น ๆ ทำเอาหม่อมฉันกังวลว่าจะถูกชูโม่จับได้”“หึ ๆ อย่างนี้สิถึงจะน่าตื่นเต้น”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็จูบปากเล็ก ๆ ของเซี่ยหลานร่างกายอันบอบบางของเซี่ยหลานสั่นเทา และนางก็กำลังจะตอบสนองแต่ขณะนั้นเอง เสียงของตงฟางไป๋ก็ดังมาจากด้านนอกประตูห้องบรรทม“องค์รัชทายาท แม่ทัพฉงจับโจรได้พ่ะย่ะค่ะ เขาพยายามลักพาตัวบุตรีของตุลาการศาลต้าหลี่ ตอนนี้ถูกคุมตัวมาที่ห้องรับรองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยหลานก็ผละตัวออกจากอ้อมแขนของฉินซูอย่างรวดเร็วฉินซูที่ดูหงุดหงิดพูดเสียงเบาว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”พูดจบเขาก็หันหลังและเดินออกไปเซี่ยหลานที่สงบจิตใจแล้วดูเหมือนจะนึกอะไรออก หลังจากที่ฉินซูและตงฟางไป๋เดินไปพ้นประตู นางก็เปิดประตูแล้วเดินออกไปฉินซูมาที่ห้องรับรองและมองซุนฉีอย่างพินิจจากนั้นเขาก็ถามฉงชูโม่ว่า “เรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”“เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะ…”ฉงชูโม่เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสตรีนางนั้นเห็นฉินซู นางก็รีบคุกเข่าทำความเคา
ผ่านไปมินาน ตงฟางไป๋ก็พาซิ่วเอ๋อมาสีหน้าของซิ่วเอ๋อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซู นางก็คิดจะทำความเคารพฉินซูโบกมือแล้วพูดว่า “มิต้องรักษามารยาทหรอก ซิ่วเอ๋อ เจ้าดูหน่อยว่าเจ้านี่คือคนที่ลักพาตัวลู่ซวงเอ๋อร์ในคืนนั้นหรือไม่”ซิ่วเอ๋อมองตามนิ้วของฉินซูนางมองไปที่ซุนฉี จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “องค์รัชทายาท โปรดทรงให้เขายืนได้หรือไม่เพคะ?”ฉินซูพยักหน้าเบา ๆ ตงฟางไป๋เตะที่ก้นของซุนฉีและตะคอกด้วยความโกรธ “ยังมิรีบยืนขึ้นมาอีก!”ซุนฉียืนตัวสั่นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยซิ่วเอ๋อถอยหลังไปสองสามก้าว มองซุนฉีตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วส่ายหัว“องค์รัชทายาท รูปร่างของเขาดูมิค่อยเหมือน คนที่ลักพาตัวซวงเอ๋อร์ในคืนนั้นสูงกว่าเขาครึ่งหัวและยังแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยด้วยเพคะ”ฉินซูขมวดคิ้ว “หากเป็นดังที่พูด แสดงว่ามิใช่ฝีมือของเขาจริง ๆ รึ?”เซี่ยหลานกล่าวว่า “คนที่ลักพาตัวซวงเอ๋อร์อาจมิใช่เขา แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเพคะ!”คำพูดของเซี่ยหลานฟังดูสมเหตุสมผล ดังนั้นฉินซูจึงตำหนิเขาว่า “เจ้าควรจะสารภาพความจริงมาตอนนี้ มิเช่นนั้นข้าก็มีวิธี
สำหรับฉินเหยี่ยน นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการแก้แค้นอ๋องหนิงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ขณะที่ซุนฉีเกือบทำสำเร็จ เขาจะถูกฉงชูโม่พบเข้าโดยบังเอิญฉินซูเดาได้ถึงรายละเอียดทั้งหมดอย่างค่อนข้างแน่ใจในทันที พลางรู้สึกจนใจและเห็นใจฉินเหยี่ยนฉงชูโม่ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉินเหยี่ยนถูกความเกลียดชังครอบงำไปแล้วหรือไร ถึงได้ลักพาตัวบุตรีของตุลาการศาลต้าหลี่ นี่ถือเป็นความผิดร้ายแรงเชียว เขามิกลัวหรือว่าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้วเขาจะถูกลงโทษ?”ซุนฉีกล่าวด้วยความโกรธ “ท่านแม่ทัพใหญ่ฉง ท่านอ๋องจิ้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ถึงได้ลงมือเยี่ยงนี้ อีกทั้งท่านอ๋องก็มิเคยคิดจะทำร้ายบุตรีของตุลาการศาลต้าหลี่ ท่านอ๋องทรงต้องการเพียงแค่ใช้เหตุการณ์การลักพาตัว เพื่อทำให้ท่านอ๋องหนิงเข้ามาติดกับก็เท่านั้น ที่ทรงทำไปเช่นนี้ก็เพราะทรงต้องการระบายโทสะขอรับ”ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ฉินซูก็นึกอะไรออกและถามซิ่วเอ๋อ “ซิ่วเอ๋อ ตอนเจ้าอยู่ที่ศาลต้าหลี่ เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นตัวอักษรอะไรสลักอยู่บนป้ายอาญาสิทธิ์นะ?”ซิ่วเอ๋อพูดอย่างมิลังเล “ตัวอักษร ‘ติง’ เพคะ”ฉงชูโม่พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ตัวอักษรติงรึ? มิใช่กระมัง นี่เป็นป้าย
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ชูโม่ เจ้าตามข้าไปที่จวนอ๋องหนิง”พูดจบ เขาก็สั่งตงฟางไป๋ “ตงฟางไป๋ ไปที่ศาลต้าหลี่และแจ้งให้ท่านใต้เท้าหวังพาคนไปที่จวนอ๋องหนิง”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ตงฟางไป๋กำหมัดแล้วหันหลังเดินออกไป โดยมุ่งหน้าตรงไปยังศาลต้าหลี่ฉงชูโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท จวนอ๋องหนิงมีทหารประจำจวนสามร้อยนาย หม่อมฉันเกรงว่ากำลังคนของศาลต้าหลี่จะมิเพียงพอ ทรงต้องการนำทหารประจำจวนบางส่วนของเราไปด้วยหรือไม่เพคะ?”“ตอนนี้ยังมิจำเป็น ผลกระทบจากทหารที่อยู่รอบจวนอ๋องหนิงนั้นมากเกินไป อย่างแรกเรามาดูเบื้องลึกเบื้องหลังของอ๋องหนิงกันก่อนดีกว่า”“ก็ดีเพคะ”จากนั้นพวกเขาก็รีบรุดไปยังจวนอ๋องหนิง……จวนอ๋องหนิงในห้องลับใต้ดินมีศพแห้งหลายศพนอนทอดร่างอยู่ข้างชายชุดคลุมดำเห็นได้ชัดว่าซากศพแห้งเหล่านี้ถูกดูดพลังวิญญาณและเลือดไปจนหมด ดูเหี่ยวเฉา มองดูแล้วช่างน่าสยดสยองยิ่งนักและยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปากของชายชุดคลุมดำเขาแลบลิ้นออกมาเลีย และถอนหายใจด้วยความเพลิดเพลิน “พลังวิญญาณและเลือดของสตรีพรหมจรรย์นั้นรสชาติดีเสียจริง ข้าดูดมาเพียงสามคน อาการบาด
“องค์รัชทายาท คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน คนจากจวนอ๋องหนิงของกระหม่อมจะทำเรื่องลักพาตัวหญิงสาวได้อย่างไร นี่มันเป็นไปมิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อเผชิญหน้ากับการปฏิเสธของฉินเซียว ฉงชูโม่จึงพูดเหน็บแนม “ท่านอ๋องหนิง ทหารประจำจวนของท่านกล้าลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องมาแล้ว จะมีอะไรอีกที่พวกเขามิกล้าทำด้วยหรือเพคะ?”“ชูโม่ ข้ายอมรับว่าการลอบสังหารฉินเหยี่ยนนั้นเป็นการกระทำที่หุนหันพลันแล่น แต่คดีการหายตัวไปของพวกหญิงสาวนี้มิเกี่ยวอะไรกับข้าจริง ๆ ใครเป็นตัวการปล่อยข่าวลือกัน? นำคนผู้นั้นมาทีเถอะ ข้าอยากจะเผชิญหน้ากับมันผู้นั้นตรง ๆ”“มิจำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนั้นหรอก ในเมื่อเจ้ามิยอมรับ เช่นนั้นก็รอให้เสด็จพ่อทรงพาคนมาตรวจค้นที่นี่ก็แล้วกัน ทุกสิ่งที่เจ้าทำในช่วงนี้แม้ไร้ซึ่งหลักฐาน เสด็จพ่อก็อาจจะทรงเชื่อขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่มีมูลก็เป็นได้”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็ตะโกนไปที่นอกประตู “ใครก็ได้!”“ช้าก่อน!”ฉินเซียวรีบห้ามเขาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์รัชทายาท ในเมื่อท่านมิทรงเชื่อในสิ่งที่กระหม่อมพูด เช่นนั้นก็ค้นเลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิจำเป็นต้องไปรบกวนเสด็จพ่อ หากเรื่องบานปลายก็จะกระทบต
กู้เสวี่ยเจี้ยนถามด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง “ท่านว่ากระไรนะ? หนานเยวี่ยถูกทำลายแล้วหรือ?”“ใช่ เพิ่งได้รับข่าวเมื่อมินานมานี้ ฉินซูใช้กลอุบายเล็กน้อยก็บีบบังคับให้ทหารหนานเยวี่ยแสนนายยอมจำนน จากนั้นยังนำทหารชั้นยอดเพียงหมื่นนายบุกเข้ายึดเมืองหลวงของหนานเยวี่ย และสังหารเชื้อพระวงศ์หนานเยวี่ยจนหมดสิ้น”“มิจริงกระมัง? ท่านแน่ใจหรือว่าข่าวนั้นเป็นความจริง?” กู้เสวี่ยเจี้ยนแสดงสีหน้าเหลือเชื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข่าวนี้เป็นความจริงทุกประการ ต้องยอมรับว่าองค์รัชทายาทผู้รอวันปลดแห่งต้าเหยียนผู้นี้พอมีฝีมืออยู่บ้าง หากเขามา บางทีอาจจะช่วยข้าได้”“ท่านต้องการให้ฉินซูช่วยท่านทำกระไรหรือ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองซ่างกวนอวิ๋นซีด้วยความหวาดระแวง“ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะรู้เอง เอาเถอะ เจ้าลงไปได้แล้ว ข้าจะฝึกวิชา”ซ่างกวนอวิ๋นซีออกคำสั่งไล่แขกดื้อ ๆกู้เสวี่ยเจี้ยนเบะปากแล้วหันหลังเดินลงบันไดไปซ่างกวนอวิ๋นซีกลับไปยังห้องฝึกตน จากนั้นก็ร่ายเวทด้วยสองมือ ตวัดนิ้วส่งพลังปราณไปยังกระจกทองเหลืองบานหนึ่งในเวลาเดียวกันภายในสำนักหอดูดาวหลวงแห่งต้าเหยียนเหลยเจิ้นกำลังนั่งสมาธิบำเพ็
มู่หรงเซี่ยวเทียนอธิบายว่า “คุณชายหยวน เทพธิดาซ่างกวนกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่จริง ๆ หากท่านมิเชื่อ ท่านสามารถไปดูที่หอดารารักษ์ได้”“ข้าต้องไปแน่ ข้าขอพูดตามตรง ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพื่อสู่ขอนาง เทพธิดาซ่างกวน ข้าจะต้องแต่งกับนางให้ได้!”“การได้รับความเมตตาจากคุณชายหยวนนับเป็นบุญของเทพธิดาซ่างกวน คุณชายหยวนโปรดวางใจ เมื่อนางออกจากด่านกักตนบำเพ็ญเพียรแล้ว ข้าจะทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้ท่านด้วยตนเอง”หยวนหัวยิ้มประสานมือคารวะมู่หรงเซี่ยวเทียน “เช่นนั้น ก็ขอบพระทัยฝ่าบาทแห่งเป่ยเยี่ยนยิ่งนัก”"คุณชายหยวนเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญเถิด"จากนั้น มู่หรงเซี่ยวเทียนก็นำคณะของแคว้นฉีเข้าเมืองในหมู่เชื้อพระวงศ์แห่งเป่ยเยี่ยน หญิงสาววัยสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งแค่นเสียงเบา ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ว่า “หึ แคว้นฉีพูดเสียดิบดีว่าจะส่งองค์รัชทายาทมาตรวจราชการ เสด็จพ่อจึงเสด็จออกไปต้อนรับด้วยพระองค์เอง ใครจะคิดว่าคนที่มาจะเป็นเพียงบุตรชายของอ๋องเซียงหยาง ช่างมิเห็นหัวคนเสียนี่กระไร”“ใครว่ามิจริงเล่า ข้าเองก็รู้สึกแย่พอกัน หากเป็นอ๋องเซียงหยางเสด็จมาด้วยตนเอง เสด็จพ่อเสด็จออกไปต้อนรับก็ยังพอว่า แต
เป่ยเยี่ยนทั่วทั้งเมืองจินหลิงตกอยู่ภายใต้การวางกำลังที่เข้มงวดภายในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเป่ยเยี่ยนแห่งนี้ สามารถพบเห็นทหารกองรักษาการณ์พร้อมอาวุธได้ทุกหนทุกแห่งบริเวณประตูเมืองทางเหนือมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยมีกองทัพทหารม้าเกราะหนักซึ่งเป็นกองกำลังที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของเป่ยเยี่ยนเป็นผู้รักษาการณ์พรมแดงที่โดดเด่นสะดุดตาผืนหนึ่งทอดยาวจากถนนสายหลักเมืองทางฝั่งเหนือ ไปจนถึงนอกประตูเมืองทางทิศเหนือขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของเป่ยเยี่ยนต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ราชรถหรูหราโอ่อ่าของจักรพรรดิจอดอยู่ภายนอกประตูเมืองทางเหนือมู่หรงเซี่ยวเทียนในชุดลายมังกรที่ยืนอยู่สุดปลายพรมแดงกำลังมองไปยังทิศทางอันห่างไกลเบื้องหลังของเขาคือเหล่าพระโอรสและพระธิดามิว่าจะเป็นขุนนางข้าราชบริพาร หรือมู่หรงเซี่ยวเทียน หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ ต่างก็ตั้งตารอคอยราวกับกำลังรอคอยบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็มิปาน“ฝ่าบาท พวกเขากำลังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งดังมาจากกำแพงเมืองมู่หรงเซี่ยวเทียนและคนอื่น ๆ มองออกไป เห็นขบวนหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ บนถนนหลวงที่อยู่ไกลออกไป
"บัดนี้องค์รัชทายาทยังได้แสดงวรยุทธ์อันน่าตื่นตะลึงออกมา ข้าน้อยเห็นว่าก็สามารถใช้ประโยชน์จากองค์รัชทายาทได้ในด้านการประลองยุทธ์พ่ะย่ะค่ะหากมีองค์รัชทายาทเข้าร่วมโดยไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ราชวงศ์ต้าเหยียนน่าจะสามารถก้าวเข้าสู่สามสิบอันดับแรกได้และหากแสดงฝีมือได้ดี บางทีอันดับของต้าเหยียนในกลุ่มแคว้นลำดับรองอาจจะขยับขึ้นได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอู๋ต้าวโบกมือ กล่าวด้วยสุรเสียงจริงจังว่า “เรื่องอันดับนั้นมิสำคัญ จุดประสงค์ที่เราเข้าร่วมการประชุมระหว่างแคว้นคือการเข้าสู่สามสิบอันดับแรก แล้วชิงสิทธิ์ในการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน”“เช่นนั้นก็ง่ายดาย ข้าน้อยเตรียมพร้อมทุกประการแล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียนได้ ย่อมต้องพบเทพศาสตราวุธในตำนานและเมล็ดพันธุ์พืชอันล้ำค่า ถึงยามนั้น การที่ต้าเหยียนจะก้าวขึ้นเป็นแคว้นผู้นำก็อยู่แค่เอื้อม”เหลยเจิ้นกล่าวแล้วก็อดตื่นเต้นมิได้ดังที่เคยกล่าวไว้แต่ต้น เมื่อสองร้อยปีก่อน ในแผ่นดินเฉินโจว ต้าเหยียนนั้นเป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ ที่ไม่มีผู้ใดสนใจต่อมาหลังจากได้เข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเฉวียน ก็บังเอิญได้ครอบ
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ