หยวนขุยที่ใบหน้าตกใจสุดขีดกล่าวว่า “เจ้าว่ากระไรนะ? หยวนหัวถูกคนของเป่ยเยี่ยนสังหารรึ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร?”หยวนอวิ๋นหลงกำหมัดแน่น พลางกัดฟันกรอดกล่าวว่า “เมื่อมินานมานี้ หัวเอ๋อร์ได้ไปขอแต่งงานที่เป่ยเยี่ยน ทว่า ท้ายที่สุดหลังจากนั้นมินาน ป้ายวิญญาณของเขาก็แตกสลาย หากคนที่สังหารเขามิใช่คนเป่ยเยี่ยน แล้วจะเป็นผู้ใดได้อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อย่างไรเป่ยเยี่ยนก็เป็นเพียงแคว้นลำดับรองเล็ก ๆ พวกเขาจะกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นและท้าทายเช่นนี้ได้อย่างไร?”หยวนขุยยังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อ เนื่องด้วยในหลายปีที่ผ่านมานี้แคว้นเป่ยเยี่ยนยอมศิโรราบต่อแคว้นฉีอย่างหมดคราบ มิเคยมีท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อยทว่า บัดนี้กลับบอกว่าคนของเป่ยเยี่ยนสังหารบุตรชายของอ๋องซียงหยาง เรื่องแบบนี้เขาจะเชื่อลงได้อย่างไร“รายละเอียดเหตุการณ์นั้น กระหม่อมเองก็มิอาจทราบได้ แต่หัวเอ๋อร์ตายอย่างสลดที่เป่ยเยี่ยน นี่คือความจริง ขอเสด็จพี่ทรงพระกรุณา ประทานอนุญาตในสิ่งที่กระหม่อมขอร้องด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”หยวนอวิ๋นหลงพูดพร้อมกับคุกเข่าสองลงกับพื้น แล้วก้มหัวคำนับอย่างลึกซึ้งหยวนขุยช่วยพยุงเขาขึ้นแล้วพูดว่า “เราสองคนเป็นพี่น้องกัน
หยวนอวิ๋นหลงค่อย ๆ ยกมือขึ้นเล็กน้อย “ลุกขึ้นกันเถิด!”“ขอบพระทัยท่านอ๋องเซียงหยาง”ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงกัน และแสดงความเคารพด้วยสายตา"หลังจากเข้าเมืองแล้ว หยวนอวิ๋นหลงก็หันไปสั่งผู้ช่วยข้างกายว่า “ให้พี่น้องทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนเถิด”“น้อมรับพระบัญชา”ผู้ช่วยคนนั้นโบกมือไปทางคนด้านหลัง จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป“ท่านอ๋อง บัดนี้จะเข้าวังไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ หรือจะเสด็จกลับจวนก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ?”“ฝ่าบาทประทานอนุญาตในจดหมายตอบกลับเป็นพิเศษแล้วว่า หลังกลับมาพร้อมชัยให้ข้ากลับไปเยี่ยมบ้านก่อน วันรุ่งขึ้นค่อยเข้าไปถวายรายงานสถานการณ์ทหารในวังก็ได้ ไปกันเถิด กลับจวนก่อนแล้วกัน!”ผู้ช่วยของเขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็เดินตามเขาไปยังทิศที่จวนอ๋องตั้งอยู่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเขาก็หยุดตรงหน้าประตูจวนหลังหนึ่งที่ดูโอ่อ่ายิ่งนักเหนือประตูใหญ่สีแดงสดนั้น แขวนป้ายสีทองคำว่า จวนอ๋องเซียงหยางยิ่งกว่านั้น ตัวอักษรใหญ่เหล่านี้ ยังเป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงพระอักษรด้วยพระองค์เอง!หยวนอวิ๋นหลงเพิ่งจะลงจากหลังม้า ในจวนมีชายวัยกลางคนลักษณะเหมือนพ่อบ้านรีบร้อนวิ่งออกมา จากนั้นก
“โอ๊ย”หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ แต่ยังคงซบอยู่ในอ้อมอกของฉินซู นางมิได้ผละออก และดูเหมือนว่าจะยอมให้อีกฝ่ายเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์บนใบหน้าของฉินซูแวบผ่านรอยยิ้มเย็นชา แต่เขาก็ยังคงมิแสดงอาการใด และกล่าวว่า “แม่นาง บุรุษสตรีมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน ขอเจ้ารักษามารยาทด้วย!”“คุณชายรูปงามเช่นนี้ ข้าหลงรักท่านตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ที่นี่หาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ คุณชายยังลังเลกระไรอีกหรือเจ้าคะ?”ดวงตาคู่สวยฉายแววอ้อนวอนเปี่ยมเสน่ห์ นางจ้องมองฉินซูด้วยสายตาเว้าวอนมิวางตากริชเล่มหนึ่งใต้แขนเสื้อของนางเป็นประกายเย็นเยียบหล่นลงสู่ฝ่ามือ นางกำด้ามกริชนั้นไว้แน่นฉินซูผลักนางออกด้วยมือข้างหนึ่ง และพูดอย่างเฉยเมยว่า “องค์หญิงอวิ๋นเจิง ท่านเล่นเกินบทบาทไปแล้วกระมัง มิกลัวว่าข้าจะควบคุมตัวเองมิอยู่หรืออย่างไร?”“คุณชายพูดเรื่องอันใดกัน? องค์หญิงอันใดกันเจ้าคะ?” หญิงสาวเผยสีหน้าตกใจเต็มประดาฉินซูยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านมิยอมรับก็หาได้เป็นกระไรไม่ ทว่าตัวข้ายุ่งเหลือเกิน ไม่มีเวลามาเล่นกับท่าน เช่นนั้นขอตัวลา”พูดจบก็หันกายเดินออกไปทันที“ฉินซู ข้าขอสั่งให้ท่านหยุด”มู่หรงอวิ๋นเจิงเรียกฉินซูให
ทันใดนั้น เสียงครางเบา ๆ ของความเจ็บปวดก็ดังขึ้นมาจากใต้ทางเนินข้างถนนด้วยความสงสัยฉินซูจึงเดินไปดู พบว่าใต้เนินลาดนั้นมีสตรีแต่งกายหรูหรานั่งอยู่บนพื้นพลางกำข้อเท้าไว้ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดยิ่งนางสังเกตเห็นฉินซู ก็เปิดปากเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าพลาดตกลงมาจากข้างบนจนข้อเท้าพลิก มิทราบว่าคุณชายจะช่วยได้หรือไม่เจ้าคะ?”“ได้สิ”ฉินซูมองนางอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง จากนั้นก็เดินลงไปช่วยประคองนางให้ลุกขึ้นสตรีผู้นี้อายุราวยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่ ใบหน้ารูปไข่ขาวเนียน ดวงตากลมโตเป็นประกายใสแจ๋ว ช่างน่าหลงใหลยิ่งนักเมื่อช่วยพยุงนางขึ้นมาข้างทางแล้ว ฉินซูจึงถามว่า “แม่นาง เดินกลับเองไหวหรือไม่?”“เกรงว่าอาจจะมิได้ ขอรบกวนคุณชายช่วยเหลือจนสุดทาง ช่วยพาข้ากลับบ้านหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?” สตรีผู้น่าสงสารมองฉินซูด้วยสายตาอ้อนวอนอีกฝ่ายยักไหล่แล้วเอ่ยว่า “ได้ บ้านเจ้าอยู่ที่ใดเล่า”หญิงสาวชี้ไปเบื้องหน้าทางซ้าย “อยู่ตรงนั้นมิไกลจากตรงนี้เจ้าค่ะ”ฉินซูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่นั่นมิใช่จวนส่วนตัวของมู่หรงโม่หรอกหรือ?เขาค่อย ๆ พยุงสตรีนางนั้นอย่างสุขุม และพาเดินไปทางด้านนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงสาวก
มู่หรงโม่เอ่ยด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณสหายฉินที่ไว้วางใจ ท่านวางใจได้เลย ข้าสัญญาว่าจะมิทรยศต่อความไว้วางใจที่ท่านมีต่อข้าเด็ดขาด”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามว่า “ว่ากันว่า… น้องสี่ของท่านทำกิจการหอนางโลมอยู่หลายแห่งในเมือง เรื่องนี้ท่านเองก็รู้ใช่หรือไม่?”“ว่ากระไรนะ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ? สหายฉิน ท่านแน่ใจหรือ?”เมื่อมองมู่หรงโม่ที่ประหลาดใจเต็มประดา ฉินซูก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างผิดหวังอยู่ในใจเจ้าหมอนี่ แม้แต่เรื่องพวกนี้ยังรู้ มิน่าแปลกใจเลยที่นั่งตำแหน่งรัชทายาทได้มิมั่นคงเช่นนี้เขาย้อนถามอย่างหงุดหงิด “แล้วท่านว่าอย่างไรเล่า?”มู่หรงโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็พลันเข้าใจขึ้นมา “ท่านดูสมองข้าเถิด ลืมไปเสียเลยว่ายามนี้สหายฉินเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์หอดารารักษ์ในเมืองหลวงจินหลิงนี้ จะมีเรื่องใดหลุดรอดสายตาของหอดารารักษ์ไปได้กัน”เห็นเขาคิดไปเองเช่นนี้ฉินซูก็มิได้พูดอะไรให้เสียเรื่อง และปล่อยให้เขาคิดไปเช่นนั้น“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้รับข่าวมาว่า น้องสามของท่านกำลังแอบสืบเรื่องนี้อยู่ ซึ่งสำหรับท่านแล้ว อาจเป็นโอกาสอันดีเลยก็ว่าได้”มู่หรงโม่ขมวดคิ้
เวลาผ่านไปราวสองเค่อ เกี้ยวก็หยุดอยู่หน้าจวนหลังหนึ่งฉินซูลงมาจากเกี้ยว ภูเขาใหญ่ของเมืองทางฝั่งทิศตะวันตกในเมืองหลวงจินหลิงก็ปรากฏเข้าสู่สายตาทันที!เมื่อมองดูดี ๆ โอ้โห นี่มิใช่เชิงเขาที่จวนส่วนตัวของมู่หรงหัวหรอกหรือ?ฉินซูกวาดสายตาพิจารณาเล็กน้อย ก็สังเกตเห็นว่าที่นี่อยู่ห่างจวนส่วนตัวของมู่หรงหัวที่มุมอีกมุมหนึ่งเขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “สหายมู่หรง นี่คือที่ใดกัน?”“สหายฉิน ที่นี่คือจวนส่วนตัวของข้าเอง คนที่รู้มีมิมากนัก เชิญท่านด้านในเถิด”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ มุมปากของฉินซูก็อดมิได้ที่จะกระตุกสองสามครั้งเหล่าองค์ชายของเป่ยเยี่ยนพวกนี้ชอบซื้อจวนส่วนตัวข้างนอกเช่นนี้กันหมดเลยหรือไร?จะซื้อก็มิเป็นไรหรอก แต่ดันมาซื้อใกล้ ๆ กันอีก อย่าบอกว่าพวกเขามิได้สังเกตเห็นกัน?เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ฉินซูก็เอ่ยถามขึ้นอย่างนิ่งเฉยว่า “สหายมู่หรง จวนส่วนตัวแห่งนี้… องค์ชายองค์อื่นมิรู้เรื่องเลยหรือ?”“แน่นอนว่าย่อมมิรู้ ประการแรก ปกติแล้วข้ามิค่อยได้มาที่นี่ ประการที่สอง ยามที่ข้ามาก็มาเงียบ ๆ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นหรอก”ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น?ฉินซูหันกลับไปมองเกี้ยวใหญ่แบบแปดคนหามที่